ตอนที่ 697 ถูกช่วยเหลือ / ตอนที่ 698 ทั่วร่างไร้แรง

ลิขิตฟ้าชะตารัก

ตอนที่ 697 ถูกช่วยเหลือ 

 

 

วันนี้ก็เหมือนกับว่านางส่งตัวเองมาถึงหน้าประตูของเขา แล้วนี่จะโทษเขาได้หรือ? วันนั้นยามที่เขาเห็นนาง เขาก็มีความคิดเช่นนี้อยู่แล้ว เพียงแต่ยังไม่มีโอกาสก็เท่านั้น แต่ครั้งนี้ไม่เหมือนกัน เพราะหนึ่งนางมาหาเขาถึงหน้าประตูเอง สองทั้งๆ ที่นางรู้ว่าเขาคิดเช่นไร แต่ก็ยังไม่กลัวผลลัพธ์ที่จะตามมา หากหลิงอ๋องจะโกรธ นั่นก็เป็นเรื่องที่สมควร 

 

 

ใครใช้ให้ลูกสาวของเขาหน้าไม่อาย มาหาตนเองถึงที่ยามกลางค่ำกลางคืนเช่นนี้เล่า 

 

 

มีจวนหลิงอ๋องหนุนหลัง ก็ย่อมนับว่าเป็นเรื่องดีอยู่แล้ว! 

 

 

อยู่บนสวรรค์ดีๆ ไม่ชอบ อยากจะลองลิ้มรสนรกก็ไม่เลว 

 

 

อวี้อาเหราอดไม่ได้ที่จะรู้สึกเป็นทุกข์เป็นร้อน น้ำตาก็ไหลตกลงมา 

 

 

นี่เป็นครั้งแรกที่นางร้องไห้ นางโกรธที่ตัวเองไร้ความสามารถและยังไร้เดียงสา 

 

 

จวินจื่อหร่านฉีกเสื้อผ้าตัวนอกของนางออกไปแล้ว ขณะที่เขากำลังจะฉีกเสื้อผ้าชั้นในของนาง ทันใดนั้นด้านนอกก็เกิดลมพายุพัดโหมเข้ามาอย่างรุนแรง ในเวลาเดียวกันกระบี่ก็ลอยเข้ามาแล้วปักลงไป จวินจื่อหร่านโกรธเสียจนถอยหลังไปในทันที 

 

 

อวี้อาเหรามองไปทางกระบี่ที่ปักเอาไว้บนกำแพง ในใจก็เกิดความยินดีขึ้นมาอย่างอดไม่ได้ 

 

 

ความอดสูที่เกาะกินอยู่ในใจก็ค่อยๆ จางหายไป 

 

 

โชคดีที่ไม่เกิดเรื่องอะไรขึ้นจริงๆ ความบริสุทธิ์ของตัวเองยังไม่ถูกทำลายไป เพียงโดนถอดเสื้อผ้าตัวนอกออกเท่านั้น จวินจื่อหร่านยังไม่ได้แตะเนื้อตัวของนางเลยแม้แต่นิดเดียว แม้แต่จูบยังไม่มี แต่เมื่อนึกถึงลมหายใจของชายแปลกหน้าเมื่อครู่นี้ นางก็รู้สึกสะอิดสะเอียนจนอยากจะอาเจียนออกมา 

 

 

ก่อนหน้านั้น ฉู่ป๋ายเองก็เคยแตะต้องนาง แต่นางก็ไม่ได้มีความรู้สึกสะอิดสะเอียนเลย 

 

 

นางยอมรับจากใจ ตอนนี้ เรื่องบางเรื่องก็ทำให้เกิดความชัดเจนขึ้นในใจของนางแล้ว 

 

 

ไม่แปลกเลย ที่หนิงจื่อเย่บอกว่านางตัดใจฆ่าฉู่ป๋ายไม่ลง 

 

 

