แดนนิรมิตเทพ บทที่ 872
เฉินโม่หัวเราะเบา ๆ “ถ้าไม่ใช่เพราะการปรากฏตัวของนักบู๊แดนมองขวัญสิบสองคนนี้ ฉันเกือบจะลืมแกไปเลย มันก็ใช่ เซี่ยงชงนั้นแข็งแกร่งที่สุดในบรรดาพวกเขา ดังนั้นต้องไม่เสียไปเปล่า ๆ”

ดูเหมือนว่างูเกล็ดแดงทิพย์จะได้ยินสิ่งที่เฉินโม่พูด เขาพยักหน้าเห็นด้วยกับคำพูดของเฉินโม่

“ด้วยสติปัญญาของเจ้า อีกไม่นานเจ้าก็จะสามารถกลายร่างเป็นมังกรได้อย่างแน่นอน แต่น่าเสียดายที่ชี่ทิพย์ของโลกมันไม่อุดมสมบูรณ์ เลยจำกัดการเติบโตของเจ้า หากเจ้าต้องการกลายร่างเป็นมังกร เจ้าจะต้องออกไปจากโลกนี้” เฉินโม่มองงูเกล็ดแดงทิพย์ที่บินวนอยู่รอบเขา และกล่าวเบา ๆ

หลังจากงูเกล็ดแดงทิพย์ฟังคำพูดของเฉินโม่จบแล้ว มันก็ใช้หัวตนเองถูไปที่ขาของเฉินโม่ ราวกับขอร้องให้เฉินโม่พามันออกไปจากโลกใบนี้

เฉินโม่ยิ้มเล็กน้อย “วางใจเถอะ ถ้าเจ้าเชื่อฟัง ฉันก็จะพาเจ้าออกไปจากโลกนี้แน่นอน แต่ตอนนี้เจ้าต้องอยู่ที่นี่ และเป็นสัตว์ทิพย์พิทักษ์ฉันก่อน!”

เมื่อมองท้องฟ้ายามค่ำคืนที่เงียบสงบในระยะไกล ความเย็นชาประกายอยู่ในดวงตาของเฉินโม่ “ฆ่าปรมาจารย์แดนมองขวัญสิบสองคนในคราวเดียว เกรงว่าจะเป็นการกำจัดเฒ่าประหลาดในโลกฝึกบู๊ไปทั้งหมดแล้ว และถ้าไม่มีเฒ่าประหลาดเหล่านี้คอยบัญชาการ บางทีอาจจะเกิดการปรับเปลี่ยนกองกำลังในโลกฝึกบู๊ของหัวเซี่ยใหม่”

อย่างไรก็ตาม ทั้งหมดนี้ไม่เกี่ยวอะไรกับเขา ตอนนี้สิ่งที่เขาต้องทำคือพัฒนาความแข็งแกร่งของตนเอง เพื่อรับมือกับกองกำลังที่หลบซ่อนอยู่เบื้องหลัง

วันรุ่งขึ้น เฉินโม่และเฉินซงจื่อไปส่งหลี่ซู่เฟินและเวินฉิงกลับฮ่านหยางด้วยตนเอง

เอียนชิงเฉิงและซังซังยังคงอยู่ฝึกที่ทะเลสาบกลับคืนรังต่อ หลังจากผ่านการต่อสู้ครั้งนี้แล้ว มันสร้างความสะเทือนใจต่อผู้หญิงที่แข็งแกร่งอย่างเอียนชิงเฉิงมาก

ดังนั้น ต่อจากนี้ไป เอียนชิงเฉิงต้องฝึกหนักขึ้นกว่าเดิมอย่างแน่นอน

เฉินโม่เดินทางจากฮ่านหยางกลับมาที่มหาวิทยาลัยหัวหนาน หลังจากนั้นเขาก็หลอมหินหยาบจากทะเลลึกที่เหลือต่อ

