คนทั้งหมด “…” 

 

 

ก่อนอื่นคำว่า “ริบทรัพย์” ในยามปกติแล้วเป็นคำที่ทางการใช้ นั่นคือในสถานการณ์ที่ทางการต้องปฏิบัติภารกิจ ยืมสิ่งของของประชาชนเป็นการชั่วคราว ถึงเรียกว่า “ริบทรัพย์” นางเป็นชาวบ้านธรรมดา…?  

 

 

อีกอย่างเตี้ยนเซี่ยเป็นผู้สูงศักดิ์ คือองค์รัชทายาทที่ฝ่าบาทเลือกไว้ นางถึงกับให้เตี้ยนเซี่ยเดินเท้า นี่ยังมีเหตุผลอีกหรือไม่  

 

 

บุรุษหนุ่มผู้นั้นเลิกคิ้วสูง 

 

 

แสดงออกว่าเขามีชีวิตอยู่มานานขนาดนี้ เป็นครั้งแรกที่พบเรื่องประเภทนี้ 

 

 

เยี่ยเม่ยหาได้ใส่ใจปฏิกิริยาของพวกเขาเลยสักน้อย เปิดม่านรถม้าออก วางเด็กหนุ่มที่แบกอยู่บนบ่าเข้าไป จากนั้นนั่งลงที่ตำแหน่งคนขับ ดึงสายบังเ**ยน 

 

 

เห็นนางกำลังจะจากไป บุรุษหนุ่มผู้นั้นหมดความอดทนลงในที่สุด เขากวาดสายตามอง เหล่าองครักษ์ทะยานออกไปล้อมรถม้าเอาไว้  

 

 

บุรุษหนุ่มชุดต่วนผู้นั้นค่อยๆ เดินเข้าไปขวางหน้ารถม้า สีหน้าไม่สบอารมณ์ กวาดสายตามองเยี่ยเม่ยอย่างเย็นชา “แม่นาง เจ้าไม่เห็นผู้อื่นอยู่ในสายตามากเกินไปแล้ว” 

 

 

เยี่ยเม่ยมองเขา กลับไม่โมโหที่อีกฝ่ายขวางทาง สีหน้ายังคงเย็นชาดุจเดิม เพียงเอ่ยเสียงแข็ง “เจ้าก็อาศัยความสามารถของตนทำให้ข้าเห็นเจ้าอยู่ในสายตา!” 

 

 

พูดจบ นางก้มหน้ามองพัดที่เหน็บอยู่หว่างเอวตน 

 

 

แย่งรถม้าไม่ใช่เรื่องง่าย นางเตรียมตัวลงมืออยู่ก่อนแล้ว 

 

 

การกระทำนี้ทำให้สายตาคนทั้งหมดสั่นไหว เหล่าองครักษ์กำอาวุธในมือนาน มองเยี่ยเม่ยอย่างตื่นเต้น 

 

 

เมื่อครู่สตรีนางนี้เอ่ยแล้วว่า พัดนั้นเป็นอาวุธที่นางถนัดมากที่สุด 

 

 

ในที่สุดบุรุษหนุ่มชุดต่วนผู้นั้นก็บันดาลโทสะ ตำหนิว่า “ผยองเกินไปแล้ว!” 

 

 

เขาชักดาบยาวที่อยู่ข้างเอวออกในฉันพลัน ด้ามกระบี่ฝังอัญมณี พอให้เห็นว่าเป็นกระบี่มีชื่อเสียงรวมถึงฐานะสูงส่งของเขา 

 

 

สายตาของเขาเย็นชา กระบี่ยาวโจมตีเยี่ยเม่ยอย่างดุดัน 

 

 

การจู่โจมครั้งนี้ไม่เพียงแต่จู่โจมด้วยความคมของอาวุธเท่านั้น ยังแฝงด้วยกำลังภายในเข้มแข็งขุมหนึ่ง เยี่ยเม่ยหรี่ตาลง กำลังภายในอีกแล้ว! 

 

 

กำลังภายในไม่อยู่ในขอบข่ายของนาง ดังนั้นต้องระวังให้มาก! 