ที่แท้ ก็เป็นเพราะ… 

 

 

ดวงตาของนางยังคงแดงก่ำและน้ำตายังคงไหลจนเต็มใบหน้า 

 

 

ที่นางร้องไห้เป็นครั้งแรก ก็เป็นเพราะนางกลัวว่าจะถูกพรากความบริสุทธิ์ไป 

 

 

เมื่อเงยหน้าขึ้นมองด้านนอก ก็เห็นเงาร่างสีดำค่อยๆ เดินเข้ามาทางหน้าต่าง เมื่อมองอย่างละเอียแล้วก็เห็นว่าเป็นหนิงจื่อเย่ที่สวมหน้ากากดุร้าย นางชะงักไป และเมื่อมองไปทางกระบี่ที่ปักอยู่บนกำแพง ก็เห็นว่าเป็นกระบี่ที่เขาใช้เป็นประจำจริงๆ 

 

 

เป็นเขาหรือ นางยังคิดว่าเป็น… 

 

 

เป็นฉู่ป๋าย 

 

 

ทั่วทั้งร่างของหนิงจื่อเย่เต็มไปด้วยไอสังหาร หน้ากากดุร้ายบนใบหน้าของเขานั้นเหมือนกับอสุราก็ไม่ปาน 

 

 

จวินจื่อหร่านหันไปมองหน้ากากของเขา เพียงปราดเดียวก็จำได้ “เป็นเจ้าหรือ เจ้าสำนักเม่ยเก๋อ?” 

 

 

“ไม่ผิด” หนิงจื่อเย่พยักหน้า ดวงตาทั้งสองมองไปทางอีกฝ่ายเหมือยไม่เคยเห็นมาก่อน 

 

 

จวินจื่อหร่านกลับหัวเราะออกมา ปรายตามองอวี้อาเหรา จากนั้นจึงพูดขึ้นว่า “เจ้าส่งนางมาให้ข้าเถิด เจ้าตั้งใจที่จะส่งนางมาให้ข้าอยู่แล้วมิใช่หรือ?” 

 

 

“เจ้าเข้าใจเช่นนั้นหรือ?” เงาร่างของหนิงจื่อเย่ขยับ ในชั่วพริบตาก็พุ่งเข้าไปตรงหน้าของจวินจื่อหร่านในทันที แล้วกุมคอของเขาเอาไว้ “ข้า เกลียดที่สุดก็คือชายหนุ่มที่บีบบังคับหญิงสาว…” 

 

 

จวินจื่อหร่านถูกเขาบีบคอเสียจนหน้าแดง แน่นอนว่าไม่อาจที่จะสู้หนิงจื่อเย่ได้ สะบัดไม่หลุด อยากจะร้อง แต่ก็ร้องไม่ออก 

 

 

ทำได้แต่เพียงจ้องมองอีกฝ่าย จนไม่อาจที่จะพูดอะไรได้ 

 

 

อวี้อาเหราร้องออกมาอย่างทันท่วงที “เขาเป็นองค์ชายใหญ่ เจ้าฆ่าเขาแล้วจะเกิดเรื่องยุ่งยากนะ” 

 

 

“ข้าไม่เคยกลัวเรื่องยุ่งยาก” หนิงจื่อเย่กล่าวเสียงเย็น แล้วหันกลับไปทางนาง “เขาเกือบจะทำให้เจ้า… หรือว่า เจ้าไม่โกรธ?” 

