เล่น 14 ตอนที่ 5

Memorize

ตอนที่ 5

 

 

 

 

“วิธีฝึกยูนิคอร์นให้เชื่องเหรอ ไม่ง่ายเลยนะ ถ้าเผ่าพันธุ์เดียวกันตายก็มีแนวโน้มว่าพวกมันจะโศกเศร้ามากๆ เลยน่ะสิ และถ้าพ่อแม่หรือลูกตาย แนวโน้มแบบนั้นก็จะยิ่งรุนแรงขึ้นไปอีก ถ้าปล่อยไว้เฉยๆ แบบนั้นก็เรียกได้ว่าถึงขนาดจะกลั้นใจตายได้เลยเชียวนะ เล็งช่วงเวลานั้นไว้ล่ะ โดยเฉพาะพวกตัวเล็กๆ น่ะ จะต้องมีอะไรบางอย่างที่จะเติมเต็มความรู้สึกสูญเสียของพวกมัน ถึงแม้แน่นอนว่าจะต้องมีหญิงสาวบริสุทธิ์กับข้อแม้ที่ว่ายูนิคอร์นจะอยู่ตามลำพังด้วยทั้งสองอย่างก็เถอะ” 

 

 

-อ้างอิงมากจาก ‘วิธีการฝึกยูนิคอร์นให้เชื่อง’ ห้องสมุดกลางบาร์บาร่า เมืองใหญ่ทางเหนือ 

 

 

 

 

 

* * * 

 

 

 

 

 

แสงตะวันสลัวๆ ทอแสงอยู่ตรงท้องฟ้าฝั่งทิศตะวันออก ดวงอาทิตย์ที่ไล้แสงไปตามทุ่งหญ้าค่อยๆ โผล่ออกมาจากที่ไกลๆ ราวกับเจ้าสาวป้ายแดงผู้เขินอาย คงเริ่มทอแสงแรงขึ้นแล้ว ทุ่งหญ้าที่ปกคลุมไปด้วยสีเขียวเข้มจึงกำลังถูกย้อมด้วยแสงสีขาวถึงแม้จะแค่นิดเดียวก็ตาม  

 

 

ยามเช้าของทุ่งหญ้าที่ค่อยๆ คืบคลานมาเงียบสงบแต่งดงาม ทุ่งหญ้าที่เคยเต็มไปด้วยแสงยามค่ำคืนอันมืดมิดตลอดช่วงเช้ามืดกลับทอแสงประกายอย่างชัดเจนในชั่วพริบตา 

 

 

และแล้วในตอนที่แสงสีขาวทำให้ทั่วทุกมุมส่องสว่างจนถึงจุดที่ไกลโพ้นของทุ่งหญ้า แสงอาทิตย์ก็ส่องให้เห็นผู้เล่นคนหนึ่งซึ่งกำลังนั่งสัปหงกบนผืนหญ้า ทั่วทั้งร่างถูกห่อหุ้มไปด้วยชุดคลุม เพราะฉะนั้นจึงมองไม่เห็นทั้งใบหน้าและร่างกาย แต่ถ้าได้เห็นเส้นผมที่แซมออกมาตรงใต้ฮู้ดแล้วพลิ้วไหวไปมาถึงแม้จะยุ่งเหยิงนิดหน่อยก็ตาม บางทีก็อาจจะคาดเดาได้ว่ามีความเป็นไปได้สูงที่จะเป็นผู้หญิง 

 

 

คงรู้สึกได้ถึงแสงอาทิตย์ที่ส่องสว่างมาตรงใบหน้า หัวที่เคยสัปหงกอย่างไร้ความปรานีจึงหยุดชะงักไปครั้งหนึ่ง จากนั้นก็เงยหน้าขึ้นช้าๆ ทอดสายตามองท้องฟ้าแล้วใช้นิ้วเรียวบางจับฮู้ดเปิดไปด้านหลัง 

 

 

