ราชันเร้นลับ 567 : ต้นตอของเรื่องราว

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ

ราชันเร้นลับ 567 : ต้นตอของเรื่องราว โดย Ink Stone_Fantasy

“9 เมษายน เราเพิ่งกลับจากงานเลี้ยงหน้ากากของเคาต์เทส วาเรียน แต่หัวใจกลับว่างเปล่าอย่างไม่น่าเชื่อ”

“สตรี สตรี สตรี แล้วก็สตรี การเคลื่อนไหวร่างกายที่ซ้ำซากราวกับเครื่องจักร กลิ่นน้ำหอมที่ฟุ้งกระจายจนมิอาจแยกแยะ ความอบอุ่นของร่างหญิงสาวที่เกิดจากการก่ายกอด ความสุขสมเพียงเสี้ยววินาที แต่หลังจากนั้นต้องเผชิญความว่างเปล่า ห่อเหี่ยว และชาชิน”

“ชีวิตแบบนี้น่าสนุกตรงไหน… การทำกิจวัตรเช่นนี้ทุกวันมีประโยชน์อันใด?”

“เราจะปล่อยให้เป็นแบบนี้ต่อไปไม่ได้ ต้องหาวิธีหลุดพ้นจากสภาพอันน่าสมเพชโดยเร็ว!”

“ขอเตือนความจำตัวเองอีกครั้ง ห้ามเผลอเขียนตัวเลขอาราบิกในชีวิตประจำวันเด็ดขาด!”

ท่านมหาจักรพรรดิเองก็มีช่วงเวลาย้อนทบทวนตัวเองกับเขาด้วยหรือ… ผิดจากที่คิดไว้พอสมควร… ไคลน์เกือบขมวดคิ้ว

จากนั้น มันก้มอ่านเนื้อหาส่วนถัดไป

“11 เมษายน เคาต์เทสวาเรียนชวนเราเข้าร่วมงานซาลอนส่วนตัวอีกแล้ว แต่ครั้งนี้หล่อนบอกว่า มาดามจูเลียก็จะมาร่วมด้วย”

“หึหึ… สตรีหัวโบราณคนนั้นเนี่ยนะ”

“รอคอยโอกาสนี้มานานแล้ว!”

“แต่ไหนแต่ไร เราเคยทำได้เพียงจินตนาการภาพหล่อนบนเตียง… หึหึ คงได้แต่หวังว่าสามีของเธอ ไวเคาต์เดลเลี่ยน จะไม่ถือสาเอาความ”

ท่านมหาจักรพรรดิ ลืมไดอารี่ที่เขียนเมื่อวันก่อนไปแล้วหรือ… เฮ่อ… เรื่องแบบนี้คงหอมหวานมากสินะ คงเป็นสันดานที่ไม่มีทางเปลี่ยนได้ของนาย… ไคลน์รำพัน

“14 เมษายน เราเอาแต่ทำเรื่องอย่างว่าจนร่างกายอ่อนเพลียไปหมด”

“ปล่อยเอาไว้แบบนี้ไม่ได้!”

“แม้จะยังหนุ่มยังแน่น แต่ถ้าทำมากเกินไปโดยไม่เว้นช่วงพักเสียบ้าง การเสื่อมสภาพสมรรถภาพก็อาจมาเยือนโดยไม่ต้องรอถึงตอนแก่!”

“จริงอยู่ โอสถนักโบราณคดีช่วยเสริมกำลังวังชาและประสิทธิภาพร่างกาย แต่นี่ไม่ใช่จุดเด่นของอาชีพ เป็นแค่ส่วนเสริมที่ช่วยให้สำรวจซากโบราณได้ง่ายขึ้น”

“โชคดี การเพิ่มลำดับช่วยให้พลังจากโอสถก่อนหน้ายกระดับขึ้นมาก ถือว่าเรา ‘อึด’ กว่ามนุษย์ปรกติพอสมควร”

“หืม… ถ้าจำไม่ผิด ‘นักปรุงยา’ สามารถผลิตยาอย่างว่าได้โดยแทบไม่มีผลข้างเคียง เห็นทีคงต้องหาคนปรึกษาสักหน่อย”

