ตอนที่ 22 ขุมทรัพย์ชั้นที่สาม โดย Ink Stone_Fantasy
ขณะที่ตงป๋อเสวี่ยอิงก้าวเข้าสู่ทางเข้ามิติก็รู้สึกว่ามิติบิดเบี้ยว จากนั้นด้านหน้าก็มืดสนิท
“ที่นี่คือ…” ขาทั้งสองของตงป๋อเสวี่ยอิงยืนอยู่ในภายในโถงตำหนักโบราณอันมืดมิดแห่งหนึ่ง โถงตำหนักมีพื้นที่ไม่ใหญ่นัก เพียงแค่ราวร้อยเมตรเท่านั้น ประตูตำหนักสีเทาเข้มปิดอยู่
ภายในโถงตำหนักมีกลิ่นหอมจางๆ ฟุ้งไปทั่ว แผ่กำจายไปทุกบริเวณของโถงตำหนัก
“นี่ก็คือชั้นที่สามของขุมทรัพย์หรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงมองดูโถงตำหนักซึ่งดูเหมือนจะธรรมดาสามัญแห่งนี้ ภายในโถงตำหนักว่างเปล่า มีเครื่องตกแต่งเพียงน้อยนิด เช่นบนผนังตำหนักมีวัตถุแขวนอยู่จำนวนหนึ่ง บนผนังหลังบัลลังก์ที่ตั้งอยู่หน้าสุด ก็มีรูปสลักขนาดมหึมาอยู่ สิ่งที่แกะสลักเอาไว้ก็คือมฆดำขนาดมหึมา
แม้เมฆดำจะเป็นรูปสลัก แต่ก็ราวกับปกคลุมฟ้าดินเอาไว้ อานุภาพกดดันอันไร้รูปร่างปกคลุมทั่วทั้งโถงตำหนัก
“สมบัติล้ำค่าเล่า”
“สมบัติล้ำค่าของชั้นที่สามเล่า ในเมื่อข้าสามารถเข้ามาได้ ก็แสดงว่าสมบัติล้ำค่าของชั้นที่สามยังมิได้ถูกชิงเอาไปจนหมด” ตงป๋อเสวี่ยอิงพึมพำ เขาปลดปล่อยระลอกคลื่นอันไร้รูปร่างออกมาสำรวจทั่วบริเวณก่อนแล้ว แต่กลับไม่ได้อะไรเลย
ตงป๋อเสวี่ยอิงเดินไปข้างหน้าพร้อมความสงสัย สายตาของเขาจับจ้องรูปสลักอันโดดเด่นสะดุดตาเป็นที่สุดบนผนังโถงตำหนักด้านหลังบัลลังก์ รูปสลัก ‘เมฆดำ’ สะดุดตาเกินไปแล้ว ทั้งยังก่อให้เกิดอานุภาพกดดันอันแรงกล้าอีกด้วย ไม่นานนักตงป๋อเสวี่ยอิงก็เดินไปถึงข้างบัลลังก์ เขาเงยหน้ามองดูทุกจุดของรูปสลัก ‘เมฆดำ’ บนผนังโดยละเอียด
เส้นสายที่สลักเสลาเอาไว้…
“ร้ายกาจ เส้นสายเหล่านี้เป็นธรรมชาติมาก แต่กลับก่อให้เกิดค่ายกลอันพิสดารอย่างยิ่งขึ้นมา เมื่อข้ามองแวบแรกก็มิอาจมั่นใจได้” ตงป๋อเสวี่ยอิงพินิจดูโดยละเอียด แม้ค่ายกลนี้จะร้ายกาจ แต่ก็ย้ายไปมิได้ บัดนี้ตนศึกษาไม่สำเร็จ อีกทั้งค่ายกลรูปสลักเมฆดำนี้ ก็คล้ายจะมิได้ใช้ในการต่อสู้ด้วย
“หาเจอแล้ว!” ตงป๋อเสวี่ยอิงนัยน์ตาเป็นประกายขึ้นมาขณะมองดูขอบของรูปสลักบนผนัง มีไข่มุกสีดำเม็ดแล้วเม็ดเล่าประดับประดาอยู่บนรูปสลัก
ไข่มุกมีทั้งหมดสิบสองเม็ด ดูเหมือนจะธรรมดาสามัญ ทั้งยังเป็นหนึ่งเดียวกับรูปสลัก กลิ่นอายของมันก็หลอมรวมเข้ากับกลิ่นอายของรูปสลักด้วย ตงป๋อเสวี่ยอิงอาศัยแผนภาพคลื่นจานก็มิได้พบปัญหาของมันเลยแม้แต่น้อย แต่เมื่อพินิจดูโดยละเอียดในระยะใกล้ ก็เห็นว่าเหนือไข่มุกสีดำมีเมฆหมอกเคลื่อนไหวอยู่รางๆ นี่เป็นสิ่งที่วิธีอื่นๆ มิอาจตรวจพบได้เลย มีเพียงตาเปล่าเท่านั้นที่จะสามารถมองเห็นเมฆหมอกเคลื่อนไหวได้