 

 

นางรู้สึกว่าบรรยากาศถูกเขากดดัน นี่คืออานุภาพของกำลังภายใน สิ่งนี้ทำให้นางรีบปิดตาลง ใช้หูฟังเสียงลม เพื่อคาดการณ์พละกำลังที่โจมตีมานี้ 

 

 

ชั่ววินาทีนี้ 

 

 

นางพลันเปิดตาขึ้น ไม่พูดพร่ำทำเพลง ยื่นมืออกไป คว้าเด็กหนุ่มที่หมดสติในรถม้าแบกขึ้น ทะยานตัวอย่างรวดเร็วหนีห่างออกไปไกลกว่าสามเมตร 

 

 

ถัดมาเกิดเสียง “โครม” 

 

 

รถม้าแตกเป็นเสี่ยง! 

 

 

ม้าตัวนั้นตกใจ ร้องฮี้ ยกขาหน้าโจนทะยานวิ่งออก! 

 

 

บุรุษหนุ่มเห็นนางตอบสนองได้ไว แววตาเผยความชื่นชม ทว่าก็ไม่อยู่เหนือคาดหมาย 

 

 

เขาเก็บดาบกลับเข้าฝัก มองเยี่ยเม่ยเย็นชา สายตามีความเย่อหยิ่งราวกับผู้สูงศักดิ์ ถามเสียงใส “ทำเช่นนี้ พออยู่ในสายตาเจ้าได้หรือเปล่า” 

 

 

คราวนี้คนทั้งหมดชะงักงงไป 

 

 

คิดไม่ถึงว่าเตี้ยนเซี่ยจะทำลายรถม้าทิ้งไปเสีย 

 

 

เยี่ยเม่ยกลับไม่ใส่ใจเขา 

 

 

ยื่นมือหยิบสายคาดเอวสามเมตรออกมา สะบัดอย่างแรงคล้องคอม้าเอาไว้! 

 

 

ทุกคนต่างคิดว่าเป็นการเสียแรงเปล่า สตรีผู้หนึ่งมีพละกำลังมากแค่ไหน จะหยุดยั้งฝีเท้าม้าได้อย่างไร! ทว่านางดันใช้มือเพียงข้างเดียว ทำให้ม้าหยุดลงได้ 

 

 

สองขาหน้าของม้ายกขึ้นยามที่นางดึงสายรัดเอว จากนั้นเกิดเป็นเสียงร้องฮี้ดังขึ้นมาอีกครั้ง ม้าไม่ขยับไปข้างหน้า จากนั้นยืนหยุดพ่นลมหายใจอยู่ที่เดิม 

 

 

สายตาของบุรุษหนุ่มชุดต่วนมองเยี่ยเม่ยในยามนี้เพิ่มความชื่นชมอีกหลายส่วน 

 

 

เยี่ยเม่ยมองเขานิ่งๆ น้ำเสียงเย็นชา “อยากต่อยตีก็ต่อยตี ทำลายรถม้าทำไมกัน หรือว่ารูปโฉมของข้าทำให้เจ้าหลงใหล เพราะความหลงรักไม่อยากให้ข้าจากไป ดังนั้นต้องใช้วิธีเช่นนี้” 

 

 

               ทุกคน “…!” 

 

 

  

 

 

บุรุษหนุ่มชุดต่วนสายตาลุ่มลึก ทว่าจ้องเยี่ยเม่ยเขม็ง ท่วงท่าสูงส่งเช่นนั้น เอ่ยด้วยน้ำเสียงเสียดาย “แม่นาง ขอเพียงเจ้ายอมรั้งอยู่ ข้ายินยอมรับเจ้าไว้เป็นพระชายารอง!” 

