พักที่น้ำพุอาบพิษ

 

เวลาผ่านไปสักพักแต่ก็ยังไม่มีเสียงใดๆ หลังจากคิดอยู่ครู่หนึ่ง โม่เทียนเกอออกจากที่ซ่อนและเริ่มเดินหาทางในความมืดอย่างระมัดระวัง นางรอบคอบมาตลอด และตอนนี้นางก็ได้เสกคาถาป้องกันตัวไว้บนร่างของตัวเองพร้อมกับกำกระบี่ป่าขจีไว้ด้วย หากว่าคนผู้นี้ก่อปัญหาขึ้นในทันที นางสามารถจัดการเขาได้แน่ ดังนั้น นางจึงวางแผนที่จะออกไปดูเขาก่อน 

 

 

ไม่ใกล้ไม่ไกลจากตัวนาง เขานอนนิ่งอยู่ที่พื้น ท้องฟ้ามืดเกินไปจนนางไม่อาจมองเห็นได้อย่างชัดเจน นางเห็นคร่าวๆ แค่ว่าชุดคลุมบนร่างของคนนั้นเป็นสีดำ 

 

 

โม่เทียนเกอรู้สึกโล่งใจเล็กน้อย เมื่อนางขยับไปข้างหน้าเพื่อดูใกล้ๆ นางก็เห็นว่าคนนั้นที่จริงคือศิษย์หนุ่มจากสำนักอวิ๋นอู้ 

 

 

“ศิษย์พี่! ศิษย์พี่!” นางเขย่าตัวเขาเบาๆ  

 

 

ต้องใช้เวลานานกว่าจะมีการตอบสนอง ชายคนนั้นยกหัวขึ้นด้วยความยากลำบากและกระซิบ “ศิษย์น้องผู้หญิง… ช่วย… ช่วยข้าด้วย…”  

 

 

โม่เทียนเกออึ้งไป ศิษย์น้องผู้หญิงเช่นนั้นหรือ นางไม่มีโอกาสจะคิดให้มากกว่านี้เพราะหน้าของชายคนนั้นคว่ำลงไปอีกครั้งและเขาหมดสติไป 

 

 

หลังจากคิดให้รอบคอบ นางแบกชายคนนี้เข้าไปในม่านพลังที่วางไว้ นางไม่รู้จักชายผู้นี้ แต่อย่างไรก็ตาม ในหมู่ศิษย์ระดับการหลอมรวมพลังวิญญาณมากมายที่สำนักอวิ๋นอู้ทั้งหมดมี นางก็รู้จักดีอยู่ไม่กี่คน แม้แต่คนในบ้านหลังอื่นที่อยู่ในสนามเดียวกัน นางก็รู้จักเพียงแค่ไม่กี่คนที่คุ้นหน้าค่าตากันเท่านั้น สำหรับชายคนนี้ นางจำไม่ได้ว่าเคยเห็นเขามาก่อน 

 

 

ถึงกระนั้น ทั้งคู่ล้วนเป็นศิษย์สำนักอวิ๋นอู้ คงไม่มีอะไรผิดที่จะช่วยเหลือกัน ดังนั้น นางจึงส่งพลังวิญญาณเข้าร่างชายคนนี้เพื่อตรวจดูบาดแผลของเขา 

 

 

เมื่อพลังวิญญาณของนางเดินทางไปรอบเส้นลมปราณของเขา โม่เทียนเกอจึงรู้สึกโล่งอกขึ้นมาเล็กน้อย อาการบาดเจ็บของชายหนุ่มหนักหนาสาหัสก็จริง แต่ในเมื่อเส้นลมปราณเขาไม่ได้รับความเสียหาย การรักษาเขาก็น่าจะง่าย 

 

 

โม่เทียนเกอครุ่นคิด จากนั้นหยิบเอายาวิเศษบางส่วนออกมาจากชุดคลุม นางตัดสินใจว่าจะให้ยาฟื้นคืนสติแก่เขาเป็นอย่างแรกเพื่อป้องกันหมอกพิษในบริเวณนั้นเข้าร่างเขา ก่อนจะให้ยาบำรุงพลังวิญญาณ 