ไข่มุกสิบสองเม็ดนี้มีชื่อว่า ‘มุกวารีดำ’ ซึ่งเป็นสมบัติล้ำค่าที่มีชื่อเสียงเลื่องลืออย่างยิ่งของโลกทิพย์โบราณดั้งเดิม
เม็ดเดียวก็มีมูลค่ากว่าสามพันศิลาปฐมโลกา ว่ากันว่าหากมีจำนวนมากขึ้นแล้ว ก็ยังมีประโยชน์อันน่าพิสดารมากขึ้นไปอีก บรรดาสิ่งมีชีวิตระดับยอดสุดล้วนพากันเก็บรวบรวม
“มุกวารีดำสิบสองเม็ด มูลค่ามากกว่าศิลาปฐมโลกาสามหมื่นหกพันก้อน” ตงป๋อเสวี่ยอิงนัยน์ตาเป็นประกาย จากนั้นก็กำหนดจิตคราหนึ่ง สวบๆๆ มีดบินถึงเก้าเล่มบินออกมาแล้วแทงลงบนขอบที่มุกวารีดำประดับเอาไว้ แต่เหนือผิวของรูปสลักเมฆดำพลันมีลำแสงอันไร้รูปร่างสว่างวาบขึ้นมา ปังๆๆ!!! มันกระแทกเอามีดบินทั้งหมดลอยไป
“รูปสลักเมฆดำนี่ร้ายกาจถึงเพียงนี้เชียวหรือ” แม้ตงป๋อเสวี่ยอิงจะคาดเดาได้ก่อนแล้ว แต่ก็ยังคงไม่ยอมจำนนอยู่นั่นเอง
“ทำลายค่ายกลของรูปสลักนี้เสีย เมื่อไร้ซึ่งการปกป้องของค่ายกล ตัวมุกวารีดำเองเป็นเพียงแค่สมบัติล้ำค่าเท่านั้น จะได้มาก็ง่ายแล้ว” ตงป๋อเสวี่ยอิงกำหนดจิตคราหนึ่ง โครมมม…มีดบินถึงหนึ่งพันสองร้อยเล่มซึ่งแฝงไว้ด้วยเกราะพลสีม่วงโหมซัดเข้าโจมตีรูปสลักเมฆดำอย่างรุนแรง
ลำแสงอันไร้รูปร่างเหนือผิวของรูปสลักเมฆดำกระแทกมีดบินที่มาโจมตีทั้งหมดกลับไป
“ไป”
ตงป๋อเสวี่ยอิงกำหนดจิตคราหนึ่ง
ทันใดนั้นโลกอนธการถึงหนึ่งร้อยยี่สิบชั้นก็ร่อนลงมา โลกอนธการแต่ละชั้นล้วนเป็นรูปครึ่งวงกลมเข้าปกคลุมมุมหนึ่งของรูปสลักเมฆดำจนสิ้น ด้วยพลังของตงป๋อเสวี่ยอิงก็พอจะตัดสินได้รางๆ ว่า นั่นคือตำแหน่งจุดเชื่อมต่อกลางจุดหนึ่งของเส้นสายจำนวนนับไม่ถ้วนของรูปสลักเมฆดำ
ตู้มมม…
โลกอนธการหนึ่งร้อยยี่สิบชั้นที่ร่อนลงไปทำเอาพลังฟ้าดินทั้งหมดภายในโถงตำหนักโหมซัดสาดขึ้นมา การระเบิดออกมาตอนท้ายสุดทำให้ผิวของรูปสลักเมฆดำมีลำแสงอันไร้รูปร่างปรากฏขึ้นอีกครั้ง
“เป็นเช่นนี้ไปได้อย่างไรกัน การโจมตีทั้งหมดของข้าถูกมันสกัดกั้นเอาไว้อย่างง่ายดาย” ตงป๋อเสวี่ยอิงรู้สึกว่าการโจมตีของตนยังห่างจากขีดจำกัดการสกัดกั้นของลำแสงเหนือผิวรูปสลักเมฆดำอยู่ไกลลิบ ลำแสงอันไร้รูปร่างสกัดกั้นเอาไว้อย่างง่ายดายนัก
“หรือจะเอามามิได้จริงๆ” ตงป๋อเสวี่ยอิงมองดูรูปสลักเมฆดำตรงหน้า มองดูมุกวารีดำสิบสองเม็ดที่ประดับประดาอยู่ตรงขอบ
มองเห็นได้ แต่เอามามิได้
“หาอีกดีกว่า”
ตงป๋อเสวี่ยอิงค้นหาทั่วทั้งโถงตำหนักโดยละเอียด เขายังถึงขั้นลองดึงของตกแต่งต่างๆ ที่ติดอยู่บนผนังตำหนักลงมา น่าเสียดายที่ผนังทั่วทั้งโถงตำหนักล้วนมีค่ายกลปกป้องอยู่ ตนมิอาจแย่งชิงไปได้เลย!
