กู้ชูหน่วนสตรีอัปลักษณ์ บทที่ 1007
“สำหรับปัญหานี้ กระหม่อมก็ได้คิดพิจารณาอย่างไตร่ตรองดีแล้ว ฝ่าบาทสามารถทำข้อตกลงกับพระสวามีได้ หากพระสวามีไม่สามารถทำให้ฝ่าบาทตั้งครรภ์ได้ เช่นนั้นก็ยกตำแหน่งพระสวามีให้กับองค์ชายของรัฐอี้”
กู้ชูหน่วนไม่รู้ว่าควรร้องไห้หรือหัวเราะออกมาดี
“เจ้าหมายความว่า เจ้าจะให้ข้าคลุกคลีและอยู่แต่กับพระสวามีของข้าอย่างนั้นหรือ?”
“ไม่ใช่เช่นนั้นพ่ะย่ะค่ะ หากฝ่าบาทปฏิบัติต่อทุกคนอย่างเท่าเทียมกันเป็นการดี เช่นนั้นรัฐปิงของเราจะต้องมีทายาทสืบทอดบัลลังก์มากยิ่งขึ้นพ่ะย่ะค่ะ”
“เช่นนั้นท่านอ๋องเสวี่ย ข้าขอถามอะไรเจ้าสักหน่อยว่าผู้หญิงเป็นคนให้กำเนิดหรือว่าผู้ชายเป็นคนให้กำเนิด?”
“แน่นอนว่าเป็นผู้หญิงสิพ่ะย่ะค่ะ”
“อ้อ…..หากข้าปฏิบัติต่อทุกคนเท่าเทียมกัน และหากข้าตั้งครรภ์ขึ้นมา เจ้าจะรู้ได้อย่างไรว่าเด็กที่ออกมาเป็นลูกของพระสวามีหรือของเยี่ยจิ่งหาน?”
“เอ่อ……”
ท่านอ๋องเสวี่ยตกตะลึง
เขาไม่เคยนึกถึงสิ่งนี้มาก่อนเลย
“ไม่เคยคิดถึงปัญหานี้เลยใช่หรือไม่? เช่นนั้นก็ดี เจ้ากลับไปคิดให้ดีแล้วค่อยกลับมาบอกข้า”
“ฝ่าบาท…..เช่นนั้น….เรื่องการแต่งงานล่ะพ่ะย่ะค่ะ?”
“รอให้เจ้าคิดออกว่าเมื่อองค์ชายของรัฐอี้มาแล้วเจ้าจะมอบตำแหน่งอะไรให้เขาแล้วค่อยว่ากันวันหลัง”
“เช่นนั้นกระหม่อมจะส่งสาส์นไปอีกฉบับเพื่อพูดคุยเจรจาถึงเรื่องนี้กับจักรพรรดิอี้อีกครั้งดีหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ…..ฝ่าบาท……”
ท่านอ๋องเสวี่ยยังพูดไม่จบก็ถูกไล่ออกไปก่อน
เขาบ่นพึมพำกับตัวเอง
“หรือเป็นเพราะข้าจัดการไม่ดีก็เลยทำให้ฝ่าบาทโมโห? แต่ก็ถูก เรื่องตำแหน่งพระสวามีเป็นเรื่องที่จัดการได้ยาก สัญญาการแต่งงานระหว่างฝ่าบาทและพระสวามีก็เป็นเรื่องที่กำหนดไว้เมื่อยี่สิบปีก่อน พระสวามีก็ไม่ได้ทำอะไรผิด มีหรือจะยกเลิกตำแหน่งของเขาไปง่ายๆ ช่างเถอะ กลับไปคิดดูอีกทีดีกว่าว่าจะทำอย่างไรให้ทุกอย่างจบลงด้วยดี”
ภายในห้องตำราหลวง
หลิงเอ๋อร์กล่าวด้วยเสียงหัวเราะ “ฝ่าบาท ท่านอ๋องเสวี่ยช่างไม่เฉียบแหลมเอาเสียเลย แต่สิ่งที่เขาพูดมาก็มีเหตุผล หากฝ่าบาทผูกสัมพันธ์แต่งงานกับรัฐอี้ รัฐอี้ไม่ช้าก็เร็วต้องตกเป็นของรัฐปิงอย่างแน่นอน และยังสามารถจัดการปัญหาการขาดแคลนเสบียงอาหารของเราในตอนนี้ได้อีกด้วยเพคะ”