 

 

ยาฟื้นคืนสติเป็นเพียงแค่ยาล้างพิษทั่วไป ไม่ใช่ยาประเภทที่มีค่าอะไร สำหรับยาวิเศษที่ใช้รักษาอาการบาดเจ็บ นางมียาอนุคืนสภาพอยู่ในครอบครอง อย่างไรก็ตาม ยาอนุคืนสภาพนั้นมีมูลค่ามาก ขนาดผู้ฝึกตนระดับการสร้างฐานแห่งพลังก็ยังใช้กัน การจะให้ยาหนึ่งเม็ดแก่ผู้ฝึกตนระดับการหลอมรวมพลังวิญญาณที่นางไม่รู้จักนั้นมันไม่คุ้มกันแม้แต่น้อย ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อคิดว่านางไม่รู้จักคนๆ นี้ การให้ของมีค่าขนาดนั้นกับเขาจะดูเป็นการมีน้ำใจเกินเรื่องเกินราวไปหน่อย 

 

 

ในการที่จะทำให้คนสำนึกบุญคุณโดยไม่ส่งเสริมให้เขามีจิตใจละโมบ ความกรุณานั้นต้องมอบให้อย่างพอประมาณ นี่เป็นหลักการที่ท่านอารองสอนนางมาตลอดอย่างไม่เคยเหน็ดเหนื่อย 

 

 

ในไม่ช้า ชายคนนี้ร้องครางขึ้นมาและเห็นได้ชัดว่ากำลังจะฟื้น 

 

 

โม่เทียนเกอพูดว่า “ศิษย์พี่ รู้สึกดีขึ้นบ้างหรือไม่”  

 

 

ชายหนุ่มลืมตา พยายามที่จะนั่ง เขาฝืนตัวเองให้ยิ้มและพูดว่า “ศิษย์… น้อง ขอบคุณ ถ้าข้าไม่ได้พบเจ้า ข้าคงสิ้นชีวิตไปแล้วในวันนี้”  

 

 

โม่เทียนเกอพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนลง “ศิษย์พี่ไม่ต้องเกรงใจหรอก ไม่ใช่ปัญหาอะไรเลย”  

 

 

ชายหนุ่มพยักหน้า เขาหยิบขวดหยกออกมาจากชุดคลุม กินยาวิเศษหลายเม็ดจากขวดนั้น จากนั้นจึงส่งขวดให้นาง “ข้าต้องไม่ปล่อยให้ศิษย์น้องสูญเสียอะไรไปเปล่าๆ”  

 

 

โม่เทียนเกอรับขวดมาตรงๆ นี่เป็นธรรมเนียมในโลกแห่งการฝึกตน ในทางหนึ่ง ไม่มีใครยอมที่จะเสียทรัพย์สินของตัวเองเพื่อช่วยคนอื่น แต่ในทางกลับกัน คนที่ได้รับความช่วยเหลือก็ต้องติดหนี้ผู้ที่ช่วยชีวิตตัวเองไว้ 

 

 

พอเห็นนางยอมรับของกำนัลของเขา ชายคนนี้จึงถามว่า “ศิษย์น้อง เราอยู่ที่ไหนหรือ ที่นี่ปลอดภัยหรือไม่”  

 

 

โม่เทียนเกอตอบว่า “ที่นี่คือน้ำพุอาบพิษที่อยู่ตรงส่วนตะวันตกเฉียงเหนือของป่า”  

 

 

คาดว่าชายคนนี้ก็เป็นคนฉลาดหลักแหลมเช่นกัน ทันทีที่เขาได้ยินคำตอบของนาง เขาถอนใจออกมาอย่างโล่งอก “ดีจริง คงไม่มีใครมาที่นี่” ชายหนุ่มหยุดไปพักหนึ่งก่อนจะถามว่า “ข้าคือมู่หรงจื่อ ข้าขอถามได้ไหมว่าศิษย์น้องชื่ออะไร”  

 

 