 

 

ต้องบอกว่านิสัยพยศของสตรีนางนี้ปลุกความอยากเอาชนะในตัวเขา 

 

 

คำพูดนี้ทำให้เยี่ยเม่ยหรี่ตาลง 

 

 

จ้องมองบุรุษหนุ่มหน้าตาหล่อเหลา น้ำเสียงเย็นเยียบถามขึ้น “เจ้ามีชื่อว่าอะไร” 

 

 

 “เป่ยเฉินเสียง องค์ชายใหญ่แห่งราชสำนักเป่ยเฉิน” เป่ยเฉินเสียงเชิดหน้า เอ่ยปากเสียงเบิกบาน เผยความเย่อหยิ่งของชนชั้นสูงเกินใคร 

 

 

เยี่ยเม่ยได้ยินก็พยักหน้า น้ำเสียงเย็นชา “สมกับที่เป็นเป่ยเฉินเสียง ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้” 

 

 

คำพูดนี้เอ่ยออกไป นางก็คร้านจะอธิบายให้เขาฟังว่าในสตวรรษที่ยี่สิบเอ็ด คนจำนวนมากยึดคำว่า “เสียง” หมายถึง อุจจาระ ในเวลานี้ในใจนาง เขาเหมาะสมกับความหมายนี้พอดี 

 

 

นางกุมสายรัดเอวที่พันคอม้าไว้ ออกแรงเล็กน้อย ดีดตัวขึ้นอาศัยแรงของสายรัดเอวพลิกตัวขึ้นม้า ทั้งไม่สนใจใคร วางเด็กหนุ่มบนบ่าข้างกายไว้ด้านหน้า ใช้สายรัดเอวแส้ม้าฟาดลงไป ม้าพุ่งทะยานพาพวกนางออกไปด้วยความว่องไว 

 

 

เป่ยเฉินเสียงหน้าเปลี่ยนสี 

 

 

รีบร้องสั่ง “ตาม!” 

 

 

องครักษ์กว่าครึ่งด้านหลังเขารีบทะยานออกไปทันที วิ่งติดตามด้านหลังเยี่ยเม่ย  

 

 

ในเวลาเดียวกัน สายลมยามราตรีพัดพาน้ำเสียงเย็นชาของเยี่ยเม่ย “พระชายารอง? เจ้าช่างหลงตัวเองยิ่งนัก! เจ้าก็รู้ว่าต่อให้ข้าเป็นพระชายาเอกเจ้า หรือเป็นพระมารดา เจ้าก็ไม่อาจอาจเอื้อมได้ กลับจงใจใช้คำว่าพระชายารอง เพื่อกดให้ข้าตกต่ำ เพื่อเน้นศักดิ์ศรีของตัวเอง ความจริงเจ้าก็รู้ว่าตัวเองไม่คู่ควรกับข้า ไม่จำเป็นต้องปิดบัง!” 

 

 

เสียงของนางสิ้นสุดลง ก็ไสม้าหายออกไปจากคลองจักษุของคนทั้งหมด เมื่อไร้รถ ม้ากลับวิ่งไปได้ไวมากขึ้น 

 

 

ความเพียบพร้อมของตน นางย่อมรู้ชัดเจน วัตถุประสงค์ของเป่ยเฉินเสียง นางมองปราดเดียวก็เข้าใจ รู้ว่าเขาต้องไม่คู่ควรกับนาง ดังนั้นจงใจใช้คำว่า ‘พระชายารอง’เพื่อลบหลู่นาง  

 

 

คนที่รู้สึกว่าตนต่ำต้อยเช่นนี้ นางคร้านใส่ใจ คิดแล้วนางก็ไสม้าต่อไปด้วยความไว 

 

 

บรรดาองครักษ์ที่รับคำสั่งให้ติดตามเยี่ยเม่ย กระตุกมุมปากอย่างทนไม่ไหว คำพูดของแม่นางผู้นี้ จริงจังอย่างนั้นหรือ 

 

 

เป่ยเฉินเสียง “…” เขารู้สึกว่าตนต่ำต้อย?! 

 

 

ชั่วชีวิตนี้ของเขาเป็นครั้งแรกที่พบคนที่มีความมั่นใจมากกว่าตัวเอง! 

