ตอนที่ 228 จีเฉวียนสารภาพความในใจ

ยอดไทเฮาเขย่าวังหลัง

ฮ่องเต้ทรงรู้สึกว่าวิธีการแสดงออกถึงความรักของพระองค์นั้นไม่มีปัญหาอย่างแน่นอน คนที่มีสมองปกติทั้งหลายสมควรจะรับรู้ถึงความโปรดปรานจากฮ่องเต้ได้ 

 

 

แต่ว่าสมองของตู๋กูซิงหลันเป็นดั่งต้นเอล์มที่ไร้ประสาทด้านความรัก 

 

 

นางคิดถึงคำพูดของจีเฉวียนกลับไปกลับมาอยู่ครู่หนึ่ง ก็เข้าใจไปในทำนองว่า “หากเจ้าไม่เกาะขาของเราเอาไว้ ก็ตายสถานเดียว กอดขาของเราเอาไว้ เราคิดจะจัดการเจ้าอย่างไรก็จัดการเจ้าได้อย่างนั้น ชั่วชีวิตนี้อย่าได้หวังว่าจะอยู่ดีอีกเลย” 

 

 

พอคิดถึงตรงนี้ตู๋กูซิงหลันก็ขนลุกขึ้นมาทั้งตัว 

 

 

ฮ่องเต้ทรงเข้าพระทัยไปเองอย่างไม่ต้องอธิบายว่า “ประทับใจมากใช่หรือไม่?” 

 

 

ตู๋กูซิงหลันอยากจะร้องไห้ 

 

 

แต่สำหรับฮ่องเต้แล้ว ทรงยอมตรัสออกมาถึงขนาดนี้ นับว่าถึงที่สุดแล้ว 

 

 

พระองค์เองก็มิได้ต้องการให้ตู๋กูซิงหลันตอบอะไร จึงทรงหยิบยาขึ้นมา ยื่นพระหัตถ์ไปแกะเสื้อผ้าของนาง 

 

 

ตู๋กูซิงหลันรู้ถึงสัมผัสของสองมือที่อยู่เหนือทรวงอกก็มองไปที่พระองค์อย่างตั้งรับขึ้นมา 

 

 

“เดิมทีก็ไม่ได้รุนแรงมากนัก แต่ว่าบาดเจ็บแล้วยังไปหักโหมอีก หากเจ้าอยากจะมีแผลเป็นอยู่บนอก ยานี่เราก็จะไม่ทาให้เจ้าแล้ว” 

 

 

แม้จะตรัสเช่นนั้น จีเฉวียนกลับถอดเสื้อชั้นนอกของนางออก จนมองเห็นเสื้อตัวในสีขาว 

 

 

บริเวณทรวงอกถูกย้อมไปด้วยเลือดสีแดงเป็นวงกว้าง เลือดแห้งไปแล้ว ทั้งยังแข็งตัวจนเกรอะกรัง 

 

 

ดวงเนตรของจีเฉวียนมองดูด้วยความปวดใจ เขาจับมือของนางเอาไว้ ค่อยๆ แกะเนื้อผ้าที่ติดกับปากแผลออกให้นางทีละนิด 

 

 

ตู๋กูซิงหลันเจ็บจนต้องขมวดคิ้วแน่น ขบฟันกรอดขึ้นมา 

 

 

จีเฉวียนถึงแม้จะปวดใจ แต่ปากก็ยังไม่วายต่อว่า “รู้จักเจ็บบ้างแล้วหรือ?” 

 

 

ตู๋กูซิงหลัน “เจ็บจนชินแล้ว” 

 

 

“แล้วคราวหน้ายังจะไปต่อยตีกับเขาอีกไหม?” ขณะที่ตรัส พระองค์ก็ค่อยๆ แกะเนื้อผ้าออกอย่างช้าๆ บาดแผลมีเลือดไหลออกมา คล้ายจะทำให้ชิ้นเนื้อถูกฉีกออกมาอีก ขอบแผลก็ไม่เรียบ 

 

 

ตรงกลางแผลคือบาดแผลบริเวณหัวใจ 

 

 