ใบหน้าที่ปรากฏออกมาให้เห็นในที่สุดมีภาพลักษณ์ภายนอกเป็นผู้หญิงอย่างแน่นอน เป็นหญิงงามที่มีสันจมูกโด่ง ริมฝีปากบางที่ปิดสนิทอยู่ และคิ้วที่โก่งขึ้นไปเล็กน้อย 

 

 

ถ้านอนหลับแล้วตื่นขึ้นมาในที่ที่มีทิวทัศน์อันสวยงามแบบนี้ก็น่าจะรู้สึกสดชื่นแจ่มใสแท้ๆ แต่ดวงตาของหญิงสาวซึ่งเต็มไปด้วยความง่วงงุนกลับเจือท่าทีหงุดหงิดไม่น้อย เธอสูดน้ำมูกที่ไหลลงมาบนร่องเหนือริมฝีปากดังฟืด จากนั้นก็ห่อไหล่อย่างเต็มที่แล้วริมฝีปากสวยได้รูปก็เปิดออก 

 

 

“โอ๊ะ หนาวจัง” 

 

 

“ทำตัวไร้ประโยชน์อีกแล้วนะคะ ไร้ประโยชน์ ยัยเด็กคนนี้ นอนหลับปุ๋ยมาจนถึงตอนนี้ พอตื่นขึ้นมาแล้วพูดว่าหนาวเนี่ยนะ” 

 

 

คงตกใจกับคำตอบที่ได้ยินอย่างฉับพลัน หญิงสาวจึงเบิกตาโตแล้วหันไปมองด้านข้าง ตรงนั้นมีหญิงสาวอีกคนซึ่งทั่วทั้งร่างถูกห่อหุ้มไปด้วยชุดคลุมนั่งอยู่อย่างที่คิด และเธอกำลังจ้องมองหญิงสาวที่เพิ่งตื่นเมื่อครู่นี้ด้วยแววตาเอือมระอา 

 

 

หญิงสาวมองพิจารณาเธออย่างตั้งอกตั้งใจด้วยดวงตาที่จวนจะปิด จากนั้นจึงถอนหายใจเฮือกใหญ่แล้วหันกลับมาอีกครั้ง 

 

 

“พี่พูดแบบนั้นแต่หน้าก็เพิ่งตื่นเหมือนกันแหละน่า” 

 

 

“นี่ ซอลมินฮี เช็ดขี้ตาที่ติดอยู่ตรงตาเธอแล้วค่อยพูดเถอะ แล้วก็ฉันตื่นนอนก่อนเธออีกนะ” 

 

 

“ฉันนอนดึกกว่าพี่ไง เพราะฉะนั้นก็เสมอกัน” 

 

 

“เฮ้อ เอาเถอะ เลิกเถียงกัน คิดดูแล้วไม่ว่าจะเธอหรือฉันก็ไม่ได้ทำอะไรดีเลยสักอย่าง” 

 

 

คงเห็นด้วยกับคำพูดของหญิงสาวที่ถูกเรียกว่าพี่ ซอลมินฮีจึงหาวหวอดๆ พลางพยักหน้า 

 

 

หญิงสาวทั้งสองจบบทสนทนานั้นแล้วทอดสายตามองไปยังด้านหน้าโดยไม่ได้พูดอะไรอยู่พักหนึ่ง พระอาทิตย์ยามเช้าลอยขึ้นมาแล้ว แต่คงยังไม่พอต่อการขับไล่ไอเย็นที่แฝงอยู่ลึกๆ ในทุ่งหญ้า ไอเย็นยะเยือกจึงยังคงหลงเหลืออยู่ ใบหน้าของซอลมินฮีที่จ้องมองด้านหน้าไร้ซึ่งความรู้สึกใดๆ แต่รู้ตัวอีกทีกลับกำลังถ่ายทอดความรู้สึกเหนื่อยล้าออกมาจากทั่วทั้งร่าง 