“เอ๊ะ” ตงป๋อเสวี่ยอิงหาไปรอบหนึ่งแล้วก็กลับมายังข้างรูปสลักเมฆดำ เขาก้มลงมองบัลลังก์ตรงหน้า
นี่คือบัลลังก์ที่แกะสลักขึ้นจากไม้
ไม้มีลวดลายสวยงาม หากพินิจดูโดยละเอียด ก็จะเห็นว่าลวดลายเหล่านี้ก่อให้เกิดใบหน้าอันชั่วร้ายมากมายขึ้นมา มีกลิ่นอายชั่วร้ายแทรกซึมเข้ามาทางตงป๋อเสวี่ยอิง
“นี่คือ ‘ไม้ทิพย์ภาพปีศาจ’ หรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงอ้าปากค้าง เขายื่นมืออกไปลูบเบาๆ คราหนึ่ง ผิวของบัลลังก์นี้มีค่ายกลอันไร้รูปร่างปิดผนึกอยู่จริงๆ “บัลลังก์ที่สลักขึ้นจาก ‘ไม้ทิพย์ภาพปีศาจ’ อันเกรียงไกรทั้งอันจะไม่มีกลิ่นอายแม้แต่น้อยเชียวหรือ ที่แท้แล้วมีค่ายกลขวางกั้นเอาไว้ หากไม่ดูลวดลายให้ละเอียด ข้าก็จำไม่ได้เลย”
ไม้ทิพย์ภาพปีศาจ ดูเหมือนจะสามารถแผ่กลิ่นอายอันชั่วร้ายออกไปได้
แต่กลับเป็นที่ปรารถนาของผู้บำเพ็ญที่แข็งแกร่ง ต่อให้ใช้ไม้ทิพย์ภาพปีศาจจำนวนน้อยนิดหลอมขึ้นมาเป็นสร้อยสวมไว้ที่คอ หรือว่าสลักเอาไว้บนกำไลเก็บวัตถุสวมไว้ที่ข้อมือ ก็จะเป็นประโยชน์ต่อวิญญาณ การเอาไม้ท่อนใหญ่โตมาสลักเป็นบัลลังก์อันหนึ่งเช่นนี้…สำหรับเทพจักรวาลแล้วก็เป็นการฟุ่มเฟือยนัก นอกจากนี้หลังจากโลกทิพย์โบราณดั้งเดิมแตกสลายไปแล้ว ไม้ทิพย์ภาพปีศาจก็มิได้งอกขึ้นมาอีกแต่อย่างใด
บัลลังก์นี้ต้องมีมูลค่าสูงกว่าในยุคโลกทิพย์โบราณดั้งเดิมเป็นเท่าตัว คาดว่าคงมีมูลค่าราวศิลาปฐมโลกาห้าหมื่นก้อน!
