บทที่ 388.3 อินทรีกระดาษโบยบิน ฝูงนกแตกฮือ

กระบี่จงมา! Sword of Coming

ชุยตงซานมองดวงตาที่สุกใสคู่นั้นของเฉินผิงอัน ตอนที่กุมมือคารวะก็คลี่ยิ้มกล่าวว่า “แลกเปลี่ยนความรู้ ฝึกวินัยขัดเกลาตน”

เผยเฉียนที่นั่งอยู่ด้านข้างฟังแล้วปวดหัวแปลบ

แล้วอยู่ๆ ชุยตงซานก็เปลี่ยนหัวข้อพูดคุยไปไกลจากเดิมหนึ่งแสนแปดพันลี้ โดยยิ้มกล่าวว่า “แคว้นชิงหลวนมีของอยู่สองอย่าง หากอาจารย์มีโอกาสต้องลองชิมดูให้ได้ อย่างแรกคือพระกระโดดกำแพง อีกอย่างหนึ่งก็คือหลูจู่ (คืออาหารข้างทางขึ้นชื่ออย่างหนึ่งของปักกิ่ง ประกอบด้วยเนื้อหมู ลำไส้หมู ปอดหมู ตับหมูในน้ำซุปที่ใส่ซอสหรือเต้าเจี้ยวคล้ายพะโล้) ของร้านเก่าแก่ในตรอกลึกข้างทาง หนึ่งแพงหนึ่งถูก ล้วนเป็นอาหารเลิศรสของโลกมนุษย์”

เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ตกลง”

ชุยตงซานพูดขึ้นอย่างระมัดระวัง “อาจารย์ ข้ามีคำพูดบางอย่างที่อยากจะพูดให้เผยเฉียนซึ่งเป็นสหายร่วมสำนักฟัง ได้หรือไม่? และพอคุยเสร็จแล้วก็อาจจะพาเว่ยเซี่ยนจากไปทันที อาจารย์ไม่จำเป็นต้องไปส่ง หลังจากนี้ก็มีแค่สือโหรวและจูเหลี่ยนที่ทำหน้าที่เป็นผู้ติดตามของท่านแล้ว”

เฉินผิงอันพยักหน้ารับ หันหน้าไปมองเผยเฉียน นางก็ลุกพรวดขึ้นยืน “ใครกลัวกันเล่า!”

ชุยตงซานยิ้มเดินออกจากห้อง เผยเฉียนตามไปด้านหลังติดๆ ตอนที่เดินข้ามธรณีประตูนางหันมายิ้มให้เฉินผิงอัน ชูหมัดเพื่อเพิ่มความกล้าให้กับตัวเอง

เพียงแต่ว่าพอมาเดินอยู่ในระเบียง ไม่เห็นเฉินผิงอันแล้ว เผยเฉียนก็รีบหยิบยันต์เจดีย์วิเศษสยบปีศาจมาแปะไว้บนหน้าผาก แล้วถึงได้เดินตามไปด้านหลังเจ้าหมอนั่น

มาถึงห้องของชุยตงซานก็รีบปิดประตูห้องให้ชุยตงซานอย่างว่องไว นั่งอยู่ข้างโต๊ะด้วยรอยยิ้มประจบประแจงเต็มใบหน้า ยื่นมือไปคว้าสาลี่มาลูกหนึ่ง “เจ้าคือศิษย์พี่ของข้า ข้าช่วยเช็ดให้ เจ้าจะได้กินแก้กระหาย”

ชุยตงซานตวัดค้อนใส่ “เจ้าจะช่วยให้เสียเรื่องน่ะสิ ยังจะมาเรียกว่าศิษย์พี่อีก ข้าเรียกเจ้าว่าศิษย์พี่หญิงดีไหม?”

เผยเฉียนรีบโบกมือ “ไม่ได้ๆ พวกเราอยู่ในสำนักเดียวกันต้องดูด้วยว่าใครมาก่อนใครมาหลัง”

ชุยตงซานหลุดหัวเราะพรืด “ดูความไม่เอาถ่านของเจ้านี่สิ”

เผยเฉียนพยักหน้ารับรัวๆ ราวไก่จิกเมล็ดข้าวเปลือก “ใช่ๆๆ ตอนนี้ข้าอายุน้อยเกินไป ยังไม่เอาถ่านสักเท่าไหร่”

ชุยตงซานลุกขึ้นยืน หยิบภาพม้าวิ่งของแม่น้ำแห่งกาลเวลาม้วนนั้นออกมา แต่กลับไม่ได้เปิดมันออกในทันที เอ่ยถามว่า “เจ้าคิดว่าตอนเด็กๆ อาจารย์ของเจ้ามีชีวิตอย่างไร?”