 

 

“ฟู่ ฟู่” 

 

 

คงคิดจะทำให้ร่างกายที่หนาวเหน็บมาทั้งคืนผ่อนคลายลง ซอลมินฮีจึงถูมือทั้งสองข้างเข้าด้วยกันแล้วเป่าลมเข้าไปตรงกลาง 

 

 

“พี่โซรา ฉันหนาวจัง” 

 

 

“เพราะว่านอนเพิ่งตื่นนั่นแหละ ขยับตัวสักหน่อยสิ” 

 

 

ซอลมินฮีไม่สนใจแล้วห่อตัวเข้าหากันมากกว่าเดิมแม้โซราจะแนะนำ 

 

 

“ฟู่ พี่โซรา” 

 

 

“ถ้าบอกว่าหนาวอีก ฉันจะฉีกปากเธอเป็นชิ้นๆ แล้วนะ จริงๆ” 

 

 

“พวกเราจะต้องอยู่แบบนี้ไปจนถึงเมื่อไรเหรอ” 

 

 

“…” 

 

 

คำถามนี้ หญิงสาวที่ถูกเรียกว่าโซราปิดปากฉับราวกับว่ายากมากๆ ที่จะตอบคำถามนี้ทันที แต่สายตาของซอลมินฮีที่จ้องมองเธอมาก็ค่อยๆ รุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ ครั้งนี้สายตาคู่นั้นรวมความมุ่งมั่นที่จะฟังคำตอบให้ได้ 

 

 

โซราเลียริมฝีปากครู่หนึ่งแล้วส่ายหน้าไปมา 

 

 

“เฮ้อ ไม่รู้หรอก คงต้องรอจนกว่าจะมีการติดต่อเข้ามาก่อนน่ะ” 

 

 

“เมื่อวานมีการติดต่อเข้ามาแล้วนี่ไง ทางลูกแก้วคริสตัล” 

 

 

“เมื่อวานเหรอ อ๋อ นั่นน่ะเหรอ เธอเชื่อเรื่องไร้สาระนั่นหรือไง” 

 

 

“คนที่เคยอยู่ในทีมรอคำสั่งบอกว่าเจอแน่ๆ แล้วไง เจอร่องรอยแล้วด้วย” 

 

 

“คุณหนูมินฮีผู้ไร้เดียงสาของฉัน นั่นน่ะเขาบอกว่าเป็นร่องรอยของสัตว์สี่เท้าที่เดินผ่านไปเป็นฝูงใหญ่ตามที่พูดมานั่นแหละ บอกว่าม้าสีขาวเป็นสิบๆ ตัวให้คนขี่หลังแล้วเดินผ่านไปใช่ไหมล่ะ ยูนิคอร์นงั้นเหรอ” 

 

 

โซราส่ายหัวไปมาด้วยใบหน้าเหมือนบอกว่าไร้สาระ 

 

 

“อย่าพูดเรื่องไร้สาระไปหน่อยเลย เผลอๆ คงจะสัปหงกอยู่แล้วเห็นภาพหลอนเหมือนเธอแหงๆ” 

 

 

“…” 

 

 

ซอลมินฮีเอียงหัวนิ่งๆ แล้วทำแก้มซึ่งยังคงมีเนื้อหนังให้พองออกเล็กน้อย 

 

 

“เพราะอย่างนั้นก็เลยบอกว่าให้รอไปเรื่อยๆ แบบนี้น่ะเหรอ พวกเราเป็นทีมไล่ล่านะ เหมือนกับทำเรื่องที่จะต้องทำในป่าอันอุดมสมบูรณ์เสร็จตั้งแต่แรกแล้วนี่ รอตะครุบแบบนี้เป็นงานที่พวกทีมรอคำสั่งทำกันต่างหาก แล้วเราจะอยู่กันแบบนี้เหรอ” 

 

 