ศิลาปฐมโลกาห้าหมื่นก้อน…
มิน่าเล่า ขุมทรัพย์ของจักรพรรดิเก้าเมฆาจึงเพียงพอที่จะทำให้บรรดายักษ์ใหญ่ขั้นอลวนบ้าคลั่งไปได้ ต้องรู้ไว้ว่า โดยทั่วไปยักษ์ใหญ่ขั้นอลวนทุ่มเทสมบัติล้ำค่าอย่างสิ้นเชิงก็ยังมีไม่ถึงศิลาปฐมโลกาห้าหมื่นก้อน ต่อให้เป็นสิ่งมีชีวิตระดับที่บุกฝ่าเจดีย์ดาวชั้นที่แปดได้ ก็ไม่แน่ว่าจะสามารถรวบรวมศิลาปฐมโลกาออกมามากมายเช่นนี้ได้ เกรงว่าคงจะมีเพียงผู้เฒ่าที่ติดอยู่ที่ขีดจำกัดขั้นสุดบางคนอย่าง ‘ประมุขตำหนักอลหม่าน’ เท่านั้น จึงจะสามารถนำสมบัติล้ำค่าเช่นนี้ออกมาได้
แน่นอนว่าขั้นอลวนนั้นจัดเป็นสถานการณ์ปกติ! ส่วนคนอย่างตงป๋อเสวี่ยอิงที่เข้ามายังขุมทรัพย์ได้ จัดเป็นสถานการณ์พิเศษ
“ข้าเข้ามาแล้ว แต่ว่า จะเอาไปได้หรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงไม่มั่นใจเลยจริงๆ เมื่อครู่ตนมิอาจนำมุกวารีดำสิบสองเม็ดลงมาได้ แล้วจะนำบัลลังก์ไม้ทิพย์ภาพปีศาจนี้ไปได้หรือไร
“ขึ้นมา” มือทั้งสองของตงป๋อเสวี่ยอิงคว้าที่เท้าแขนของบัลลังก์เอาไว้แล้วออกแรงอย่างฉับพลัน พละกำลังของร่างกายผู้ท่องอากาศปะทุออกมาอย่างสิ้นเชิง
ตู้มมม…
บัลลังก์กลับไม่ขยับเขยื้อนเลยแม้แต่น้อย ราวกับเชื่อมโยงกับทั้งโถงตำหนัก
ตงป๋อเสวี่ยอิงโบกมือให้โลกอนธการหนึ่งร้อยยี่สิบชั้นร่อนลงมาอย่างไม่ยอมจำนน ให้ห่อหุ้มเพียงแค่ขอบของที่เท้าแขนบัลลังก์ แม้เขาจะไม่มั่นใจด้วยกลัวว่าหากไม่ระวังแล้วจะทำให้บัลลังก์เสียหายขึ้นมาก็ตาม แต่จากนั้นความจริงก็พิสูจน์ให้เห็นว่า เขาคิดมากเกินไปแล้ว! ต่อให้โลกอนธการหนึ่งร้อยยี่สิบชั้นของเขา รวมตัวกันอยู่ตรงที่เท้าแขนของบัลลังก์ ก็ยากที่จะทำให้เสียหายได้แม้สักนิด
“ไม่มีประโยชน์”
ตงป๋อเสวี่ยอิงก้มหน้ามองดูบัลลังก์ แล้วเงยหน้ามองดูรูปสลักเมฆดำ
สิ่งหนึ่งมีมูลค่าเกินศิลาปฐมโลกาห้าหมื่นก้อน!
อีกสิ่งหนึ่งมีมูลค่าเกินศิลาปฐมโลกาสามหมื่นหกพันก้อน!
เกรงว่านี้คงจะเป็นหัวใจสำคัญที่สุดของขุมทรัพย์สิบหกแห่งที่จักรพรรดิเก้าเมฆาวางเอาไว้แล้ว ส่วนของในชั้นที่หนึ่งและชั้นที่สองพวกนั้นน่ะหรือ ก็แค่เศษเสี้ยวเล็กน้อยเท่านั้น
“มิน่าเล่าจึงมีรายงานบันทึกเอาไว้ว่า มียักษ์ใหญ่ขั้นอลวนเข้าสู่ชั้นที่สาม แต่กลับเอาสมบัติล้ำค่าไปไม่ได้” ตงป๋อเสวี่ยอิงลอบพึมพำ “เห็นทีคงจะเหมือนกับที่ข้าคาดการณ์เอาไว้ ต้องทำลายผนึกที่จักรพรรดิเก้าเมฆาทิ้งเอาไว้เสียก่อน หากทำลายมิได้ ก็เอาไปมิได้”
…………………………..