เผยเฉียนอึ้งตะลึง “อาจารย์เคยเล่าให้ฟัง แล้วก็เคยได้ยินตอนคนอื่นคุยกัน ดูเหมือนว่าตอนเด็กจะยากจนมาก เติบโตมาในตรอกหนีผิงของถ้ำสวรรค์หลีจูอะไรสักอย่างนี่แหละ”

ชุยตงซานเปิดม้วนภาพวาดออกช้าๆ กวักมือกล่าวว่า “ถ้าอย่างนั้นก็มาดูกัน”

บนม้วนภาพวาดนี้ ภาพแรกที่ปรากฏคือลำธารนอกเมืองเล็ก รวมไปถึงสะพานแบบคานที่สุดท้ายถูกรื้อทิ้งไป

ชุยตงซานพูดขึ้นช้าๆ ว่า “ผู้ฝึกตนบนโลกใบนี้ รังแกภูเขาไม่รังแกน้ำ นั่นก็เพราะความชื่นชอบที่เหล่าอริยะปราชญ์ของเมธีร้อยสำนักมีต่อสายน้ำเหนือกว่าภูเขาไปไกลโข อุดมธรรมดุจดั่งสายน้ำ ผู้มีปัญญาดั่งสายน้ำที่ไหลไม่หยุดนิ่ง พระพุทธเจ้าพิศดูน้ำในบาตร ส่วนความจริงอันห่างไกลที่อยู่ในเรื่องเหล่านี้ วันหน้าเจ้าก็จะได้รู้เอง”

หลังจากนั้นก็เป็นกาลเวลาช่วงที่เฉินผิงอันยังเป็นเด็ก

ขณะที่ทุกคนเล่นว่าวในสุสานเทพเซียน มีเด็กชายผิวดำเกรียมคนหนึ่งนั่งยองอยู่ห่างไปไกลเพียงลำพัง กำลังมองดูคนวัยเดียวกันก็วิ่งตะบึงอย่างสนุกสนานด้วยความอิจฉา มองว่าวกระดาษที่ล่องลอยอยู่สูงบนฟ้า

ไปซื้อยาที่ร้านยาตระกูลหยาง กลับบ้านไปต้มยา เหยียบอยู่บนม้านั่งเพื่อทำอาหาร แอบวิ่งไปที่สุสานเทพเซียนเพื่อขอพรจากเทวรูปผุพังทั้งหลาย

หลังจากนั้น ใต้ดวงตะวันร้อนแรง แบกตะกร้าไม้ไผ่ที่ใหญ่พอๆ กับตัวเขาขึ้นภูเขาไปเก็บยาสมุนไพร ผลกลับกลายเป็นว่ารู้สึกปวดแสบปวดร้อนที่บ่า ต้องปลดตะกร้าลง ร้องไห้จ้าอยู่ตรงตีนเขา

เดินกลับไปกลับมาอยู่ในตรอกหนีผิงครั้งแล้วครั้งเล่าด้วยความหิว สุดท้ายเป็นสตรีแต่งงานแล้วคนหนึ่งที่มาเปิดประตูให้

กาลเวลาไหลผ่านดุจสายน้ำ ภาพต่างๆ เริ่มเปลี่ยนไป

จากเด็กชายกลายเป็นเด็กหนุ่ม

สุดท้ายภาพหยุดอยู่ตรงหน้าประตูตะวันออกของเมืองเล็ก เฉินผิงอันยืนอยู่ด้านในของประตู รอเอาจดหมายไปส่งเพื่อหาเงินมาประทังชีพ

เผยเฉียนมองตาไม่กะพริบ สีหน้าเปลี่ยนแปลงไปไม่หยุดนิ่ง ดูอยู่นานเกินครึ่งชั่วยาม

ระหว่างที่ดูอย่างเพลิดเพลินก็จะพูดพึมพำกับตัวเองว่า “ซ่งจี๋ซินกับจื้อกุยผู้นี้ล้วนสมควรตาย ข้ามีหนึ่งดาบหนึ่งกระบี่พอดี วันหน้าใช้หนึ่งดาบฟันคอ ใช้หนึ่งกระบี่แทงทะลุหัวใจ!”

