กู้ชูหน่วนสตรีอัปลักษณ์ บทที่ 1005
“อันดับแรก ส่งคนไปตรวจสอบตามแม่น้ำโบราณที่แห้งเหือดเพื่อดูว่ามีแหล่งน้ำใต้ดินอยู่หรือไม่ และจากนั้นก็ส่งผู้เชี่ยวชาญไปตรวจสอบว่ามีน้ำอยู่ด้านล่างหรือไม่ จากนั้นก็ทำการขุดบ่อน้ำหากมีน้ำ อันดับถัดไปผู้คนที่เข้าร่วมการขุดสร้างคูคลองจะได้รับการแจกจ่ายอาหารและที่พักทุกคน”
“ฝ่าบาท สองเรื่องแรกยังพอลองดูได้ แต่เรื่องที่สาม ผู้หญิงมีเรี่ยวแรงน้อยกว่าและทำอะไรได้ไม่เยอะเท่าไร ราชสำนักของเราก็…..ไม่มีข้าวที่จะแจกจ่ายออกไปแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
“ไม่มีเรี่ยวแรง เช่นนั้นก็หุงหาอาหาร ทำความสะอาดเล็กๆ น้อยๆ ส่วนข้าว…..”
กู้ชูหน่วนครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งและจากนั้นก็กล่าวว่า “เปิดรับการระดมทรัพย์ด้วยการบริจาค”
“ทำอย่างไรหรือพ่ะย่ะค่ะ?”
“ผู้หญิงชั่วร้ายคนนั้นฆ่าขุนนางไปเป็นจำนวนมากไม่ใช่หรือ โดยเฉพาะขุนนางในเมืองหลวง? ขอเพียงแค่เป็นราษฎรของรัฐปิง ทุกคนสามารถบริจาคได้ การบริจาคนอกจากเงินแล้วก็ยังมีสิ่งของอื่นๆ เช่นข้าว หมี่ น้ำมัน ผ้า ยารักษาโรคต่างๆ ใครที่บริจาคมากก็สามารถเข้าร่วมการคัดเลือกตำแหน่งขุนนาง ไม่ว่าจะเป็นตำแหน่งน้อยใหญ่ก็ได้และสูงสุดจะได้เข้าร่วมการคัดเลือกตำแหน่งอัครเสนาบดี”
ซี๊ด……
บรรดาขุนนางชั้นผู้ใหญ่ต่างมองไปยังกู้ชูหน่วนอย่างไม่เชื่อหูตัวเอง
อัครเสนาบดีกล่าวด้วยความตื่นตระหนก
“ฝ่าบาท จะทำเช่นนั้นไม่ได้พ่ะย่ะค่ะ ทำเช่นนี้ก็เท่ากับขายตำแหน่งและหากเป็นเช่นนี้นานวันเข้าจะไม่เป็นการดีต่อราชสำนักพ่ะย่ะค่ะ”
“ใช่พ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท เพื่อให้รัฐปิงสามารถอยู่ต่อไปได้อย่างแข็งแกร่งยั่งยืน เรื่องเช่นนี้จะเกิดขึ้นไม่ได้นะพ่ะย่ะค่ะ ตั้งแต่อดีตกาลนานมาการสอบการขุนนางก็กระทำการคัดเลือกกันอย่างเคร่งครัดและเข้มงวด หากฝ่าบาท….กระทำเช่นนี้ หาก…….หาก”
“ฝ่าบาทได้โปรดยกเลิกพระราชโองการด้วยพ่ะย่ะค่ะ”
“ฝ่าบาทได้โปรดยกเลิกพระราชโองการด้วยพ่ะย่ะค่ะ”
เบื้องล่างต่างพากันโห่ร้องและมีเพียงขุนนางไม่กี่คนที่ไม่คุกเข่าลง
กู้ชูหน่วนหัวเราะ “งั้นข้าถามพวกเจ้า หากไม่จัดการปัญหาเรื่องเสบียงอาหาร ปัญหาภัยพิบัติอุทกภัย เช่นนั้นรัฐปิงจะอยู่ต่อไปได้อย่างไร?”
