“ไม่มีอะไรที่น่าเป็นห่วงแล้วล่ะ” เปปเปอร์มองดูเธอแล้วตอบกลับ
แม้ว่าเขาจะพูดเช่นนั้น แต่มายมิ้นท์ก็ยังคงไม่วางใจ “จริงเหรอคะ คุณยังปวดหัวเวียนหัวอยู่ไหม แล้วแขนของคุณ……”
“ผมไม่เป็นอะไรจริงๆ อย่าได้เป็นห่วงไปเลย” เปปเปอร์พูดขัดประโยคของเธอขึ้น เพื่อให้เห็นว่าเขาไม่ได้เป็นอะไรจริงๆ
มายมิ้นท์ขยับริมฝีปากของตนเล็กน้อย เธอไม่รู้ว่าจะพูดอะไรดี
ในเวลานั้นเปปเปอร์ก็ได้เอ่ยถามขึ้นอีกว่า “แล้วคุณละครับ ได้ยินเหมันตร์บอกกับผมว่าตอนที่คุณแบบผมลงมาจากภูเขา เหนื่อยเสียจนเป็นลมไป คุณเป็นอะไรหรือเปล่า?”
มายมิ้นท์ส่ายหน้า “ฉันไม่เป็นอะไรเลยค่ะ”
เธอเพียงแค่บาดเจ็บที่หลังเนื่องจากกล้ามเนื้อเล็กน้อย ใช้เวลาไม่นานก็คงหายดี
แต่เขาไม่เหมือนกัน อย่าว่าแต่ศีรษะและหลังเลย เพียงแค่รักษาแขนคาดว่าก็คงกว่าครึ่งปีถึงจะหาย
คนที่มีอาการหนักคือเขาต่างหาก
“ไม่เป็นอะไรก็ดีแล้ว” เปปเปอร์มองออกว่ามายมิ้นท์นั้นพูดความจริง เขาจึงได้วางใจแล้วพยักหน้า “ขอบคุณคุณมากนะครับที่แบกผมออกมา หากไม่ใช่เพราะคุณพาผมลงมาจากภูเขา คาดว่าผมคงจะตายไปนานแล้ว”
มายมิ้นท์เงยหน้ามองดูเขาด้วยสายตาจริงจัง “คนที่ควรจะพูดขอบคุณควรเป็นฉัน ถ้าคุณไม่เข้ามาช่วยเอาไว้ ทั้งฉันและราเม็งก็คงจะไม่มีชีวิตรอดออกมา ดังนั้นเป็นฉันที่ติดค้างคุณ ไม่ใช่คุณที่ติดค้างฉัน เอาล่ะค่ะคุณอยากกินอะไรไหม?”
จู่ๆ เธอก็เปลี่ยนหัวข้อสนทนาเป็นคำถาม
เปปเปอร์เลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย “อยากกินอะไร?”
“ใช่ค่ะ” เป็นเพราะฉันจึงทำให้คุณต้องบาดเจ็บแบบนี้ ดังนั้นฉันจะอยู่คอยดูแลเป็นเพื่อนคุณจนกระทั่งคุณหายดี ถ้าคุณอยากกินอะไรก็บอกฉันมาได้เลย ฉันจะทำให้คุณกินเอง” มายมิ้นท์พูด
เปปเปอร์กลับส่ายหน้าปฏิเสธแล้วตอบว่า “ไม่เป็นไรหรอกครับ ไม่จำเป็นต้องให้คุณมาคอยดูแลผม ผมมีพยาบาลคอยดูแลอยู่แล้ว”
“มันไม่เหมือนกันนี่คะ” มายมิ้นท์ลุกขึ้นยืนแล้วทำท่าทางจริงจังว่า “นี่เป็นบุญคุณที่คุณช่วยชีวิตฉันเอาไว้ ฉันคงไม่อาจจะนิ่งดูดายโดยไม่ทำอะไรได้ ไม่อย่างนั้นฉันคงรู้สึกไม่สบายใจมากๆ ดังนั้นประธานเปปเปอร์คะ ให้ฉันอยู่ดูแลคุณเถอะนะ”
เธอโค้งกายคำนับไปทางเปปเปอร์
เขาขมวดคิ้วเข้าหากัน เอื้อมมือตั้งใจจะดึงให้เธอลุกขึ้นยืดตัวตรง แต่แขนข้างที่อยู่ใกล้เธอที่สุดนั้นกลับเป็นแขนซ้ายที่ได้รับบาดเจ็บ แขนที่จะเอื้อมไปจับเธอได้จึงเป็นแขนขวา
เพียงแต่ว่าถ้าจะใช้แขนข้างขวาก็ต้องพลิกตัวและออกแรงมาก
ซึ่งร่างกายของเขาในตอนนี้ไม่อาจทำเช่นนั้นได้
สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือเขามองเห็นถึงความตั้งใจมุ่งมั่นของเธอ และรู้ดีว่าถ้าเขาไม่เห็นด้วยกับเธอ เธอก็คงไม่หยุดแค่นี้
เอาเถอะ
เปปเปอร์ยกมือขึ้นลูบไปที่หัวคิ้ว “คุณอยากจะดูแลผมจริงเหรอ?”