บาดแผลเช่นนี้หากว่าเป็นตัวเขา ก็ยังไม่แน่ว่าจะทนไหวหรือไม่ อย่าว่าแต่นางยังเป็นเพียงแค่สาวน้อยอายุสิบหกคนหนึ่ง 

 

 

ผิวของนางนุ่มนวลทั้งยังเรียบลื่นเหมือนดังไข่ไก่ แต่กลับมีรอยแผลถลอกทั่วทั้งตัว 

 

 

ก่อนหน้านี้รอยเชือดบนข้อมือพึ่งจะสมานกัน ตอนนี้ก็ดันมามีแผลตรงอกขนาดใหญ่เช่นนี้อีก ดวงเนตรหงส์ของจีเฉวียนผุดไอสังหารเข้มข้นออกมา 

 

 

เพียงครู่เดียว เขาก็กำหมัดจนแนบแน่น 

 

 

ตู๋กูซิงหลันส่ายศีรษะ “ข้าตัวเล็กอ่อนแอทั้งยังไร้กำลัง จะไปสู้กับใครเขาได้ หากว่าพวกเขาไม่ได้มาหาข้า ข้าก็ไม่ต่อยตีกับเขาหรอก” 

 

 

พูดแล้วนางก็เสริมขึ้นมาอีกประโยคหนึ่ง “ฝ่าบาทเพคะ คืนนี้ต้องขอบพระทัยพระองค์จริงๆ เพคะ” 

 

 

ไม่ว่าจีเฉวียนคิดสิ่งใดอยู่ในใจ เรื่องที่เขาช่วยนางไว้ก็เป็นความจริง 

 

 

ดูท่าก็คงจะเป็นเพราะอยากจะตอบแทนบุญคุณนางเมื่อคราอยู่เมืองลี่โจวละมั้ง? 

 

 

“มิว่าเรื่องใดที่เราทำให้กับเจ้า เจ้าไม่จำเป็นต้องขอบคุณเราทั้งนั้น” จีเฉวียนยิ่งใช้ความระมัดระวังในการแยกเสื้อผ้าของนางออกจากปากแผลมากกว่าเดิม 

 

 

แต่ไม่ว่าเขาจะระมัดระวังเพียงไร ก็ยังทำให้ปากแผลฉีกขาดอยู่ดี เลือดสดจึงไหลออกมาอีกครั้ง 

 

 

ตู๋กูซิงหลันกัดฟันหนักหน่วงกว่าเดิม 

 

 

คราวนี้จีเฉวียนไม่ตรัสสิ่งใดแล้ว เขาใช้เวลาอีกถึงหนึ่งก้านธูปจึงค่อยแยกผ้าออกมาจากแผลทั้งหมดได้สำเร็จ 

 

 

ผิวบริเวณรอบๆ บวมแดงขึ้นมา ดูน่ากลัวอย่างมาก 

 

 

จีเฉวียนหาผ้าสะอาดมาผืนหนึ่ง ค่อยๆ เช็ดทำความสะอาดแผลให้กับนาง 

 

 

กว่ารอยเลือดที่เปรอะอยู่จะหมดไป ปากแผลก็มีเลือดไหลออกมาอีก 

 

 

หากว่าวันนี้พระองค์ไปเร็วอีกก้าวหนึ่ง บางทีนางอาจจะไม่ต้องบาดเจ็บมากถึงเพียงนี้ 

 

 

จีเฉวียนมองดูปากแผลของนาง พระองค์ก็ต้องนึกเสียใจขึ้นมาอีกครั้ง 

 

 

ชายเสื้อของพระองค์เปรอะไปด้วยเลือดสีแดงของตู๋กูซิงหลัน กลิ่นโลหิตโชยมากระทบนาสิก จีเฉวียนใส่ยาให้นางอย่างระมัดระวัง สุดท้ายค่อยใช้ผ้าโปร่งปิดแผลให้กับนาง 

 

 

กว่าทุกอย่างจะเรียบร้อย ก็ผ่านไปครึ่งคืนแล้ว 

 

 

ในตำหนักตี้หัวมีเสียงนกและแมลงร้องเบาๆ ยิ่งทำให้รู้สึกว่าค่ำคืนนี้สงบเงียบกว่าเดิม 