“แล้วก็ เราจำเป็นต้องยับยั้งชั่งใจไว้บ้าง เพราะหากปล่อยให้เป็นเช่นนี้ต่อไป มาตรฐานความสุขทางเพศของเราจะสูงขึ้น จนกิจกรรมทั่วไปไม่สามารถทำให้ถึงจุดสุดยอด ต้องสรรหาสิ่งพิสดารมาช่วยเติมเต็ม”

“เมื่อลองสงบสติและใคร่ครวญอย่างถี่ถ้วน โลกนี้ยังมีอะไรให้น่าค้นหาอีกมากมาย แต่เรากลับหมกมุ่นอยู่แต่กามอารมณ์จนมองไม่เห็นคุณค่าที่แท้จริง… ทำไมจิตของเราถูกส่งข้ามโลก ความลับของดวงดาวบนท้องฟ้าคืออะไร จิตมนุษย์มาจากไหน? ถ้ามาจากจิตในชาติที่แล้ว… ก่อนจะมาเป็นตัวเรา ฮวงเทา เราเคยเป็นใคร? แล้วใครคือจิตต้นกำเนิด?”

ท่านมหาจักรพรรดิ เมื่อครู่ก่อนจะอึ๊บสาว ท่านยังทำตัวเป็นหมาล่าเนื้ออยู่เลย แต่หลังจากเสร็จกิจก็เปลี่ยนเป็นมหาปราชญ์ทันทีเลยหรือ… เคยกังวลเกี่ยวกับการเดินทางข้ามโลกเหมือนกันสินะ คิดว่าในใจมีแต่เรื่องพรรค์นั้นเสียอีก…

โชคยังดีที่นายไม่สอนภาษาจีนกลางให้กับทายาท… ไม่อย่างนั้น หากพวกเขาได้อ่านไดอารีเหล่านี้เข้า คงรู้สึกน่าสังเวชพิลึก… ซาราธเคยทำนายไว้ว่า บุตรสาวคนโต แบร์นาแดตจะหันหลังให้กับนาย และอาจถึงขั้นทรยศ… เริ่มฟังดูสมเหตุสมผลขึ้นมาบ้างแล้ว… บางที การไม่สอนภาษาจีนกลาง ก็คงเพื่อป้องกันมิให้เกิดเรื่องราวดังกล่าว…

เนื้อหาในไดอารีของโรซายล์ทำให้ไคลน์รู้สึกขบขัน แต่ก็ไม่ได้แสดงออกทางสีหน้า

สำหรับชายหนุ่ม ไดอารีโรซายล์เป็นทั้งแหล่งความรู้ชั้นยอดและหนังสือคลายเครียดในเวลาเดียวกัน

อ่านถึงจุดนี้ มันพลิกไปยังหน้าถัดไป

“2 ตุลาคม ซาราธมาหาเราอีกครั้ง”

“มันหวังว่า ตัวเราที่กลายเป็นครึ่งเทพแล้ว จะรักษาสัญญาที่เคยให้ไว้ในตอนแรก นั่นคือการขโมยสมบัติปิดผนึกสุดอันตรายมาจากโบสถ์ เป้าหมายเป็นสมุดบันทึกตระกูลอันทีโกนัสแห่งยุคสมัยที่สี่… สมบัติปิดผนึกระดับ 1!”

ข้อความดังกล่าวทำให้รูม่านตาของไคลน์หดเกร็งอย่างมิอาจควบคุม

นี่คือสมุดบันทึกที่ลัทธิเร้นลับ ซึ่งมีซาราธเป็นผู้นำ ทำสูญหายในภายหลัง…

นี่คือสิ่งที่ทำให้ไคลน์?โมเร็ตติคนก่อนต้องจบชีวิตลง และเป็นสิ่งที่ทำให้เรา โจวหมิงรุ่ย มาเกิดใหม่บนโลกใบนี้!

ต้นตอของเรื่องราวทั้งหมด!