“ทางนั้นออกคำสั่งมาว่าให้ทำแบบนี้นี่ ก็ช่วยไม่ได้ไม่ใช่เหรอ แล้วก็เห็นว่ามีราชินีแห่งเงามืดอยู่ในกลุ่มพวกผู้เล่นที่จะจู่โจมครั้งนี้ด้วยนะ ราชินีแห่งเงามืดไง ราชินีแห่งเงามืดเชียวนะ ไม่รู้จักเหรอ เป็นสถานการณ์ที่น่าเสียดายต่อคนคนหนึ่งมากเลยนะ ว่าแต่ไม่พอใจอะไรขนาดนั้น” 

 

 

ครั้งนี้ซอลมินฮีปิดปากเงียบ แต่ไม่นานคงนึกถึงชื่อเสียงของราชินีแห่งเงามืดได้ เธอจึงกลืนน้ำลายเอื้อกจนลำคอขยับขึ้นลงไปมา สีหน้าต่อมาของซอลมินฮียอมรับเรื่องนี้ก็จริง แต่ถึงอย่างนั้น ความไม่พอใจก็คงจะยังไม่หายไปไหน แก้มของเธอจึงยังพองออกอยู่ 

 

 

คงสังเกตเห็นท่าทีแบบนั้น โซราจึงเสียงอ่อนลงเล็กน้อย 

 

 

“ฉันก็หงุดหงิดเหมือนกัน เพราะฉะนั้นฉันเลยบอกให้โจมตีก่อนเข้าไปแบบนั้นไง แต่ก็ไม่ฟังกันเลย” 

 

 

“ถ้างั้นพี่ก็พูดอีกรอบสิ” 

 

 

“พูดแล้วจะได้อะไรขึ้นมา จะชวนให้เข้าไปในที่ราบสูงแห่งความเพ้อฝันทั้งอย่างนี้เหรอ บ้าไปแล้วเหรอ” 

 

 

“ถ้าไม่อยากก็ล้มเลิกไปซะตอนนี้แหละ ถึงอย่างนั้นพี่ซึงกูก็เชื่อฟังคำพูดของพี่อยู่แล้วนี่” 

 

 

“ไม่รู้ล่ะ ยังไงก็เถอะ ถ้าครั้งหน้ามีการติดต่อเข้ามาอีก เธอก็ปิดปากเงียบอยู่เฉยๆ เลยนะ อย่ากระโดดโลดเต้นไปทั่วเหมือนเมื่อวานล่ะ” 

 

 

โซราพูดตัดบทด้วยใบหน้าเหมือนบอกว่าจะไม่ฟังอะไรอีก จากนั้นจึงเลียริมฝีปาก 

 

 

“…” 

 

 

“…” 

 

 

และแล้วหญิงสาวทั้งสองคนก็ถอนหายใจออกมาอย่างพร้อมเพรียงกันราวกับนัดกันไว้ 

 

 

 

 

 

* * * 

 

 

 

 

 

ทิวทัศน์ของฮอลล์เพลน ไม่ว่ามองเมื่อไรก็มักจะทำให้อารมณ์ดี ธรรมชาติที่เห็นไม่ได้ในยุคปัจจุบันกำลังออกมาบิดขี้เกียจกัน อีกทั้งทิวทัศน์ที่ออกมาต้อนรับยามเช้าก็สงวนไว้ซึ่งความน่าอัศจรรย์ใจ 

 

 

ผมยื่นหัวออกมาเล็กน้อยแล้วหันไปมองด้านนอกโดยที่ยังฝังตัวไว้ในถุงนอน ทันใดนั้น สายตาของผมก็ปะทะเข้ากับที่ราบแห่งเสียงร่ำร้องรำพันซึ่งแผ่ขยายกว้างออกไป ความเปียกชื้นสัมผัสกับใบหน้าที่ปัดผ่านต้นหญ้า ทั่วทั้งที่ราบมีหมอกสีขาวมัวลงอยู่ และผิวด้านนอกของใบหญ้าทั้งหลายก็มีน้ำค้างเกาะพร้อมกับส่องแสงแพรวพราวอยู่เช่นกัน 