 

 

รอจนพระองค์จัดการบาดแผลทั้งหมดเสร็จสิ้น สองหัตถ์ของพระองค์ก็เปรอะเปื้อนไปด้วยเลือดของตู๋กูซิงหลัน 

 

 

พระองค์มองดูสาวน้อยที่ดวงหน้าซีดขาว และไม่รู้ว่าเหตุใด จึงอดใจไม่ไหวต้องคว้านางเข้ามากอด 

 

 

หัตถ์ของพระองค์แทรกเข้าไปในเส้นผมของนาง เกาะกุมด้านหลังกระหม่อมของนางเอาไว้ ค่อยๆ โอบให้ศีรษะของนางเอนเข้าหาหัวไหล่ของตนเอง “ตู๋กูซิงหลัน นับจากวันนี้ไป ก็อยู่ข้างกายเราเถอะ” 

 

 

“เราจะปกป้องเจ้าเอง” 

 

 

ขอเพียงมีเราอยู่ ใต้ฟ้านี้ก็ไม่มีผู้ใดสามารถทำร้ายเจ้าได้ 

 

 

น้ำเสียงแผ่วๆ ที่ดังอยู่ริมหู ไหลผ่านหูเข้าไปถึงหัวใจ กระจายไปจนถึงกระดูกทั้งร่าง 

 

 

ในช่วงเวลานั้นเอง ตู๋กูซิงหลันแทบจะลืมเลือนตัวตนจนหมดสิ้น 

 

 

นี่มัน…..น่าลุ่มหลงเกินไปแล้ว 

 

 

อ้อมกอดของเขาถึงแม้จะหนาวเย็น แต่กลับให้ความรู้สึกปลอดภัยอย่างที่อธิบายไม่ถูก ราวกับว่าขอเพียงแค่มีเขาอยู่ ทุกสิ่งล้วนไม่เป็นปัญหา 

 

 

ต่อให้นางเป็นดั่งต้นเอล์มที่ไร้ความรู้สึกเพียงไร ตอนนี้ก็ยังสามารถเข้าใจได้ว่าจีเฉวียนหมายความเช่นไร 

 

 

หลังตกตะลึงไปครู่ใหญ่ ตู๋กูซิงหลันค่อยกล่าวขึ้นว่า “ลูกชาย….ท่านถูกใจเราเข้าแล้วหรือ?” 

 

 

จีเฉวียน “…….” ประโยคนี้นับว่าไม่ได้ผิด พระองค์ถูกใจนางเข้าแล้ว 

 

 

เมื่อเขาไม่ยอมพูด ตู๋กูซิงหลันก็ถือว่าเขายอมรับแล้ว 

 

 

นางถูกเขากอดเอาไว้ทั้งตัว ปลายคางพาดอยู่บนบ่าของเขา ใกล้ชิดกันอย่างยิ่ง เรียกว่าได้ยินเสียงหัวใจของเขาได้เลย 

 

 

“พระองค์ทรงจำได้หรือไม่ว่า หม่อมฉันคือพระมารดาของพระองค์?” 

 

 

“เรื่องที่จะทรงพึงใจในหม่อมฉันนั้นเป็นไปไม่ได้อย่างเด็ดขาด!” 

 

 

“ทรงรู้หรือไม่ว่านี่เรียกว่าอะไร? เรียกว่าข้ามรุ่น!” 

 

 

“บิดาของท่านตายไปยังไม่ทันครบปี ท่านก็หันมาหามารดาเลี้ยงตัวน้อยของตนเองแล้ว? หากเรื่องแพร่ออกไปก็เท่ากับว่าท่านไร้กตัญญู!” 

 

 

“ยิ่งไปกว่านั้น หากว่าเราเอากับท่านด้วย ในสายตาของคนทั้งโลก ก็เท่ากับว่าเป็นชาติสุนัขชายหญิงคู่หนึ่ง!” 

 

 

จีเฉวียน “เจ้าไม่คิดจะต้องการชีวิตสุนัขของตนเองแล้วหรือไง?” 

 

 

ตู๋กูซิงหลัน “!!!” 