“เจ้าจะรู้ได้อย่างไร รัฐปิงอาจตกเป็นของรัฐอี้ก็ได้”
“เพราะพวกเขาแต่งงานเข้ามา เราไม่ได้แต่งออกไปนี่เพคะ รัฐปิงของเราจะตกเป็นของรัฐอี้อย่างง่ายดายได้อย่างไร”
“เจ้าจะแน่ใจได้อย่างไร”
กู้ชูหน่วนจิบชาและลุกขึ้นยืนอย่างเกียจคร้าน จากนั้นก็เตรียมจะหยิบโองการที่กราบทูลขึ้นมาอ่านอีกครั้ง
ทันใดนั้นเอง ใครคนหนึ่งก็พุ่งเข้ามาโถมเข้าใส่ร่างกายของนางและเกือบทำให้กู้ชูหน่วนตกใจ
“ท่านพี่หญิง…..”
เมื่อได้ยินเสียงและกลิ่นที่คุ้นเคย กู้ชูหน่วนก็ก้มลงมองและสิ่งมีชีวิตที่ดึงดูดสายตาของนางก็คืออาม่อ
รูปร่างหน้าตาของขเาเป็นสิ่งที่ไม่อาจบรรยายออกมาเป็นตัวอักษรได้ ความหล่อเหลาของเขานั้นช่างดึงดูดผู้คนให้จมลงสู่ห้วงลึกแห่งความเสน่หา
โดยเฉพาะดวงตาคู่นั้นที่มีสีแปลกแตกต่างกันชัดเจนราวกับหินออบซิเดียนแท้บริสุทธิ์
ทว่าร่างกายของเขาสั่นสะท้านอย่างรุนแรงและดวงตาคู่นั้นเต็มไปด้วยความกลัว
“อาม่อ เจ้ามาที่นี่ได้อย่างไร?”
“อาม่อฝันร้าย”
กู้ชูหน่วนดึงเขามานั่งอยู่บนบัลลังก์มังกรและลูบหลังของเขาเบาๆ เพื่อพยายามทำให้เขาสงบจิตใจและกล่าวอย่างอ่อนโยน
“บอกข้ามาว่าเจ้าฝันว่าอะไร”
“ข้าฝันว่ามีคนกระโดดลงไปให้หม้อปรุงกลั่นยาอายุวัฒนะ ข้างหลังของนางเหมือนกับท่านพี่หญิงอย่างมาก ท่านพี่หญิง…..อาม่อกลัวเหลือเกิน”
“เด็กโง่ ข้าจะกระโดดเข้าไปในหม้อปรุงกลั่นยาอายุวัฒนะได้อย่างไร เจ้าแค่ฝันร้ายไปเท่านั้นเอง”
“แค่ฝันร้ายจริงๆ หรือ? เช่นนั้นเหตุใดในหัวของข้าถึงมีแต่ภาพเหตุการณ์นั้นปรากฏขึ้นมาบ่อยครั้ง”
“คงเป็นเพราะช่วงนี้เจ้าเหน็ดเหนื่อยกับการช่วยเสี่ยวหูเตี๋ยและเยี่ยจิ่งหานหายาสมุนไพร ก็เลยเห็นภาพลวงตา ไม่เป็นไรนะ ไม่มีอะไร”
อาม่อกอดกู้ชูหน่วนแน่นเพราะเกรงว่าหากปล่อยมือออกไป กู้ชูหน่วนก็จะจากเขาไป
หลิงเอ๋อร์รีบเดินออกไปและปิดประตูลงเพื่อให้พวกเขาได้มีเวลาอยู่กันเพียงลำพัง
มือทั้งสองข้างของซือม่อเฟยคอยจับมือของกู้ชูหน่วนอย่างวิตกกังวล จับซะจนกู้ชูหน่วนอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจ
กู้ชูหน่วนกดมือของเขาและกล่าวออกมา “เจ้ารู้หรือไม่ว่าเจ้ากำลังทำอะไรอยู่?”