“ใช่ค่ะ” มายมิ้นท์ลุกขึ้นยืน “ฉันควรจะรับผิดชอบต่อคุณ ถ้าฉันไม่ทำอะไรเลยละก็ ฉันจะกลายเป็นคนที่ไร้หัวอกหัวใจไม่ใช่เหรอคะ?”
เปปเปอร์เมื่อได้ยินคำพูดของเธอประโยคนี้ เขาก็หัวเราะออกมาเบาๆ จากนั้นก็ทำสีหน้าจริงจังพูดว่า “มายมิ้นท์ คุณคงจะรู้ว่าถ้าต้องการดูแลผม นั่นก็หมายความว่านับจากนี้คุณจะต้องอยู่กับผมที่นี่เป็นระยะเวลานานพอควร มันหมายถึงคุณจะต้องอยู่ข้างกายคนที่คุณเกลียดเป็นเวลาเนิ่นนาน คุณ……ยินดีจะทำมันจริงเหรอ? ตอนนี้ผมจะให้โอกาสคุณในการครุ่นคิดอีกครั้ง ถ้าคุณอยากจะเปลี่ยนใจล่ะก็ตอนนี้ยังทันนะครับ แต่ถ้าพลาดโอกาสนี้ไปแล้วคุณจะไม่ได้รับสิทธิ์นั้นอีก”
“ฉันไม่เปลี่ยนใจแน่นอนค่ะ” มายมิ้นท์ส่ายหน้าแล้วพูดอย่างไม่ลังเลว่า “อีกอย่าง ฉันก็ไม่ได้เกลียดอะไรคุณ อย่างน้อยตอนนี้ก็ไม่ได้เกลียด”
นับตั้งแต่ที่เขากระโดดลงไปในหน้าผาพร้อมกับเธออย่างจริงใจในครั้งนั้น นับตั้งแต่ตอนที่เขารู้ว่าแขนของเขาไม่อาจจะรับน้ำหนักได้ต่อไปแต่ก็ยังกอดเธอเอาไว้อย่างแน่นเพื่อไม่ให้เธอตกลงไป เธอก็ไม่ได้รู้สึกรังเกียจเขาอีก
อีกทั้งเขาทำให้เธอรู้สึกเคารพชื่นชม
“เมื่อได้ยินคุณพูดแบบนี้ที่จริงผมดีใจมากนะครับ อีกอย่างผมรู้สึกว่าสิ่งที่ผมทำไปมันช่างคุ้มค่าเหลือเกิน อย่างน้อยทำให้คุณไม่เกลียดผมแล้วในตอนนี้” เปปเปอร์มองไปทางเธอแล้วยิ้มเบาๆ
“มายมิ้นท์ครับ” อยู่ๆ เขาก็เรียกชื่อเธอขึ้น
มายมิ้นท์มองไปยังดวงตาลึกล้ำของเขา “มีอะไรเหรอคะ?”
“พวกเรา เป็นเพื่อนกันได้ไหม?” เปปเปอร์ถาม
มายมิ้นท์ทั้งหมดคิ้วเข้าหากัน
เพื่อนเหรอ?
คนเคยเป็นสามีภรรยากันมาก่อน จะเป็นเพื่อนกันได้ยังไง?
จะไม่รู้สึกเคอะเขินบ้างหรือไง?