 

 

ฮี้… 

 

 

พอขยับตัวเล็กน้อยก็คงจะตื่น อะไรบางอย่างที่เคยนอนหลับอยู่ในอ้อมกอดของผมจึงส่งเสียงร้องออกมาเบาๆ พอเบนสายตาลงจึงเห็นลูกยูนิคอร์นซึ่งหายใจเข้าออกอย่างสม่ำเสมอและหลังขยับขึ้นลง เมื่อคืนตอนกำลังนอนอยู่หลังจากเฝ้ายามตอนกลางคืนเสร็จ เจ้าตัวร้ายก็แทรกเข้ามาด้านในถุงนอนของผม 

 

 

พอลูบหลังให้เบาๆ มันคงจะอารมณ์ดีจึงเริ่มส่ายหางสั้นๆ ไปทางซ้ายทีทางขวาที แต่พอเอามือออก หางของมันก็ลู่ลงอย่างไร้เรี่ยวแรง ถ้าลูบก็จะส่ายไปมาอีกครั้ง และถ้าเอามือออกก็จะลู่ลง เป็นแบบนี้ซ้ำๆ 

 

 

ฮี้ 

 

 

พอผมไม่ยอมลูบไปมากกว่านี้ มันก็เอี้ยวตัวเงยหน้าขึ้นมามองผมอย่างยากลำบาก พอมองท่าทางนั้น ริมฝีปากของผมจึงยิ้มบางๆ ออกมาโดยอัตโนมัติ ผมลูบหลังของลูกยูนิคอร์นอีกครั้งแล้วคิดทบทวนขั้นตอนจนกว่าจะถึงที่ราบแห่งเสียงร่ำร้องรำพันอย่างรอบคอบ 

 

 

พูดตามตรงว่าผมคิดว่าพวกยูนิคอร์นจะพาออกมาจากที่ราบสูงแห่งความเพ้อฝันเท่านั้น ไม่สิ ถ้าไปอย่างมากที่สุดก็น่าจะหยุดตอนที่ลงจากภูเขาแห่งความเพ้อคลั่ง แต่ความคิดแบบนั้นของผมกลับพลาดเป้าอย่างสุดขีด 

 

 

ถึงแม้ยูนิคอร์นจะลงมาจากภูเขาแห่งความเพ้อคลั่งแล้ว แต่ก็ยังคงเอื้อเฟื้อต่อด้วยการพาเดินผ่านป่าอันอุดมสมบูรณ์จนมาถึงที่ราบแห่งเสียงร่ำร้องรำพัน เพราะอย่างนั้น ถ้าจะบอกว่าร่นระยะเวลาในการกลับเมืองลงได้อย่างก้าวกระโดดก็เป็นการพูดซ้ำซากเสียเปล่าๆ 

 

 

การขี่ยูนิคอร์นเป็นประสบการณ์ที่มหัศจรรย์มากๆ ซึ่งผมเองก็ยังไม่เคยได้ลองทำ ถึงแม้จะให้ความรวดเร็วปานสายลมเป็นเรื่องรอง แต่ยิ่งกว่าอะไรทั้งหมด ผมทำได้เพียงอุทานออกมาด้วยความประทับใจกับความสามารถในการวิ่งฉลุยแม้แต่ในลักษณะภูมิประเทศอันโหดร้าย ราวกับว่ามันเป็นที่ราบเท่านั้น 

 

 

เด็กๆ บางคนคงไม่คุ้นเคยกับการขี่ม้าจึงกระวนกระวายใจออกมาเป็นช่วงๆ แต่พอผ่านไปหนึ่งวัน ความกังวลแบบนั้นจึงหายไปราวกับถูกล้าง ยิ่งกว่านั้น หลังจากลงมาจากเขาแล้ว ส่วนใหญ่จะเป็นลักษณะภูมิประเทศแบบพื้นเรียบ เพราะอย่างนั้นจะเรียกว่าเป็นความรู้สึกเหมือนกับนั่งรถดีไหมนะ 