“มิน่าเล่าอาจารย์ถึงถักรองเท้าสาน ทำหีบหนังสือ ทำเป็นหมดทุกอย่างเลย”

“ฮ่าๆ อาจารย์ก็อยากกินถังหูลู่เหมือนกันหรือ เอ๊ะ? อาจารย์หนีไปทำไมล่ะ ชายฉกรรจ์ขายถังหูลู่คนนั้นก็ยกให้อาจารย์ไม้หนึ่งแล้วไม่ใช่หรือ? ไม่เข้าใจเลย”

“กะเทยในเตาเผามังกรคนนี้ค่อนข้างคล้ายคลึงกับผู้เฒ่าที่ชื่อว่าสือโหรวนั่นเลย”

“ต้นไม้เหนือสุสานต้นนี้ก็คือต้นข่ายที่อาจารย์เคยเล่าให้เสี่ยวป๋ายฟังกระมัง?”

“ตาเฒ่าเหยาผู้นี้ทำไมถึงได้ชอบด่าอาจารย์นักนะ เขาตาบอดหรือไง”

“พี่สาวที่อยู่นอกประตูคนนี้คงไม่ใช่แม่นางที่อาจารย์ชอบหรอกนะ? ไม่เห็นจะสวยกว่าสุยโย่วเปียนเลย ดูเหมือนยังสู้นักพรตหญิงหวงถิงที่ถ่ายทอดวิชาดาบและวิชากระบี่ให้ข้าไม่ได้ด้วยซ้ำ”

เสียงเพี๊ยะดังขึ้นหนึ่งที

ชุยตงซานเก็บม้วนภาพวาดไว้ในวัตถุจื่อชื่อ

เผยเฉียนนั่งเงียบๆ อยู่บนม้านั่ง

ชุยตงซานนั่งอยู่ด้านข้าง พูดด้วยสีหน้าเฉยเมย “ตอนที่อาจารย์ของเจ้าทบทวนการเดินทางในพื้นที่มงคลดอกบัวกับข้า ไม่ได้ดื่มเหล้าสักเท่าไหร่ เพียงแต่ว่าภายหลังพอพูดถึงเจ้าเผยเฉียน เขากลับดื่มเหล้าติดๆ กันอยู่หลายคำ บอกว่าเดิมทีเขานึกว่าพ่อแม่ทุกคนในใต้หล้านี้ล้วนอยากจะมอบแต่ของดีๆ ให้ลูกของตัวเอง ภายหลังถึงได้รู้ว่าไม่ได้เป็นเช่นนั้น มีแม่ที่แอบซ่อนหมั่นโถว เลือกที่จะแอบมากินอยู่คนเดียวกลางดึก ต่อให้ลูกสาวใกล้จะหิวตายแล้วก็ไม่ยินดีเอาออกมาให้ได้อย่างไร”

เผยเฉียนไหล่ลู่คอตก

ชุยตงซานพูดเสียงเรียบ “ข้าต้องขอบคุณเจ้าเผยเฉียน ที่ทำให้อาจารย์ของข้ารู้ว่าใต้หล้านี้มีคนที่ทั้งเลวและโง่อยู่อีกมากมาย”

ชุยตงซานถาม “รู้ไหมว่าตอนอยู่ในเมืองเล็ก สามครั้งไหนที่ปีนั้นอาจารย์ของเจ้าข้ามผ่านมันไปได้ยากที่สุด?”

เผยเฉียนฟุบตัวลงบนโต๊ะ พึมพำว่า “ครั้งหนึ่งคือหากไม่ได้สตรีแต่งงานผู้นั้นเปิดประตูให้ ดังนั้นภายหลังอาจารย์จึงดีต่อเจ้าเด็กขี้มูกยืดเป็นพิเศษ ครั้งหนึ่งคือตอนขึ้นไปเก็บสมุนไพรบนภูเขาครั้งแรก ดังนั้นอาจารย์จึงซาบซึ้งในบุญคุณของตาเฒ่าหยางผู้นั้นมาก ครั้งสุดท้าย ข้าคิดไม่ออก”

ชุยตงซานพึงพอใจไม่น้อย จึงยิ้มพูดว่า “ต่อให้เจ้าเผยเฉียนคิดจนหัวแทบแตกก็คงคิดไม่ออก คือถังหูลู่ไม้นั้น”

เผยเฉียนหันหน้ามา ซีกหน้าแนบติดกับผิวโต๊ะ นางมองเจ้าคนที่มีใฝแดงกลางหว่างคิ้วด้วยความรู้สึกกังขาเล็กน้อย