อาม่อก้มหน้าลงอย่างเขินอายและมุดศีรษะเข้าไปในอ้อมกอดของนาง “รู้”
“รู้แล้วเจ้ายังจะจับ”
“พี่หญิง เราไปทำอะไรกันดีกว่า”
“ตุ่บ…..”
กู้ชูหน่วนไม่ทันตั้งตัวและซือม่อเฟยก็โถมตัวลงมาที่บัลลังก์มังกร
ลมหายใจอันรุ่มร้อนของผู้ชายโชยผ่านมา จากนั้นเสียงหัวใจเต้นแรงก็ดังกึกก้องชัดกังวานในหูของนาง
เมื่อเห็นความรูปงามและความมีเสน่ห์อันเย้ายวนบนใบหน้าของเขา ทำให้กู้ชูหน่วนหัวใจเต้นแรง
“อาม่อ เจ้าลุกขึ้นเดี๋ยวนี้”
“พี่หญิง ท่านไม่ชอบข้าหรือ?”
“ไม่ใช่เช่นนั้น”
เพียงแต่อย่ามองนางเช่นนั้นจะได้หรือไม่
นางกลัวว่านางจะกลืนกินเขา
เกิดความรู้สึกเกร็งชาขึ้นที่บริเวณเอว ทำให้กู้ชูหน่วนแทบอยากจมดิ่งลงไป จากนั้นนางพลิกตัวและกดอาม่อลงไปอยู่ข้างล่าง
ทันใดนั้น อาม่อก็กล่าวออกมาอย่างสงสัย
“ท่านพี่หญิง เราจะทำอะไรกันต่อดี”
ตู้ม…..
สมองของกู้ชูหน่วนทำงานขึ้นอีกครั้ง
นางลุกขึ้นทันที
ตัวเองกำลังทำอะไรอยู่?
เหตุใดถึงคิดจะกระทำเรื่องอย่างว่ากับอาม่อ?
“ท่านพี่หญิง เหตุใดถึงหน้าแดงเช่นนั้น?”
“บอกข้ามาเดี๋ยวนี้ ใครบอกให้เจ้าทำเช่นนี้?”
“ท่านอ๋องเสวี่ย เขาบอกว่าเพียงแค่ข้าได้หลับนอนกับท่านพี่หญิง เช่นนั้นท่านพี่หญิงก็จะไม่มีวันจากข้าไปไหน”
ปัดโธ่
ท่านอ๋องเสวี่ยอีกแล้วหรือ
เขาบ้าไปแล้วหรือไง?
“ส่งคนมาที่นี่ สั่งให้ท่านอ๋องเสวี่ยนำเงินหนึ่งหมื่นตำลึงมาให้พรุ่งนี้ และบอกว่าเป็นค่าเยียวยาสภาพจิตใจ”
“เพคะ”
“เดี๋ยวก่อน ห้าหมื่นตำลึง ให้เขานำเงินมาห้าหมื่นตำลึง หากไม่มีเงินตำลึง เช่นนั้นก็ขายจวนท่านอ๋องของเขาออกไปเสีย”
คนใช้รับราชโองการออกไปด้วยอาการตัวสั่น และคนอื่นๆ ก็รู้สึกหวาดกลัวอย่างมาก
พวกเขาแทบไม่เคยเห็นฝ่าบาทโมโหมากเช่นนี้มาก่อน
ท่านอ๋องเสวี่ยออกจะยากจน เขาจะนำเงินห้าหมื่นตำลึงมาจากไหน?