เนื่องจากเขาพูดว่า “ข้าคือ” ไม่ใช่ “ข้าชื่อ” เห็นได้ชัดว่าเขาเป็นหนึ่งในบุคคลมีชื่อเสียงในหมู่ศิษย์ระดับการหลอมรวมพลังวิญญาณ ส่วนชื่อของเขานั้น โม่เทียนเกอเคยได้ยินมาก่อนจริงๆ มู่หรงจื่อเป็นศิษย์ที่สามารถยืนหยัดจนถึงตอนจบในการแข่งขันที่หุบเขาหมีอู้พร้อมๆ กับศิษย์พี่โจวและคนอื่นๆ ในขณะเดียวกัน เขายังเป็นพี่ชายของมู่หรงเยียน และยังเคารพผู้ฝึกตนระดับการสร้างฐานแห่งพลังคนเดียวกันกับนาง นั่นคือหลินชิงหว่านในฐานะอาจารย์ของพวกเขา เขายังเป็นศิษย์พี่ที่คุมสวนสมุนไพร และเป็นคนจัดหาเมล็ดพันธุ์ที่มู่หรงเยียนพูดถึง ศิษย์พี่คนนี้… ที่จริงแล้วค่อนข้างโด่งดังในหมู่ศิษย์ระดับการหลอมรวมพลังวิญญาณทีเดียว  

 

 

เพราะว่านางกับมู่หรงเยียนเป็นเพื่อนกัน โม่เทียนเกอจึงปฏิบัติต่อเขาอย่างนอบน้อมมากขึ้น “เช่นนั้นท่านก็คือศิษย์พี่มู่หรงสินะ ชื่อข้าคือเย่เสี่ยวเทียน สหายของศิษย์พี่มู่หรง”  

 

 

มู่หรงจื่อส่งเสียง “อ้า” เบาๆ จากนั้นจึงพูดว่า “เจ้านี่เอง! ข้าได้ยินเสี่ยวเยียนพูดถึงเจ้ามาก่อน” พอได้พินิจดูหน้าตาของนาง เขายิ้มออกมา “มิน่าเล่าข้าถึงคิดว่าเจ้าเป็นศิษย์น้องผู้หญิงตอนที่ข้ากำลังมึนอยู่ก่อนหน้านี้”  

 

 

โม่เทียนเกอสงสัย นางจึงถือโอกาสถามว่า “ทำไมล่ะ”  

 

 

มู่หรงจื่อจีบปากก่อนจะพูดพร้อมรอยยิ้ม “เพราะเสี่ยวเยียนบอกว่าน่าเสียดายที่เจ้าเป็นผู้ชาย ไม่ว่าจะเป็นรูปร่างหรือหน้าตา เจ้าเหมาะที่จะเป็นผู้หญิงมากกว่า” 

 

 

โม่เทียนเกอพูดไม่ออก นอกเหนือจากสวีจิ้งจือ มู่หรงเยียนก็ชอบล้อนางเช่นกัน บอกว่านางตัวเล็กบ้าง ว่าเป็นผู้ชายที่มีใบหน้าเหมือนผู้หญิงบ้าง ว่าคงจะดีถ้านางเป็นผู้หญิง และอีกมากมาย 

 

 

พอคิดถึงมู่หรงเยียน นางก็อดที่จะถอนใจไม่ได้ มู่หรงเยียนคนที่ชอบหัวเราะและเล่นสนุกบัดนี้ได้หายไปแล้ว 

 

 

เมื่อเห็นสีหน้าของโม่เทียนเกอดูไม่ค่อยสู้ดี มู่หรงจื่อคิดว่านางไม่พอใจกับคำพูดของเขาจึงเปลี่ยนเรื่องคุย “ศิษย์น้องเยี่ย ตั้งแต่เจ้ามาที่นี่ เจ้าได้เจอศิษย์สำนักจื่อซย่าบ้างหรือยัง” 

 

 

โม่เทียนเกอส่ายหน้า “ข้ายังไม่เจอ” เพราะว่ามู่หรงจื่อดูไม่สบายใจกับอะไรบางอย่าง นางจึงถามกลับ “ศิษย์พี่มู่หรงเจอใครเข้าหรือ” 

 

 