ชุยตงซานพูดเบาๆ “หากเปลี่ยนเป็นเจ้าที่อยู่ตรงนั้น ถังหูลู่ไม้นั้น เจ้าเผยเฉียนสามารถกินได้ จะกินยังไงก็ได้ จะคุกเข่าบนพื้นขอร้องให้คนอื่นยกให้เจ้า แอบกินหรือแย่งมากิน กินถังหูลู่ทั้งแผงก็ไม่มีปัญหา แต่เฉินผิงอันกินไม่ได้ กินไม่ได้แม้แต่ลูกเดียว เรื่องราวบนโลก คนบนโลกและจิตใจของคนบนโลก มองดูเหมือนซับซ้อน แต่อันที่จริงแล้วขอแค่มองให้เห็นจุดที่ละเอียดอ่อนที่สุดก็จะมีเส้นสายให้ไล่ตามไปเอง…”

เผยเฉียนพลันพูดอย่างขุ่นเคือง “เรียกอาจารย์! ถึงกับบังอาจเรียกชื่ออาจารย์ออกมาตรงๆ เจ้าช่างใจกล้ายิ่งนัก! ระวังเถอะข้าจะเอาไปฟ้องอาจารย์!”

ชุยตงซานเหลือกตามองบน ทำท่าดีดนิ้ว

เผยเฉียนรีบนั่งตัวตรง ใช้สองมือปกป้องหน้าผากของตัวเองและยันต์ที่รักเอาไว้

ชุยตงซานเอาสองมือสอดไว้ในชายแขนเสื้อ เอนตัวพิงโต๊ะ มองไปนอกหน้าต่าง พูดเบาๆ ว่า “พวกเราน่ะจะทำให้อาจารย์ผิดหวังอยู่เรื่อยไปไม่ได้”

ประโยคนี้ทำเอาเผยเฉียนมึนงงอยู่เล็กน้อย อยู่เรื่อยไป?

แต่เพียงไม่นานนางก็ไม่งงแล้ว เผยเฉียนลองนับนิ้วคำนวณดู ตนทำให้เฉินผิงอันโมโหอยู่หลายครั้งจริงๆ

ชุยตงซานหันคอกลับมายิ้มมองเผยเฉียน “ฟ้ามีตะวันจันทราสาดส่องหมื่นจั้ง คนมีดวงตามองกระจ่างหมื่นสรรพสิ่ง เผยเฉียน เจ้าโชคดีมาก และยิ่งโชคดีที่เจ้าได้มาเจอกับเฉินผิงอัน ก็เหมือนกับที่…เฉินผิงอันได้เจอกับฉีจิ้งชุน”