“รัฐปิงมีความแข็งแกร่ง จะต้องมีอายุอยู่ได้อย่างยาวนานหลายหมื่นยุคสมัยอย่างแน่นอนพ่ะย่ะค่ะ”
“เจ้าพูดเช่นนี้ เจ้าไม่กลัวจะถูกฟ้าผ่าบ้างเลยหรือ”
“ฝ่าบาทได้โปรดอภัยให้กระหม่อมด้วย กระหม่อมผิดไปแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
กู้ชูหน่วนรู้สึกเบื่อหน่ายที่จะเสียเวลากับคนเหล่านี้และกล่าวตัดบทออกไป “มีการกบฎเกิดขึ้นภายในรัฐปิงจำนวนมาก และรัฐเพื่อนบ้านก็เฝ้าจับตาดูอยู่ หากรัฐของเรายังคงอ่อนแอและมีปัญหาอยู่เช่นนี้โดยไม่รีบจัดการโดยเร็ว ข้าเกรงว่ารัฐปิงคงอยู่ไม่ได้แม้แค่เวลาเพียงสามปี”
ท่านอ๋องเสวี่ยและหยางโม่พิจารณาถึงคำพูดของนางและต่างพากันพยักหน้าเห็นด้วย
“ฝ่าบาททรงพระอัจฉริยภาพ ราชสำนักขาดแคลนเสบียง ขุนนางและเงิน และนี่ก็คือวิธีการแก้ปัญหาที่ดีที่สุดในตอนนี้”
หากขุนนางเหล่านั้นไม่เห็นด้วย รอให้รัฐปิงกลับมาเข้มแข็งแล้วค่อยจัดการกับคนเหล่านี้ก็ยังไม่สาย
“เรื่องนี้ขอให้จัดการตามที่บอกออกไป พวกเขาบริจาค ไม่เพียงสามารถเป็นขุนนาง แต่….ยังสามารถเป็นที่ปรึกษาจักรพรรดิ จากนั้นจัดทำป้ายประกาศเกียรติคุณของพวกเขาเพื่อเผยแพร่ไปสู่คนรุ่นหลัง”
ซี๊ด……
ไม่เพียงสามารถเป็นที่ปรึกษาจักรพรรดิ
ยังสามารถมีชื่อในผู้มีคุณงามความดีต่อรัฐ?
นี่ถือเป็นเรื่องที่เป็นเกียรติแก่ตระกูลและบรรพบุรุษอย่างมากเลยทีเดียว
เชื่อว่าขอเพียงแค่มีเงิน ไม่ว่าใครก็ยอมบริจาคกันทั้งนั้น
“การสร้างเขื่อนและคูคลองควรสร้างเพื่อกันน้ำท่วม และทุกค่าใช้จ่ายในรัฐปิงควรบริหารจัดการอย่างรอบคอบและประหยัด ไม่ว่าจะเป็นจักรพรรดินีเองและรวมไปถึงราษฎรทั่วไป จะไม่มีการอนุญาตให้ทำอาหารเกินสามอย่าง”
“ส่วนเมืองเกาเฉิง ในเมื่อทั้งเมืองได้ถูกทำลายลงแล้วจะยังสร้างอีกเพื่ออะไร ไม่ต้องสร้างใหม่แล้ว ให้ประชาชนที่ได้รับผลกระทบอพยพโยกย้ายไปยังเมืองใกล้เคียง”
“ฝ่าบาททรงพระปรีชา”
“ฝ่าบาท เช่นนั้นแล้วเรื่องเงินเดือนของทหารล่ะพ่ะย่ะค่ะ?”
กู้ชูหน่วนศีรษะแทบจะระเบิด
มีแต่เรื่องเงิน เงิน เงิน…..
ทองคำสองล้านตำลึงจะไปหามาจากที่ไหน?
“บอกเหล่าทหารว่าจะจ่ายให้กับพวกเขาภายในหนึ่งเดือน ให้พวกเขาวางใจได้”
บรรดาขุนนางยังมีเรื่องจะถามว่าจะไปหาทองคำสองล้านตำลึงมาจากที่ไหน? เก็บภาษีหรือ? ต่อให้เก็บภาษีหนึ่งเดือนก็ไม่เพียงพอ
ขุนนางถามออกไปอย่างลองเชิง “ฝ่าบาท ต้องจัดเก็บภาษีหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ?”