 

 

“แน่นอนว่าต้องโกรธ” สายตาของนางเต็มไปด้วยความโกรธเคือง เหมือนกับใบมีดเย็นชาเชือนร่างของจวินจื่อหร่านออกทีละนิ้ว ในใจของนางนั้นยิ่งกว่าโกรธเคือง นางแทบจะอยากฆ่าเขาให้ตายเสียยิ่งนัก ทว่าหากฆ่าเขาตายแล้ว ก็จะทำให้คนอื่นรู้ตัวได้ ในยามนั้น ไม่มีประโยชน์อะไรเลยแม้แต่น้อย 

 

 

จะให้เขาตายไปอย่างสงบเช่นนี้ นางทำไม่ได้หรอก 

 

 

 

 

 

ตอนที่ 698 ทั่วร่างไร้แรง 

 

 

ยามปกติอวี้อาเหราค่อนข้างที่จะใจกว้างกับผู้อื่นเสมอมา ทว่ากับจวินจื่อหร่านั้น นางอยากจะแล่เนื้อของเขาออกมาทีละชิ้นๆ แล้วค่อยๆ ทรมานเขาให้ตาย สำหรับคนที่นางเกลียดที่สุด แน่นอนว่านางไม่อาจออมมือแน่ 

 

 

เพราะว่าเมื่อครู่นี้นางเกือบจะโดนเขาทำให้เปื้อนมลทินเสียแล้ว! 

 

 

เพียงนึกถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อครู่นี้ น้ำตาของนางก็ไหลไม่หยุด  

 

 

ก่อนหน้านี้นางคิดว่าตัวเองไม่ค่อยชอบร้องไห้ ที่แท้ก็เป็นเพราะนางไม่เคยพบตัวเองอยู่ในสถานการณ์ที่เจ็บปวดหัวใจเช่นนี้ 

 

 

หนิงจื่อเย่ได้ยินที่นางพูด และสีหน้าของนางที่ราวกับต้องการจะฆ่าจวินจื่อหร่านให้ตายคามือ ในใจของเขาก็เข้าใจขึ้นมา เมื่อคิดว่าเป็นเพราะเป้าหมายของเขาเองที่ทำให้อวี้อาเหราต้องมาทีนี่ ดังนั้นจึงหันกลับไปมองร่างของจวินจื่อหร่านอีกครั้ง 

 

 

“ที่อาเหราบอกเจ้าเมื่อครู่นี้ทั้งหมด เจ้าคิดให้ดี แล้วตั้งใจทำให้ข้าเสีย” 

 

 

จวินจื่อหร่านหัวเราะเสียงเย็น “ข้าทำให้เจ้าแล้วจะได้ประโยชน์อะไร? ไม่ทำ!” 

 

 

“ไม่ทำก็ได้ แต่อย่าลืมว่าข้าสามารถทำเรื่องอะไรได้มากมายโดยใช้ชื่อของเจ้า หากพูดออกไปส่งเดช แล้วตกอยู่ในมือของฮ่องเต้และไทเฮาเข้า เจ้าจะมีชีวิตรอดหรือ?” หนิงจื่อเย่บีบบังคับเขา 

 

 

จวินจื่อหร่านชะงัก “เจ้าอย่าขู่ข้า ข้าไม่เชื่อเจ้าหรอก” 

 

 

หนิงจื่อเย่เห็นว่าเขาไม่เชื่อ ดังนั้นจึงโน้มกายเข้ามา แล้วกระซิบกับหูของเขา 

 

 

หลังจากได้ฟังแล้ว สีหน้าของจวินจื่อหร่านก็เปลี่ยนไปมากมายหลากหลาย ราวกับโดนถังสีสาดใส่ก็ไม่ปาน 

 

 

หนิงจื่อเย่ถอนกายออกมา แล้วมองไปทางอวี้อาเหราที่นอนอยู่บนเตียง “ไปกันเถิด” 

 

 

“ข้าโดนเขาวางยาใส่ถ้วยน้ำชา ทั่วร่างไร้กำลัง” อวี้อาเหรารู้สึกดีขึ้นเล็กน้อย นางต้องการที่จะพูดอีกหลายคำ ทว่าน้ำเสียงของนางกลับสั่นเทา เพราะตกใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อครู่นี้ 

 

 

หนิงจื่อเย่ขมวดคิ้ว สุดท้ายก็ยื่นมือออกมาประคองนาง ทั้งสองจากไปพร้อมกัน 

 

 

ยามที่กำลังจะเดินจากไปนั้น อวี้อาเหราก็ลอบสาบานกับตัวเองในใจว่าอย่างไรนางก็จะไม่ปล่อยจวินจื่อหร่านเอาไว้แน่ 

 

 

เรื่องที่เกิดขึ้นวันนี้ทั้งหมด นางจะจำเอาไว้! 