สายตาของชุยตงซานเลื่อนลอย แต่บนใบหน้ากลับเจือรอยยิ้ม เขาพึมพำเบาๆ ว่า “จำได้ว่าช่วงเวลาที่เหล่าซิ่วไฉตกต่ำที่สุด เคยพูดกับศิษย์ที่ในเวลานั้นมีแค่สามคนอย่างข้า เจ้าคนปัญญาทึบ รวมไปถึงอาจารย์ฉีในสายตาของเฉินผิงอันผู้นั้นว่า คนเรานั้น หากมีชีวิตอย่างมีความสุข มีหรือไม่มีเงินก็ไม่ได้สำคัญขนาดนั้น ดื่มน้ำก็ยังรู้สึกว่าหวาน กินหมั่นโถวเปล่าๆ ก็ยังให้รสชาติเหมือนกินน่องไก่ย่าง ตอนนั้นเจ้าคนแซ่จั่วพูดอย่างโง่งมว่า ถึงอย่างไรก็ต้องดื่มน้ำกินหมั่นโถวไปชั่วชีวิตอยู่แล้ว ไม่ต้องหิวตาย แค่นี้ก็ดีมากแล้ว ซิ่วไฉเฒ่าโมโหจนตบโต๊ะถลึงตา บอกว่าหัดเอาถ่านเสียบ้าง ตอนไม่มีเงิน ไม่เอาหลักการพวกนี้มาประทังความหิว จะใช้ชีวิตผ่านไปได้อย่างไร ไฉนใต้หล้านี้ถึงได้มีคนโง่ที่ไม่อยากให้ตัวเองมีชีวิตที่ดีขึ้นกันนะ เมื่อทุกคนอยากมีชีวิตที่ดีแล้วก็จะได้เดินไปบนทางที่ดีที่เที่ยงตรงและถูกต้อง วิถีแห่งโลกสายนี้ก็จะเคลื่อนขยับสู่เบื้องบนต่อไป…จากนั้นฉีจิ้งชุนผู้นั้นก็ถามว่า อาจารย์ ถ้าอย่างนั้นเมื่อไหร่พวกเราถึงจะได้กินกับข้าวที่ใส่น้ำมันล่ะ? อาจารย์สะอึกอึ้ง เงียบไปนานก็ยังหาคำพูดมาตอบโต้ไม่ได้ สุดท้ายก็ได้แต่ชี้มาที่คนโง่หลอกง่ายอย่างข้าซึ่งเป็นศิษย์พี่ใหญ่ผายลมสุนัขของเจ้าสองคนนั้น ยิ้มตาหยีพูดว่า นั่นก็ต้องดูที่ว่าทางบ้านของศิษย์พี่ใหญ่พวกเจ้าจะส่งเงินมาให้เมื่อไหร่…เพียงแต่ว่าคำพูดที่คุยกันในชีวิตประจำวันเหล่านี้ คนรุ่นหลังไม่มีใครได้รับรู้ก็เท่านั้น ทุกคำพูดล้วนทิ้งไว้ในโรงเรียนเล็กๆ ในตรอกเก่าโทรมแห่งนั้น ภายหลังมีสองครั้งที่ซิ่วไฉเฒ่าเข้าร่วมการโต้วาทีของสามลัทธิ ลูกศิษย์ในสำนักที่ได้รับการบันทึกชื่อและไม่ได้รับการบันทึกชื่อต่างก็พากันมาร่วมงานมากมายดุจก้อนเมฆ เป็นที่น่าสนใจในสายตาชาวโลก ทว่าสิ่งเหล่านี้ อันที่จริงพวกเราสามคนกลับไม่ยินดีจะคิดถึงเท่าไหร่นัก เพราะดูเหมือนว่านับแต่นั้นมาซิ่วไฉเฒ่าก็ยุ่งทุกวัน วิ่งไปนู่นวิ่งมานี่ เพื่อคำว่าอาณาประชาราษฎร์ก็ต้องยุ่งหัวไม่วางหางไม่เว้น ไปเยือนตามสำนักศึกษาสถานศึกษาแห่งแล้วแห่งเล่า ต้องคอยถ่ายทอดวิชาความรู้ ไขข้อข้องใจให้แก่คนโง่มากมาย นานวันเข้าศิษย์ที่เป็นที่ภาคภูมิใจรุ่นแรกสุดอย่างพวกเราสามคนจึงต่างคนต่างเดินไปบนทางที่ตัวเองเลือกเอง”

เผยเฉียนได้ยินไม่ชัดนัก นั่นเป็นเพราะชุยตงซานพูดเบามากจริงๆ

ชุยตงซานสูดลมหายใจเข้าลึกหนึ่งครั้ง ม้วนชายแขนเสื้อสองข้างขึ้นประหนึ่งก้อนหิมะที่กลิ้งตลบ เขาหันมามองเผยเฉียน ยิ้มบางๆ กล่าวว่า “จิตออกจากกาย ประหนึ่งนกออกจากกรงขัง ส่องสว่างใสสะอาด ประดุจแก้วใส แสงจันทร์ส่องกระจ่างภายใน กายใจชื่นบาน ในเมื่อเจ้าไม่เหมาะสมกับวิชาหมัดของอาจารย์ และเริ่มหันมาฝึกดาบและกระบี่แล้ว ถ้าอย่างนั้นก็รีบฝึกฝนให้ตัวเองออกกระบี่ได้เร็วที่สุด เร็วประหนึ่งสายลม ประหนึ่งสายฟ้า เร็วถึงขั้นที่หนึ่งกระบี่ทำลายหมื่นอาคม แล้วก็ต้องออกดาบให้ว่องไว มือถือดาบสอดกลับเข้าฝัก หัวศัตรูกลิ้งหลุนๆ!”