คงต้องขายจวนท่านอ๋องแน่ๆ
เงียบ
ห้องตำราหลวงเงียบสงัดลงในทันใด
มีเพียงซือม่อเฟยที่จ้องมองนางอย่างเสียใจด้วยน้ำตาที่คลอเบ้า กู้ชูหน่วนเห็นแล้วรู้สึกสงสารอย่างมาก
“เหตุใดจู่ๆ ก็ร้องไห้ออกมา ข้าเช็ดน้ำตาให้เจ้า เจ้าอย่าขี้แงไปเลย”
“ท่านพี่หญิง ท่านพี่หญิงรังเกียจข้าใช่หรือไม่?”
“พูดเหลวไหล เจ้าออกจะน่ารักเช่นนี้ ข้าจะรังเกียจเจ้าได้อย่างไร?”
“เช่นนั้นเหตุใดท่านพี่หญิงถึงไม่นอนกับข้า?”
“ข้ายังมีโองการที่มากมายที่ยังต้องจัดการ เร็วเข้า เจ้ารีบไปนอนก่อนตกลงไหม?”
“เช่นนั้นข้าจะรอท่านพี่หญิง”
“ก็ได้ มานี่ ขนมเหล่านี้ข้าให้เจ้ากิน หากเจ้าง่วง เจ้าก็ไปนอนที่เก้าอี้ยาวตรงนั้น”
“ท่านพี่หญิง ข้าง่วงแล้ว ท่านพี่หญิงไปนอนกับข้า และเมื่อข้าตื่นข้าค่อยมาอยู่เป็นเพื่อนท่านพี่หญิง”
ซือม่อเฟยจัดการอุ้มกู้ชูหน่วนไปนอนด้วยกันที่เก้าอี้ยาวโดยไม่รอให้กู้ชูหน่วนตอบ
เขายิ้มอย่างอ่อนหวาน และพยายามซุกตัวเข้ามาในอ้อมกอดของกู้ชูหน่วน
และมีอยู่เสี้ยววินาทีที่กู้ชูหน่วนรู้สึกโดนซือม่อเฟยหลอกเข้าแล้ว
เพราะพูดไปพูดมา สุดท้ายแล้วนางก็ต้องไปนอนกับเขาอยู่ดี
ทว่าเมื่อมองไปยังใบหน้าที่หล่อเหลาที่กำลังนอนหลับใหลของเขา นางก็รู้สึกว่าตัวเองคิดมากไป
ขึ้นครองราชย์มาได้สามวัน นางไม่เคยได้หลับตาเลย และตอนนี้เมื่อได้พักผ่อนลง ความง่วงก็ถาโถมเข้ามา
ในความมืดสลัว นางรู้สึกว่ามีใครบางคนกำลังพยายามปลดเสื้อผ้าของนาง และหายใจหอบเหนื่อย
นางตกใจและลุกขึ้นมานั่งในทันที ทว่ากลับเห็นซือม่อเฟยตื่นขึ้นมาตอนไหนไม่รู้และปลดเสื้อผ้าของนางออกไปเกือบครึ่งแล้ว
เมื่อเห็นนางตื่นขึ้นมา เขาก็แสร้งทำเป็นหลับ
ปัดโธ่……
กู้ชูหน่วนดึงหูของเขาขึ้นมา
“อายุน้อยเช่นนี้กลับทำตัวแย่ มาปลดเสื้อผ้าผู้หญิงเช่นนี้ เจ้าคิดจะมีเรื่องกับข้าอย่างนั้นหรือ?”
“ไม่เช่นนั้น ข้าให้ท่านพี่หญิงปลดเสื้อผ้าของข้ากลับ”
“……”
เหตุใดเขาถึงแสดงสีหน้าน่าสงสารและไร้เดียงสาทั้งที่ตัวเขาเองเป็นฝ่ายรังแกผู้อื่น?