“ไม่เก็บ ออกพระราชโองการออกไปว่ารัฐปิงจะไม่มีการเรียกจัดเก็บภาษีในสามปี อีกไม่นานจะถึงฤดูใบไม้ร่วงแล้ว ให้ประชาชนทุกคนรีบหว่านเมล็ดพันธุ์”
“พ่ะย่ะค่ะ”
“วันนี้พอแค่นี้ก่อน”
กู้ชูหน่วนขยี้ตาและแทบอยากลงจากการว่าพระราชกิจ แต่ก็เกรงว่าบรรดาขุนนางจะพูดอะไรไม่ดีออกมา ฉะนั้นจึงคิดหาวิธีหาเงิน
กู้ชูหน่วนเสมือนเป็นแม่ที่เกรี้ยวกราด
ตั้งแต่ที่นางได้เป็นจักรพรรดินี ชีวิตของนางเปรียบเสมือนขอทาน
แต่ขอทานเพียงแค่ทำให้ตัวเองกินอิ่มนอนหลับก็สามารถใช้ชีวิตได้อย่างสุขสบาย
ส่วนนาง?
นางต้องอ่านโองการที่ขุนนางกราบทูลเข้ามาทุกวันที่กองพะเนินเป็นภูเขา ล้วนแล้วแต่เป็นเรื่องความไม่สงบสุขและปัญหาภัยพิบัติต่างๆ รวมไปถึงเรื่องเงินขาดแคลน
นางสงสัยว่าการได้เป็นจักรพรรดินีของนางเป็นการชดใช้กรรมหรือไม่
นางได้บริจาคทรัพย์สมบัติส่วนตัวที่มีไปจนหมดแล้ว แถมยังนำสมบัติของเสี่ยวจิ่วเอ๋อร์และเจ้าเสือน้อยออกมาใช้ทั้งหมด และยังมีเงินจำนวนหนึ่งของกระทิงเก้าเขาอีกด้วย
นางหยิบโองการเล่มหนึ่งขึ้นมาและข้างในเขียนขอให้อนุมัติเงินเรื่องภัยพิบัติที่เกิดขึ้นที่เมืองเติงอย่างเร่งด่วน มีคนในหมู่บ้านอดตายแล้วกว่าแปดคน
“เพี๊ยะ…….”
กู้ชูหน่วนโยนโองการลงกับพื้นอย่างแรง และโมโหจนใช้แขนเสื้อพัดให้เกิดลม
สิ่งสำคัญที่นางต้องการใช้ตำแหน่งจักรพรรดินีในการตามหาเซี่ยวอวี่เซวียนและดวงวิญญาณที่เหลืออยู่ แต่ตอนนี้กลับกลายเป็นอะไร?
กรรมกร?
เมื่อสาวใช้หลิงเอ๋อร์เห็นเข้าก็รีบเก็บโองการที่กราบทูลขึ้นมาและวางไว้ที่เดิม และจากนั้นก็ถือพัดไปพัดให้กู้ชูหน่วนและกล่าวปลอบใจ
“ฝ่าบาทอย่าเพิ่งร้อนใจไปเลยเพคะ ตั้งแต่ที่ฝ่าบาทออกพระราชโองการเรื่องการบริจาคออกไป ตอนนี้ใต้เท้าอวี๋ก็ได้ระดมเงินได้ถึงสามล้านกว่าตำลึงแล้วนะเพคะ เหล่าขุนนางต่างพากันชื่นชมในพระอัจฉริยภาพของฝ่าบาท”
“ค่าใช้จ่ายมากมายเหลือเกิน เงินแค่สามล้านตำลึงกลับทำอะไรไม่ได้เลย”
เงินนี้มีจำนวนน้อยนิดมากเมื่อเทียบกับปัญหาที่ต้องแก้ไข
“การระดมเงินบริจาคยังไม่จบสิ้น ไม่แน่…..ไม่แน่ใต้เท้าอวี๋อาจสามารถระดมเงินได้อีกจำนวนมากนะเพคะ”
กู้ชูหน่วนนวดจุดชีพจรของตัวเอง
หวังเพียงเงินบริจาคก็ไม่เพียงพออะไร ภัยพิบัติที่รุนแรง ปัญหาการขาดแคลนน้ำ ปัญหาการขาดเสบียงอาหารต่างๆ นานา