เอาเป็นว่าเธอไม่เคยเห็นมาก่อนว่ามีสามีภรรยาคู่ไหนที่หย่าร้างกันไปแล้วจะกลับมาเป็นเพื่อนกันต่อได้
แต่ตอนนี้เมื่อเธอเผชิญหน้ากับเปปเปอร์ มายมิ้นท์ก็ไม่อาจปฏิเสธออกไปได้ หลังจากลังเลอยู่ชั่วครู่ ในที่สุดเธอก็ตอบตกลง “ค่ะ”
เปปเปอร์ยิ้มขึ้นทันที “ดีจังเลยครับ ผมจะได้ไม่ต้องคอยตามจีบคุณกลับมาอีก การที่เราเป็นเพื่อนกันแบบนี้คุณสามารถเดินไปเป็นเพื่อนผมตลอดทั้งชีวิตได้ เท่านี้ก็ดีพอแล้ว”
โอกาสที่จะหาหัวใจที่เข้ากับร่างกายของเขาได้น้อยมากจนแทบจะเป็นศูนย์
ดังนั้น ชีวิตของเขาถูกกำหนดเอาไว้แล้ว นั่นก็คือมีอายุได้อีกเพียงสามปี
ตัวเขาที่เป็นเช่นนี้ไม่อาจจะมอบความสุขให้เธอได้ ต่อให้เขาได้เธอมาครอบครองอีกครั้ง ก็คงเป็นเพียงแค่การทำร้ายเธอ
ด้วยเหตุนี้ จึงทำได้เพียงให้มันเป็นไปตามนั้น
มายมิ้นท์ได้ยินประโยคนี้ของเปปเปอร์ ดวงตาของเธอก็หดตัวลง
เขาบอกว่าจะไม่ตามจีบเธอกลับมาอีกแล้ว นี้หมายความว่าอย่างไร?
เป็นเพราะว่าเขามองไม่เห็นความหวัง จึงจะปล่อยมือยอมแพ้เหรอ?
มายมิ้นท์ก้มหน้าลงเล็กน้อย ลึกๆในใจของเธอรู้สึกไม่สบายอย่างน่าประหลาด
แต่ในไม่ช้าความรู้สึกอึดอัดใจนั้นก็จางหายไป
เนื่องจากความรู้สึกเช่นนี้มันเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วและก็จะหายไปอย่างรวดเร็วเช่นกัน มายมิ้นท์ไม่รู้สึกว่าตนเองมีส่วนในที่ผิดปกติไป เธอรินน้ำให้เขาแก้วหนึ่ง “คุณเพิ่งจะอายุสามสิบเองนะคะ มาพูดเรื่องชีวิตตอนนี้ไม่เร็วไปหน่อยเหรอ?”
ไม่ต้องพูดถึงเรื่องประโยคท่อนหน้าของเขา
แต่ประโยคท่อนท้ายไม่ว่าฟังอย่างไรก็ดูเหมือนเขากำลังกำชับฝากฝังอะไรอยู่
แววตาของเขาเป็นประกายแวบเข้ามาเล็กน้อย แล้วยื่นมือไปรับแก้วน้ำจากมือของเธอกลับมา “เอาล่ะครับ เราไม่พูดเรื่องเหล่านี้กันแล้ว ผมอยากไปเข้าห้องน้ำ คุณช่วยผมหน่อยได้ไหม?”
“ได้ค่ะ” มายมิ้นท์พยักหน้าแล้วพยุงเขาลงจากเตียง
ระหว่างที่เดินไปเข้าห้องน้ำ เปปเปอร์สามารถเดินด้วยตัวเองได้เพราะขาของเขาไม่ได้รับบาดเจ็บใด
เพียงแต่ว่ามายมิ้นท์ต้องช่วยเขาถือขวดน้ำเกลือไปด้วย
ด้วยเหตุนี้เอง ตอนที่เปปเปอร์เข้าห้องน้ำมายมิ้นท์จึงได้ยืนรออยู่หน้าห้องน้ำอย่างเงียบๆ
จนกระทั่งเขาออกมา ก็พาเขากลับไปที่เตียงแล้วแขวนขวดน้ำเกลือไว้ดังเดิม
หลังจากทำสิ่งเหล่านี้เรียบร้อยแล้ว โทรศัพท์มือถือของมายมิ้นท์ก็ดังขึ้น
“ฉันขอรับสายสักครู่นะคะ” หลังจากที่เธอหันไปพูดกับเปปเปอร์แล้วก็หยิบโทรศัพท์ออกมาดู
พบว่าเบอร์ที่โทรมานั้นเป็นเบอร์ของคุณตา เธอก็ดีใจและตกใจไปพร้อมๆ กัน
เปปเปอร์เห็นสีหน้าท่าทางของเธอดังนั้นก็อดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้วสงสัย
สายโทรศัพท์จากใครกัน ทำให้เธอดีใจได้ขนาดนี้?