คำถามนี้ทำให้มู่หรงจื่อถอนหายใจออกมา “เพราะศิษย์น้องเยี่ยอยู่ที่นี่มาตลอด เจ้าคงยังไม่รู้ว่าศิษย์จากทั้งสามกลุ่มต่อสู้กัน”  

 

 

โม่เทียนเกอคาดการณ์ได้ว่าจะมีผลเช่นนี้ อย่างไรก็ตาม นางไม่ได้พูดออกมาตรงๆ และแกล้งทำเป็นไม่รู้เรื่องรู้ราว” จริงหรือ เกิดอะไรขึ้น”  

 

 

“ข้าก็ไม่รู้ว่ามันเกิดขึ้นได้อย่างไร ในตอนเริ่มแรก มีแค่การต่อสู้ระหว่างบุคคล แต่ภายหลังกลับกลายเป็นการต่อสู้หมู่เช่นนี้ ทางเราและโรงเรียนจินเตาร่วมมือกันเพื่อสู้กับสำนักจื่อซย่า เดิมทีข้าก็ไม่อยากจะเข้าร่วมด้วย แต่เมื่อไหร่ก็ตามที่ข้าเจอคนของสำนักจื่อซย่า พวกเขาโจมตีข้าตรงๆ ทันที ทำให้ข้าไม่มีทางเลือกนอกจากต้องปกป้องตัวเอง ในตอนนั้น ข้าถูกซุ่มโจมตีในขณะที่กำลังฆ่าหมาป่าปีศาจอยู่ ข้าต้องใช้ความพยายามอย่างมากในการหลบหนี” หลังจากเขาพูดจบ สีหน้าของเขาก็เต็มไปด้วยความวิตก “ตอนนี้สถานการณ์วุ่นวายมาก ข้าไม่รู้ว่าเสี่ยวเยียนเป็นอย่างไรบ้าง ก่อนหน้านี้นางมักจะขี้เกียจอยู่เสมอ ทักษะการต่อสู้ของนางจึง…”  

 

 

พอได้ยินคำพูดของเขาก็ทำให้โม่เทียนเกอเป็นกังวลขึ้นมาเล็กน้อยเช่นกัน นอกจากมู่หรงเยียน ยังมีพวกสหายร่วมบ้านของนางอีก แม้ว่าหลิ่วอีเตาและฉินซีจะมีประสบการณ์ในการต่อสู้ด้วยพลังเวทอยู่บ้าง แต่สองหมัดก็ยังไม่เท่ากับสี่มือ ระดับการฝึกตนของสวีจิ้งจือก็ธรรมดาทั่วไป ถึงแม้เขาจะเป็นเด็กที่มาจากกลุ่มผู้ฝึกตนและครอบครองสมบัติบางอย่าง แต่ถ้าเขาเจอเข้ากับศัตรูที่แข็งแกร่ง ผลคงจะออกมายากที่จะตัดสิน 

 

 

ทว่าถึงอย่างนั้น มู่หรงเยียนก็ยังเป็นคนที่น่าห่วงที่สุดจากทั้งหมด ก่อนหน้านี้นางไม่เคยชอบการฝึกตน เหตุผลเดียวที่ระดับการฝึกตนของนางสูงก็เพราะยาวิเศษ อย่างไรก็ตาม ทักษะของนางนั้นช่างธรรมดานัก 

 

 

ทั้งสองคนตกอยู่ในความเงียบชั่วขณะ จนกระทั่งมู่หรงจื่อยิ้มออกมาและพูดว่า “ศิษย์น้องเยี่ย ข้าคงจะต้องขอเอาเปรียบเจ้าอย่างหน้าไม่อาย ให้ข้าอยู่ที่นี่สักพักเถอนะ เพราะว่าตอนนี้ข้าทำอะไรกับบาดแผลของข้าไม่ได้เลย…”  

 

 

โม่เทียนเกอพยักหน้าตกลง “ที่นี่ไม่ใช่ของข้า ทุกคนมีสิทธิ์ที่จะอยู่ที่นี่ ศิษย์พี่มู่หรงไม่ต้องเกรงใจข้าหรอก”