เผยเฉียนยู่หน้าดำเกรียม “เจ้าไม่ใช่อาจารย์ของข้าสักหน่อย”

ชุยตงซานยิ้มตาหยี “แต่เจ้าเป็นศิษย์พี่หญิงใหญ่ของข้านี่นา วันนี้ข้าปกป้องเจ้า วันหน้าเจ้าปกป้องข้า นี่ต่างหากถึงจะเป็นมิตรภาพในสำนักที่น่าสรรเสริญ”

เผยเฉียนกะพริบตา “เจ้าห้ามหลอกข้าเชียว ไม่อย่างนั้นข้าจะไม่ยอมเป็นศิษย์พี่หญิงใหญ่”

ชุยตงซานนึกเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ก็ควักวัตถุเล็กๆ ที่พับเป็นนกกระเรียนกระดาษออกมา “เก็บไว้ให้ดี เจ้าเดินทางไกลเป็นเพื่อนอาจารย์ข้าครั้งนี้ เวลาที่เขาโมโหที่สุด เจ้าถึงจะเอามันออกมาให้เขาดูได้ แต่ข้าหวังว่าเจ้าจะไม่เอามันออกมาจนกว่าข้ากับอาจารย์จะกลับมาพบกันใหม่อีกครั้ง เก็บเอาไว้ ใส่ไว้ในถุงหอมใบนั้นของเจ้า จำไว้ว่าอย่าเปิดออกโดยพลการเด็ดขาด ไม่อย่างนั้นต้องแบกรับผลลัพธ์ที่จะตามมาเอาเอง”

เผยเฉียนร้องอ้อหนึ่งที ก่อนจะเก็บมันใส่ไว้ในถุงหอมอย่างระมัดระวัง

ชุยตงซานชี้ไปยังบ่อสายฟ้าที่มีแสงสีทองไหลริน “เจ้ามีไม้เท้าเดินป่าไม่ใช่หรือ อยากจะเรียนวิชาอภินิหารนี้จากข้าหรือไม่?”

เผยเฉียนกล่าว “แต่ข้าไม่มีเงินนะ ให้เสี่ยวป๋ายเป็นค่าเดินทางไปหมดแล้ว”

กล่าวมาถึงตรงนี้ก็นึกเรื่องที่ชวนให้เสียใจขึ้นมาได้อีก นางถูกเจ้าคนตรงหน้าผู้นี้หลอกเอาเงินไปตั้งเจ็ดเหรียญทองแดงเต็มๆ เพราะเล่นหมากห้าเม็ดเรียงเป็นไข่มุกกับเขา

ชุยตงซานโบกชายแขนเสื้อหนึ่งที ยิ้มกล่าวว่า “พูดเรื่องเงินช่างทำลายมิตรภาพ ไม่ต้องให้เจ้าจ่ายเงิน ถือเสียว่าเป็นค่าตอบแทนที่เจ้าช่วยเหลือข้าเล็กๆ น้อยๆ ก็แล้วกัน”

……

สุดท้ายเฉินผิงอันก็ยังเดินมาส่งชุยตงซานที่หน้าประตูใหญ่ของโรงเตี๊ยม

เว่ยเซี่ยนกับเผยเฉียนกำลังคุยกัน

จูเหลี่ยนและสือโหรวยืนอยู่ด้านหลังเฉินผิงอัน

ชุยตงซานยิ้มพูดกับคนทั้งสองว่า “ทั้งสองท่าน ต้องดูแลอาจารย์ของข้าให้ดีนะ”

จูเหลี่ยนพยักหน้ารับพร้อมยิ้มบางๆ “อาจารย์ของเจ้าคือนายท่านของข้า เรื่องนี้ไม่จำเป็นต้องพูดให้มากความ”

ส่วนสือโหรวกลับรู้สึกสับสน ตอนที่ชุยตงซานอยู่ด้วย นางหวาดกลัวอีกฝ่ายเหมือนเขาเป็นพยัคฆ์ ตอนที่ชุยตงซานจะจากไป นางก็กังวลกับอนาคตอันเลือนรางขึ้นมาอีก

ชุยตงซานโค้งคำนับ “ภูเขาและสายน้ำยาวไกล อาจารย์โปรดถนอมตัวด้วย”

ตอนที่ชุยตงซานยืดตัวขึ้น เฉินผิงอันพลันยกแขน กำหมัดแนบไว้เบื้องหน้า หันหลังให้กับ ‘ตู้เม่า’ เขายกนิ้วโป้งพูดเบาๆ ว่า “ทำได้ดีมาก! ข้าและเจิ้งต้าเฟิงต่างก็ต้องขอบคุณเจ้า”

ชุยตงซานอึ้งไปนาน เป็นครั้งแรกที่เอ่ยคำพูดประจบเอาใจได้ไม่คล่องปาก ได้แต่พูดอย่างติดๆ ขัดๆ ว่า “อาจารย์ช่าง…เป็นคนมีคุณธรรมจริงๆ”

—–