 

 

เมื่อทั้งสองออกจากจวน หนิงจื่อเย่ก็หยุดฝีเท้าลง มองหน้านางที่น้ำตานองหน้า ลังเลอยู่นานจึงค่อยถามขึ้น 

 

 

“เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง” 

 

 

“ไม่ใช่เรื่องของเจ้า” 

 

 

น้ำเสียงของอวี้อาเหราไม่น่าฟัง หากไม่ใช่เพราะเขาแล้ว นางก็เกือบจะถูกจวินจื่อหร่าน… 

 

 

เมื่อได้ยินน้ำเสียงของนาง หนิงจื่อเย่ก็มองนางนิ่งๆ ริมฝีปากของเขาขยับ ทว่ากลับไม่ได้ยินเสียงของเขาเลย และสีหน้าที่อยู่หลังหน้ากากนั้น ก็ไม่รู้ว่ามีสีหน้าเช่นไร 

 

 

อวี้อาเหรากำลังตั้งใจฟัง ทันใดนั้นที่ด้านหน้าของนางก็ปรากฏเงาร่างที่สวมเสื้อผ้าสีขาวเอาไว้ นางเพียงมองก็จำได้ 

 

 

ฉู่ป๋าย… 

 

 

เป็นเขา… 

 

 

เป็นเขา 

 

 

ไม่ต้องรอให้คิดอะไรมาก นางไม่ได้คิดอะไรอีก ก้าวเดินไปข้างหน้าทันที 

 

 

หนิงจื่อเย่ยังไม่ทันที่จะเอ่ยคำขอโทษ มือของเขาก็ว่างเปล่าเสียแล้ว 

 

 

เพียงเงยหน้าขึ้น ก็มองเห็นว่าอวี้อาเหรากำลังเดินไปทางหาฉู่ป๋าย ความเร็วยังไม่ถือว่ารวดเร็วนัก แต่ก็ไม่มีท่าทีอ่อนปวกเปียกเหมือนน้ำ มุมปากของเขาแย้มยิ้มออกมาอย่างจนใจ ไหนบอกว่าทั่วทั้งร่างไร้ซึ่งเรี่ยวแรงมิใช่หรือ? ทำไมจึงยังมีแรงเงดินอีกเล่า ดูมีชีวิตชีวากว่าตอนที่เขาต้องประคองนางเดินมาเสียอีก 

 

 

ฉู่ป๋ายเองก็มองเห็นพวกเขาทั้งสอง สายตานิ่งเฉย เมื่อเห็นอวี้อาเหรากำลังเดินเข้ามาหา ความรู้สึกแรกก็รู้ว่าผิดปกติ เมื่อมองดูอีกครั้งหนิงจื่อเย่ก็หายไปจากสายตา ใบหน้าของเขามืดดำ ก้าวยาวๆ เข้ามา 

 

 

อวี้อาเหรายิ่งก้าวเข้ามาใกล้ แล้วทันใดนั้นก็กอดเขาอย่างแนบแน่นด้วยกำลังมหาศาล จนเหมือนกระโจนเข้าใส่ นางกอดเขาเสียแน่นราวฟ้าถล่มดินทลาย ได้ยินเสียงหัวใจเต้นของเขา นางก็ไม่เคยสงบใจได้เสียเลย 

 

 

ฉู่ป๋ายชะงัก วางมือลงไปอย่างหมดเรี่ยวแรง “เจ้า…”