เข้าใจแล้ว… สมุดบันทึกมิได้ตกอยู่ในมือลัทธิเร้นลับมาตั้งแต่แรก แต่เป็นสมบัติปิดผนึกระดับ 1 ของโบสถ์จักรกลไอน้ำ โดยในภายหลัง ด้วยฝีมือจารกรรมของโรซายล์มหาราช สมุดดังกล่าวจึงตกอยู่ในมือซาราธ ผู้นำแห่งลัทธิเร้นลับ…

หากจำไม่ผิด สมาชิกของลัทธิเร้นลับที่เคยอยู่ในถุงมือยุบพองหิวโหย ได้แสดงท่าทีหวาดกลัวต่อซาราธเป็นอย่างมาก และมองว่าอีกฝ่ายไม่มีวันตาย เป็นสัตว์ประหลาดพิสดาร…

หรือว่าซาราธจะได้รับผลประโยชน์บางอย่างจากสมุดบันทึก แต่ขณะเดียวกันก็เกิดอุบัติเหตุร้ายแรงขึ้น ส่งผลให้จากมนุษย์ที่เคยสื่อสารกับโรซายล์ กลายร่างเป็นสัตว์ประหลาด ลัทธิเร้นลับจึงสูญเสียสมุดบันทึกในเวลาถัดมา?

แน่นอน ยังมีอีกหนึ่งความเป็นไปได้… ซาราธจงใจทำมันสูญหาย…

อา… เนื่องจากซาราธกลายเป็นสัตว์ประหลาด ลัทธิเร้นลับจึงสูญเสียนางเงือกทั้งหมดที่เลี้ยงไว้ ทำให้ ‘ผู้นำไร้หน้า’ ต้องเสี่ยงชีวิตออกทะเลเพื่อตามหานางเงือกด้วยตัวเอง?

…โรซาโก้ตามหานางเงือกในน่านน้ำของซากสมรภูมิเทพสำเร็จ?

เมื่อสมมติฐานมากมายแล่นผ่านสมอง หัวใจไคลน์เริ่มตื่นตัว

ชายหนุ่มไม่คิดว่าโรซายล์จะมีส่วนเกี่ยวข้องกับสมุดบันทึกตระกูลอันทีโกนัสมากนัก เพราะความบังเอิญส่วนใหญ่สามารถอธิบายได้ด้วยกฎการดึงดูดของพลังพิเศษบนเส้นทางเดียวกัน หากใช้ตรรกะดังกล่าว เรื่องก็นับว่าสมเหตุสมผล

ถ้าอย่างนั้นก็หมายความว่า ผู้วิเศษลำดับสูงของเส้นทางนักทำนายทุกคน ก็ควรต้องได้รับผลกระทบจากสมุดไปด้วย…

ขณะไคลน์นั่งครุ่นคิดเงียบงัน หางตาชำเลืองเห็นสายหมอกสีเทารอบตัว

ในกรณีของเรา… อาจเป็นเพราะมีความสัมพันธ์กับมิติแห่งนี้ จึงถูกอิทธิพลของสมุดบันทึกอันทีโกนัสดึงดูด…

ชายหนุ่มทำได้เพียงตั้งคำถาม ไม่มีทางได้รับคำตอบกลับมา

เมื่อเริ่มเย็นลง ไคลน์ก้มอ่านไดอารีส่วนที่เหลือ

“เฮ่อ… เราคงบุ่มบ่ามไม่ได้ ต้องรอให้ถึงโอกาสเหมาะสมเสียก่อน ถ้าสบช่องให้ขโมยออกมาได้ง่ายและไม่มีใครรู้ตัว เราจะลงมือทันที แต่ในทางกลับกัน ถ้าไม่มีช่องว่าง เราก็จะไม่ทำเด็ดขาด… เราไม่ต้องกลัวการถูกซาราธหักหลังและเปิดโปงความจริง ด้วยสถานะทางสังคมในปัจจุบัน ด้วยตำแหน่ง ลำดับโอสถ และ อิทธิพล ตราบใดที่เรายืนกรานว่าเป็นผู้บริสุทธิ์ ทางโบสถ์คงไม่กล้าทำอะไรมากนัก”

อีกสองย่อหน้าไดอารีเล่าถึงแผนการจารกรรมที่โรซายล์วางไว้ในหัว แต่เท่าที่อ่านดู คล้ายกับไม่มีอันไหนใกล้เคียงว่าจะทำได้จริง อย่างไรก็ตาม ไคลน์ทราบดี ในท้ายที่สุดแล้ว โรซายล์สามารถขโมยสมุดบันทึกตระกูลอันทีโกนัสออกมา และนำไปส่งต่อให้มิสเตอร์ซาราธแห่งลัทธิเร้นลับ