อีกไม่นานก็จะเข้าสู่ฤดูหนาวแล้ว หากไม่สามารถจัดการปัญหาทั้งหมดให้จบก่อนฤดูหนาวมาถึง เกรงว่าฤดูหนาวนี้จะต้องมีคนหนาวตายอีกไม่รู้เท่าไร
เมื่อก่อนตอนที่นางอยู่เพียงลำพังตัวคนเดียว กลับไม่รู้สึกว่าเงินจะมีความสำคัญมากขนาดนี้ ทว่าตอนนี้นางกลับจำเป็นต้องใช้เงินในการจัดการปัญหาต่างๆ
นางหยิบโองการที่กราบทูลขึ้นมาอีกฉบับ
กู้ชูหน่วนโกรธจนหน้าเขียว
จากนั้นก็โยนโองการฉบับนั้นลงกับพื้นอีกครั้ง
หลิงเอ๋อร์ทำได้เพียงหยิบกลับขึ้นมาเหมือนเดิม
ในแต่ละวัน ฝ่าบาทโยนโองการลงพื้นไปแล้วไม่รู้กี่ฉบับ
“ฝ่าบาทเพคะ ฝ่าบาททรงงานมาแล้วสองวันสองคืน ฝ่าบาทพักผ่อนสักหน่อยเถอะเพคะ รอให้พักผ่อนดีแล้วค่อยกลับมาทรงงานอีกครั้งเถอะนะเพคะ”
“ใช้โอกาสนี้ขึ้นราคาข้าว ตอนนี้รัฐปิงก็ลำบากมากพอแล้ว พ่อค้าหัวใสไร้จิตสำนึกเหล่านี้ยังกล้าคิดทำเรื่องสกปรกเช่นนี้อีก”
“ฝ่าบาท ท่านอ๋องเสวี่ยขอเข้าเฝ้าอยู่ภายนอกเพคะ”
“ข้ากำลังคิดอยากเจอพวกเขาพอดี ให้พวกเขาเข้ามาได้”
“เพคะ”
“กระหม่อมคารวะฝ่าบาท ขอฝ่าบาททรงพระเจริญหมื่นปี หมื่นๆ ปี”
“เพี๊ยะ…..”
กู้ชูหน่วนโยนโองการไปให้ท่านอ๋องเสวี่ยและกล่าวเพียง “ตัดศีรษะ”
ท่านอ๋องเสวี่ยเปิดโองการดูและขมวดคิ้วแน่น
เขามาที่นี่ในวันนี้หนึ่งในนั้นก็เป็นเพราะเรื่องนี้
“ฝ่าบาท หากจะตัดต้องศีรษะละก็ เกรงว่า….เกรงว่าคงต้องประหารคนเป็นจำนวนมากพ่ะย่ะค่ะ”
“ประกาศออกไปว่าใครกล้าขึ้นราคาข้าวให้ทำการประหารได้ และยึดทรัพย์สมบัติทั้งหมดเป็นของหลวง หากขุนนางและพ่อค้าร่วมมือสมคบคิดกัน เช่นนั้นก็จัดการประหารขุนนางไปด้วย จากนั้นให้เนรเทศคนในครอบครัวไปที่เขตชายแดนทางตอนใต้และจะไม่มีทางได้รับการอภัยโทษอีกไปตลอดชีวิต”
กู้ชูหน่วนกล่าวอย่างเยือกเย็น “มีการขึ้นราคาข้าวสิบคนก็ประหารสิบคน มีร้อยคนก็ประหารร้อยคน หากขุนนางทั้งรัฐปิงสมคบคิดกับพ่อค้าก็ประหารชีวิตให้หมด”
“ประหาร……ประหารชีวิตทั้งหมด? เอ่อ…..หากต้องประหารชีวิตทั้งหมดแล้วรัฐปิงจะเป็นอย่างไร”
“มีคนอยากเป็นขุนนางตั้งมากมาย”
“ฝ่าบาท เรื่องนี้จะเกินไป…..”
ซี๊ด……
กู้ชูหน่วนหันมาและส่งสายตาอย่างเยือกเย็นจนท่านอ๋องเสวี่ยรู้สึกหวาดกลัว
เขารู้สึกถูกกดดันจนแทบหายใจไม่ออก
“แล้วนี่มันอะไรกัน? เหตุใดค่าใช้จ่ายของวังหลังถึงมากมายเช่นนี้?”
“เอ่อ…..ฝ่าบาท วังหลังมีคุณชายอยู่เป็นจำนวนมาก ทำให้ค่าใช้จ่าย……”