 

 

เห็นนางยิ่งวิ่งยิ่งไกลออกไป เขาทะยานกาย ขณะกำลังเตรียมจะไล่ตาม ในเวลานี้เซี่ยโหวเฉินพาองครักษ์หลายคนก้าวเข้ามา 

 

 

เซี่ยโหวเฉินมองซากปรักหักพังบนพื้น รถม้าที่กลายเป็นเศษขยะ จากนั้นหันไปมองเป่ยเฉินเสียง  

 

 

เขาชะงักไปชั่วขณะ แววตาล้ำลึก ทว่าเก็บงำในทันใด ถาม “องค์ชายใหญ่ เกิดอะไรขึ้น” 

 

 

               เป่ยเฉินเสียงชะงักฝีเท้า เมื่อเห็นเซี่ยโหวเฉินมาแล้ว ยังต้องจัดการธุระสำคัญ จึงไม่ติดตามเยี่ยเม่ยต่อไป  

 

 

ทว่าในใจไม่อาจเก็บงำความโมโหไว้ สะบัดชายเสื้ออย่างแรง ท่าทางยังคงดูสูงศักดิ์เช่นเดิม “บังเอิญพบกับสตรีแปลกพิสดารผู้หนึ่ง แย่งชิงรถม้าของข้าไม่สำเร็จ จึงชิงม้าของข้าไป!” 

 

 

ม้าตัวนั้นเป็นอาชาที่พละกำลังมากที่สุดของราชวงศ์เป่ยเฉิน ถึงแม้ความเร็วในการวิ่งไม่อาจสู้อาชาอื่น ทว่าที่ล้ำเลิศกว่าคือสามารถจูงรถม้าได้อย่างง่ายดาย เดินทางหลายเดือนก็ไม่มีปัญหา เป็นม้าพระราชทานที่เสด็จพ่อประทานให้เขา หากหายไปก็ช่างเถิด แต่ที่เขาไม่อาจทนได้ที่สุดก็คือ ถึงกับถูกสตรีแย่งชิงไป!  

 

 

เซี่ยโหวเฉินฟังแล้ว มุมปากกระตุก คิดถึงสตรีนางนั้นขึ้นมา “องค์ชายใหญ่ ที่ท่านหมายสตรีหน้าตางดงาม สวมชุดดำ แบกเด็กหนุ่มคนหนึ่งใช่หรือเปล่า” 

 

 

 “ไม่ผิด เจ้ารู้ได้อย่างไร” เป่ยเฉินเสียงมองเขาด้วยความแปลกใจ 

 

 

เซี่ยโหวเฉินยิ้มมุมปาก “เมื่อครู่ข้าได้พบนาง! นางล่วงเกินท่านเช่นนี้ คาดว่าเตี้ยนเซี่ยต้องการเอาชีวิตนางให้ได้!”  

 

 

องค์ชายใหญ่เป็นคนเย่อหยิ่ง กล้ำกลืนโทสะเช่นนี้ไม่ลง 

 

 

ใครจะรู้ว่าเป่ยเฉินเสียงกลับแค่นเสียงเย็น นัยน์ตากลอกไปมองทิศทางที่เยี่ยเม่ยจากไป สีหน้าตัดสินใจอย่างเด็ดเดี่ยว เอ่ยอย่างยโสว่า “เจ้าผิดแล้ว ข้าต้องเอาตัวนางมาให้ได้!”   

 

 

นางบอกว่าต่อให้เป็นพระชายาเอกหรือพระมารดา เขาล้วนอาจเอื้อมไม่ถึง? 

 

 

เขากลับอยากรู้นักว่า กุหลาบหนามเย่อหยิ่งเย็นชาดอกนี้ที่สุดแล้วจะเด็ดได้ยากเพียงไหน 

 

 

พูดจบแล้ว เขาหันกลับไปมองด้านหลังตน องครักษ์หลงเหลืออยู่คอยอารักขาเขา ไม่ได้ติดตามเยี่ยเม่ยอีกครึ่งหนึ่ง สั่งการว่า “พวกเจ้าก็ตามไปด้วย ต้องไล่ตามนางไปให้ทัน!”  

 

 

 “ขอรับ!” บรรดาองครักษ์ไล่ติดตามออกไปอย่างว่องไว