มายมิ้นท์ไม่รอให้ชายชรารอนาน ดังนั้นจึงได้รีบรับสายขึ้นทันที “สวัสดีค่ะคุณตา”
เมื่อได้ยินเสียงที่มายมิ้นท์เรียกอีกฝ่ายหนึ่งในปลายสาย ความรู้สึกอึดอัดใจเมื่อสักครู่ของเปปเปอร์จึงได้สงบลง
เป็นผู้ใหญ่โทรมานี่เอง
ถ้าอย่างนั้นก็ไม่เป็นไร
“มิ้นท์” อีกฝั่งของโทรศัพท์ น้ำเสียงที่อ่อนโยนมีเมตตาของชายชราก็ดังขึ้น
ดวงตาของมายมิ้นท์แดงเรื่อแล้วพูดด้วยท่าทางออดอ้อนว่า “คุณตาคะ ในที่สุดก็ยอมโทรหาหนูสักที นับตั้งแต่ครั้งนั้นที่ได้เจอกัน พวกเราไม่ได้ติดต่อกันมานานถึงสี่เดือนแล้ว หากว่าท่านไม่โทรมาหาหนู ทำอย่างไรหนูก็ติดต่อไปไม่ได้”
จะทำอย่างไรได้ล่ะ ใครใช้ให้คุณตาเป็นนักโบราณคดีล่ะ ถ้าไม่ได้อยู่ในหุบเขาลึกก็คงจะอยู่ในสุสานโบราณ ซึ่งไม่มีสัญญาณโทรศัพท์มือถือ ต่อให้อยากติดต่อกับเขาก็คงยาก
ชายชราเองก็รู้ว่าตนผิด ดังนั้นจึงได้ยิ้มขึ้นอย่างรู้สึกผิดในใจเล็กน้อย “โทษทีนะมายมิ้นท์ ตากำลังวุ่นอยู่จึงไม่มีเวลา”
“หนูรู้ค่ะ ก็เลยไม่ได้โกรธหรอก แล้วก็หนูมีเรื่องจะบอกด้วยนะคะคุณตา ตอนนี้เทนเดอร์กรุ๊ปนับว่าอยู่ในจุดคงที่แล้ว” มายมิ้นท์กุมโทรศัพท์มือถือเอาไว้แล้วพูดขึ้น
ชายชราอดไม่ได้ที่จะรู้สึกประหลาดใจ “หา? คงที่แล้วงั้นเหรอ? ทำไมถึงเร็วแบบนี้?”
แม้ว่าเขาจะไม่ใช่นักธุรกิจ แต่ก็รู้ดีว่าสถานการณ์ของเทนเดอร์กรุ๊ปเป็นอย่างไร หากจะใช้เวลาเพียงสี่เดือนจัดการให้ทุกอย่างมั่นคง ไม่น่าจะเป็นไปได้
มายมิ้นท์พยักหน้า “ก็อาจจะเร็วไปบ้างเล็กน้อยค่ะ แต่เป็นเพราะมีคนผู้มีพระคุณคอยช่วยเหลือ”
มายมิ้นท์เหลือบไปมองดูเปปเปอร์
ใช่แล้ว ผู้มีพระคุณที่เธอพูดถึงก็คือเขานั่นเอง
เนื่องจากหากว่าเขาไม่ได้ทำความร่วมมือกับเทนเดอร์กรุ๊ป และหากไม่มีการช่วยเหลือสนับสนุนจากเขาจำนวนกว่าพันล้าน คาดว่าตอนนี้เทนเดอร์กรุ๊ปก็ยังคงตกอยู่ในอันตราย
เปปเปอร์ฟังออกว่าผู้มีพระคุณที่เธอพูดถึงก็คือตัวเขาเอง หางคิ้วของเขาเลิกขึ้นเล็กน้อย แววตาเผยถึงความแปลกใจออกมา
ผู้มีพระคุณเหรอ?
เธอบอกว่าเขาเป็นผู้มีพระคุณของเธอ?
เดิมทีเขาคิดว่าเธอจะพูดถึงลาเต้กับราเม็งเสียอีก
คาดไม่ถึงว่าจะพูดถึงเขา
เรื่องนี้ทำให้เปปเปอร์อดไม่ได้ที่จะยิ้มแล้วรู้สึกอบอุ่นใจ อารมณ์ดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
อีกฝ่ายหนึ่งของโทรศัพท์ เมื่อชายชราได้ยินมายมิ้นท์พูดดังนั้นเขาก็ยิ้มขึ้นอย่างชื่นชมว่า “เป็นอย่างนี้นี่เอง ว่าแต่มายมิ้นท์ หลานเองก็เก่งมาก ถ้าไม่มีความสามารถพอ ต่อให้ใครเข้ามาช่วยเอาไว้ระยะเวลาเพียงสี่เดือนก็คงยากที่จะทำให้เทนเดอร์กรุ๊ปมั่นคงได้ มองดูแล้ว ในตอนนั้นที่ตัดสินใจมอบบริษัทเทนเดอร์กรุ๊ปให้หลานเป็นเรื่องที่ถูกต้องแล้วจริงๆ เทนเดอร์กรุ๊ปอยู่ในมือหลาน เท่านี้ตาก็วางใจแล้ว”