หลังจากนั่งครุ่นคิดสักพัก ไคลน์พลิกไปยังหน้าถัดไป

“10 ธันวาคม เราได้เข้าร่วมชุมนุมลับที่เอ่ยชื่อไม่ได้อีกครั้ง… เราพบว่า สมาชิกของชุมนุมมีความเห็นไปในทิศทางเดียวกันอยู่เรื่องหนึ่ง นั่นคือ ทุกคนจะไม่ชอบขี้หน้าจักรพรรดิโซโลมอนจากยุคสมัยที่สี่อย่างมาก”

“เราถามถึงเหตุผล และชายแก่เฮอมิสก็ใจดีอธิบาย เขาเล่าว่า พันธมิตรที่เข้มแข็งและยังเป็นผู้สนับสนุนของจักรวรรดิโซโลมอนคือ ‘พระผู้สร้างแท้จริง’ … ฟังดูหน้าเหลือเชื่อ แต่ก็เป็นความจริงแน่นอน”

“เราจึงเกิดคำถามในใจว่า ชุมนุมลับแห่งนี้อยู่ฝ่ายใดในยุคสมัยที่สี่ และมีบทบาทสำคัญในระดับไหน แต่สุดท้ายก็ไม่ได้ถามออกไป… จนกระทั่งเดินทางออกจากวังหรูหรา ขณะกลับมายังความฝันตัวเอง เราบังเอิญพบกับมิสเตอร์เฮอมิสเฒ่าที่ใช้เส้นทางเดียวกัน”

“ในเมื่อเป็นถึงชายแก่จากยุคสมัยก่อนมหาภัยพิบัติ เขาคงมีข้อมูลในมือมากมาย เราจึงอาศัยความสนิทสนม ตัดสินใจถามออกไปว่า : สาเหตุที่ชุมนุมลับของพวกเราเกลียดชังพระผู้สร้างแท้จริง เป็นเพราะอีกฝ่ายแอบอ้างนามของ ‘พระผู้สร้าง’ ใช่หรือไม่? มิสเตอร์เฮอมิสตอบกลับด้วยรอยยิ้ม : เรื่องราวมิได้ตื้นเขินเช่นนั้น”

“แล้วเขาก็ถามกลับมาว่า : รู้จักพลังพิเศษของเส้นทาง ‘ผู้เลี้ยงแกะ’ ไหม?”

“ ‘แน่นอน’ เราตอบกลับไปเช่นนั้น”

“เขาถามต่อด้วยประโยคแฝงความนัยอีกครั้ง : หากให้เราเลือกว่าเทพในปัจจุบันองค์ใดเข้าใกล้นิยาม ‘มหาเทพผู้ปราดเปรื่องและทรงพลัง’ มากที่สุด เจ้าจะเลือกใคร”

“คำตอบแรกในหัวก็คือ เส้นทางผู้เลี้ยงแกะที่มีความสามารถในการเขมือบและรวบรวมดวงวิญญาณ แถมยังใช้พลังของวิญญาณเหล่านั้นได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ”

“และปลายทางของผู้เลี้ยงแกะ… พระผู้สร้างแท้จริง… อย่างนี้นี่เอง”

ลำพังไดอารีแผ่นเดียว ข้อมูลมากมายได้อัดแน่นจนน่าเหลือเชื่อ… จักรวรรดิโซโลมอนถูกหนุนหลังโดยขั้วอำนาจของพระผู้สร้างที่แท้จริง… นั่นสินะ… เทวรูปหกเทพจารีตที่อยู่ในซากอาคารราชวงศ์ทูดอร์ ถึงจะไม่แน่ใจว่าถูกสร้างเพื่อต้องการลบหลู่หรือศรัทธา แต่หนึ่งสิ่งที่แน่ชัดก็คือ หกเทพจารีตมีบทบาทในสงครามระหว่างจักรวรรดิแห่งยุคสมัยที่สี่แน่นอน และดูเหมือนจะใกล้ชิดกับราชวงศ์ทรันซอสต์เป็นพิเศษในภายหลัง… สามจักรวรรดิ หมายถึงสามขั้วอำนาจของเทพ?