 

 

พระองค์ปล่อยนางช้าๆ ดวงตาหงส์คู่นั้นจดจ้องไปยังนาง “อย่าได้คิดว่าเราไม่รู้ว่ายามปกติเจ้าเรียกเราว่าอย่างไร” 

 

 

ตรัสแล้ว ก็ทรงขยับพระองค์มาเบื้องหน้านาง จนแทบจะชนกับจมูกของนางเสียด้วยซ้ำ “ฮ่องเต้สุนัข หืม?” 

 

 

ในสมองของตู๋กูซิงหลันตอนนี้มีแต่หญ้าและโคลนเหลว 

 

 

เอาจริงนะ ด้วยวิธีการจับตาดูผู้คนของฮ่องเต้สุนัขนี่ แน่นอนเลยว่าวันๆ หนึ่งนางตดกี่ครั้งเขาก็คงรู้ 

 

 

จีเฉวียนจดจ้องมองนาง ริมโอษฐ์เย็นบางกระตุกเบาๆ “เจ้ามีชีวิตสุนัข เราเป็นฮ่องเต้สุนัข บอกว่าเป็นชาติสุนัขชายหญิงคู่หนึ่งก็ไม่ผิด” 

 

 

“โอ้ย ยังจะไร้ยางอายได้มากกว่านี้อีกไหม?” วิญญาณทมิฬทนต่อไปไม่ไหว จนต้องกระโดดออกมาโวยวายบ้าง 

 

 

ฮ่องเต้สุนัขก็คือฮ่องเต้สุนัข ยามปกติเงียบสงบไม่เคลื่อนไหว พอเคลื่อนไหวก็รุกไล่กันเลย 

 

 

ตู๋กูซิงหลันถึงกับพูดไม่ออกใบ้กินไปเลย ตู๋กูซิงหลันอยากจะตบกกหูตนเองนัก อยู่ดีๆ ไปพูดแต่เรื่องชาติสุนัขอยู่ได้ 

 

 

ตอนนี้โดนย้อนคำพูดเข้าบ้างเป็นไงละพูดอะไรไม่ออกเลย 

 

 

“ตู๋กูซิงหลัน เจ้าอย่าได้มาแกล้งทำเป็นเฉไฉกับเรา” จีเฉวียนยังคงจดจ้องตู๋กูซิงหลันอยู่เช่นเดิม “เรากล้ารั้งเจ้าเอาไว้ข้างกาย ก็ย่อมต้องเตรียมพร้อมที่จะจัดการศัตรูทั้งโลกเอาไว้อยู่แล้ว” 

 

 

“เจ้าแค่ตอบเรามาก็พอ ว่าในใจของเจ้ามีเราอยู่มุมหนึ่งหรือไม่?” 

 

 

ดวงเนตรหงส์นั้นจริงจัง อย่างที่ตู๋กูซิงหลันไม่เคยเห็นมาก่อน 

 

 

ตอนนี้นางออกจะมึนงงอยู่บ้าง นี่นางสมควรจะเข้าใจและถือเสียว่า เจ้าฮ่องเต้สุนัขผู้นี้สารภาพรักต่อนางแล้วใช่ไหม? 

 

 

แต่ทำไมถึงได้รู้สึกว่าไม่คับคล้ายเลยสักนิด ขั้นตอนการสารภาพรักก็ยังขาดหลายคำที่ควรจะมีอย่าง ‘ข้าชอบเจ้า’ ไปหรือเปล่า? 

 

 

ฮ่องเต้สุนัขตั้งแต่ต้นจนจบก็มิได้กล่าวว่าชอบนางเลยสักนิด 

 

 

พอนางไม่พูด จีเฉวียนก็ตรัสถามซ้ำอีกรอบหนึ่ง “มีไหม?” 

 

 

 

 

 

—— 

 

 

คุยกันนิดนึง: 

 

 

-ไรท์ อยากจะตอบแทนว่ามี! มีแน่นอน! (บางครั้งก็อยากจะฝันว่ามีหนุ่มหล่อมาผลักติดข้างฝาแล้วบอกว่า “ผมชอบคุณ” อยู่เหมือนกัน) ใต้ความมโนของไรท์ แม่ลูกสอง