เวลาผ่านไปอย่างเงียบ ๆ และชั่วพริบตาก็เข้าสู่ช่วงฤดูใบไม้ร่วงแล้ว

ฤดูใบไม้ร่วง ควรจะเป็นฤดูที่ท้องฟ้าแจ่มใสและอากาศสดชื่น แต่สภาพแวดล้อมตอนนี้ของหัวเซี่ยน่าเป็นห่วงจริง ๆ เพราะแม้แต่ฤดูใบไม้ร่วง ก็ยังทำให้ผู้คนรู้สึกหดหู่เล็กน้อย

เฉินโม่หลอมหินหยาบจากทะเลลึกเสร็จสิ้นสมบูรณ์ และร่างธาตุน้ำบรรลุถึงชั้นรู้ความแล้ว แต่พลังบำเพ็ญยังไม่ทะลวง น่าจะอยู่ที่ชั้นหกแดนรวมพลังชั้นสูงสุด และอยู่ไม่ห่างจากชั้นเจ็ดแดนรวมพลังแล้ว

ในมหาวิทยาลัยหัวหนาน ถนนที่สะอาดและปูด้วยหินสีเขียว เมื่อเดินแล้วทำให้รู้สึกผ่อนคลายและมีความสุข

เฉินโม่และเล่หรูหั่วเดินอยู่ข้างหน้า ส่วนจี๋ต๋าจิ่วตู มู่หรงยานเอ๋อร์และคนอื่น ๆ เดินตามอยู่ข้างหลัง

“ตอนนี้ครอบครัวของเธอ ไม่ได้ทำให้เธอลำบากใจใช่ไหม?” เฉินโม่ถามด้วยน้ำเสียงราบเรียบ

เล่หรูหั่วกางแขนออก เผยให้เห็นรูปร่างที่สวยงาม และกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “อย่าว่าแต่ครอบครัวของฉันเลย ตอนนี้ไม่มีใครในจ่งไห่กล้าทำให้ฉันลำบากใจอีกแล้ว”

เฉินโม่พยักหน้า ดูเหมือนว่าเรื่องที่เกิดขึ้นในงานแต่งงานนั้นจะทำให้ทุกคนเกรงกลัว มีผลลัพธ์ที่ไม่เลว

“งั้นตอนนี้เธอก็เป็นอิสระแล้ว” เฉินโม่กล่าว

“ถูกต้อง ฉันเป็นอิสระแล้ว แต่ฉันมักจะรู้สึกเหมือนอยู่ในความฝัน และการที่ภาระที่อยู่ในใจสิบกว่าปีหายไปทันที กลับทำให้ฉันไม่ค่อยชิน” เล่หรูหั่วหัวเราะเยาะตนเอง

เฉินโม่ตกตะลึงครู่หนึ่ง คำพูดของเล่หรูหั่วทำให้เขารู้สึกตกใจ และอดไม่ได้ที่จะคิดไตร่ตรอง

เขาคิดเสมอว่าสิ่งที่เขาให้ผู้อื่นนั้นดีที่สุด แต่นั่นคือสิ่งที่คนอื่นต้องการจริง ๆ ไหม?

“ดูเหมือนว่ามีคนกำลังตามหานายอยู่!” คำพูดของเล่หรูหั่วขัดจังหวะความคิดของเฉินโม่

เฉินโม่มองไปข้างหน้าตามสายตาของเล่หรูหั่ว เขาเห็นชายหนุ่มคนหนึ่งสวมชุดกีฬาสีดำ ยืนอยู่ตรงจุดสิ้นสุดทางเดินที่ปูด้วยหิน

เฉินโม่รู้จักชายหนุ่มคนนี้ เขาชื่อเสี่ยวลิ่วเป็นลูกน้องของเจียงเหอซาน คราวที่แล้วเจียงเหอซานแจ้งข่าวของเซี่ยงชงให้เฉินโม่ทราบผ่านเขาเช่นกัน

ปกติแล้ว เสี่ยวลิ่วจะไม่มาหาเฉินโม่ง่าย ๆ เมื่อเห็นเสี่ยวลิ่วปรากฏตัว เฉินโม่รู้สึกว่าเจียงเหอซานคงมีธุระสำคัญต้องการพบตนเอง