ด้วยความรู้และข้อมูลเชิงประวัติศาสตร์ของตน ไคลน์พยายามค้นหาความจริงที่ซ่อนอยู่ แต่สุดท้ายก็พบทางตันอีกครั้ง ช่วงเวลาดังกล่าวยังคงถูกปกคลุมด้วยหมอกมืดหนาทึบ

ส่วนคำถามของมิสเตอร์เฮอมิส ไคลน์คิดเหมือนกับโรซายล์

ยิ่งลำดับเพิ่มขึ้น นักบุญและเทวทูตของเส้นทางผู้เลี้ยงแกะก็ยิ่งต้อนดวงวิญญาณได้มากขึ้น และใช้พลังพิเศษได้หลากหลายชนิดมากขึ้น หากวันใดที่พระผู้สร้างแท้จริง ‘เขมือบ’ ดวงวิญญาณของเทพทั้งสี่สิบสองเส้นทางเข้าไป ระดับพลังคงไม่ต่างกับพระผู้สร้างต้นกำเนิดสักเท่าไร

เส้นทางนี้มีความลับเยอะฉิบ…

ไคลน์รำพันขณะพลิกอ่านไดอารี่หน้าสี่

หน้านี้เล่าถึงช่วงเวลาหลังจากโรซายล์ดื่มโอสถลำดับ 9 ‘นักปราชญ์’ มันทุ่มเทให้กับการอ่านหนังสืออย่างหนัก เรียนรู้สิ่งต่างๆ มากมาย จนพื้นฐานของความรู้ถูกถมจนแน่น พร้อมยกระดับตัวเองด้วยการศึกษาสิ่งใหม่อย่างมีหลักการและแบบแผน

สำหรับโรซายล์ในตอนนั้น การศึกษาหาความรู้ได้กลายเป็นกิจกรรมที่นำพาความสุขมากที่สุด

วรรคหนึ่งในไดอารีเขียนไว้ว่า

“หากมนุษย์ได้ลิ้มรสความสุขอันล้นปรี่ในวินาทีที่ความพยายามอันยาวนานผลิดอกออกผล พวกเขาคงก้มหน้าก้มตาทำงานหนักเหมือนกับเราในตอนนี้”

หลักการคล้ายเกมเลยแฮะ…

ไคลน์ปิดไดอารีหน้าสุดท้าย พลิกอ่านตำนานเทพบรรพกาลจากเดอะซัน

ในระหว่างนี้ พระราชวังสายหมอกแสนโอ่โถงได้ถูกความเงียบงันปกคลุมโดยสมบูรณ์ จัสติสและเดอะมูนกำลังครุ่นคิดถึงการแลกเปลี่ยนในช่วงเวลาถัดไป

ทางด้านเฮอร์มิท แคทลียา หญิงสาวกำลังเผชิญในสิ่งที่ตนไม่เคยพบมาก่อน แต่ก็มิได้ออกอาการแตกตื่นมากนัก เพียงวิเคราะห์สถานการณ์อย่างใจเย็น

นี่ไม่ใช่ครั้งแรกแน่นอน… มิสเตอร์ฟูลมักอ่านไดอารีจักรพรรดิโรซายล์ในชุมชนทาโรต์เสมอ… สมาชิกทุกคนจะรวบรวมไดอารีให้ท่าน แต่ไม่แน่ใจว่าทำเพื่อแลกเปลี่ยนสิ่งใดหรือไม่…

ท่านอ่านไดอารีจักรพรรดิโรซายล์ออก…

กำลังค้นหาความลับที่จมลึกอยู่ในก้นแม่น้ำแห่งประวัติศาสตร์อยู่หรือ?

ไม่ผิดแน่… เดอะซันระบุว่า เขากำลังรวบรวมตำนานของเทพบรรพกาล… สอดคล้องกับสมมติฐานของเรา…

ในเวลาเดียวกัน ไคลน์ได้พบข้อมูลใหม่

ณ ยุคสมัยที่สอง ยุคสมัยแห่งความมืด ก่อนจะเกิดมหาภัยพิบัติขึ้น เทพบรรพกาลทุกตนล้วนมี ‘เทพรับใช้’ คอยอยู่เคียงข้างอย่างใกล้ชิด

ในกรณีจองราชามหามังกรจินตภาพ แอนเคอร์เวล มันมีมังกรแห่งฝันร้าย อัลเซอร์ฟอร์ดเป็นทั้งบุตรชายและเทพรับใช้

……………………