 

 

ยูนิคอร์นทำให้รู้สึกถึงความสะดวกสบายในการขับขี่(?)ที่ดีที่สุดจนอยากจะมีสักตัวจริงๆ เจ้าพวกนี้เข้าใจและมีความสามารถในการหาจุดสมดุลพร้อมทั้งทำให้สบายได้ด้วย 

 

 

‘ลักพาตัวไปสักตัวจะได้ไหมนะ’ 

 

 

ผมรู้ว่าเป็นความคิดไร้สาระ แต่ยูนิคอร์นเป็นสัตว์ที่มีบุคลิกและลักษณะอันมีเสน่ห์ ผมระเบิดหัวเราะคิกคักออกมาแล้วจ้องมองลูกยูนิคอร์นที่กำลังหลับอยู่เงียบๆ 

 

 

มันดีขึ้นเยอะมากจากวันแรกที่เอาแต่ร้องไห้งอแง แต่เจ้าตัวนี้ยังคงไม่สามารถสลัดความเศร้าโศกทิ้งไปได้ ทั้งเด็กๆ ทั้งยูนิคอร์นตัวอื่นต่างก็ดูเหมือนเป็นห่วงมันมากๆ เพราะพออยู่เฉยๆ มันก็มักจะน้ำตาหยดติ๋งๆ ลงมา 

 

 

แต่เฉพาะตอนอยู่กับผมเท่านั้นที่จะแสดงให้เห็นท่าทียิ้มแย้ม แม้จะแค่บางครั้งก็ตาม พูดตามตรงว่าเรื่องนี้ก็เป็นสถานการณ์ที่ผมไม่เข้าใจ ยูนิคอร์นเป็นสัตว์ที่มักจะเลือกตามหญิงสาวบริสุทธิ์ แต่การที่มันมาตามผมที่ทั้งต่างเพศและไม่ใช่ทั้งหญิงบริสุทธิ์(?)ถึงขนาดนี้เป็นเรื่องที่น่าตื่นตาตื่นใจจริงๆ 

 

 

‘หรือว่าจะมีอะไรเกี่ยวข้องกับฮวาจองหรือเปล่านะ’ 

 

 

ถ้าดูจากที่ปฏิกิริยาตอบสนองของยูนิคอร์นตัวอื่นๆ รวมถึงจ่าฝูงเองก็ดูมีความเป็นมิตรขึ้นมาก ก็ไม่ได้อยู่เหนือความคาดหมายสักเท่าไร เพียงแค่ผมยังไม่ค่อยรู้เรื่องนี้อย่างละเอียดในตอนนี้ก็เท่านั้น ผมคิดจะลองหาข้อมูลดูตามลำพังทีหลังพร้อมกับเอาตัวลูกยูนิคอร์นเข้ามากอด จากนั้นจึงออกจากถุงนอนแล้วลุกขึ้นเดินผ่ากลางค่ายพักแรมไป 

 

 

ฮี้ ฮี้ 

 

 

อยู่ในถุงนอนอุ่นๆ แล้วออกมาข้างนอกก็เลยน่าจะหนาว ลูกยูนิคอร์นจึงกระดุ๊กกระดิ๊กไปมาแล้วมุดเข้ามาในอ้อมแขนของผมมากกว่าเดิม ผมลูบเจ้ายูนิคอร์นที่ทำท่าทางแบบนั้นอย่างอ่อนโยนแล้วจึงมองภาพผู้เล่นกับยูนิคอร์นที่อยู่ด้วยกัน 

 

 

พระอาทิตย์ลอยขึ้นมาอย่างเด่นชัดโดยไม่ทันตั้งตัว แสงที่สาดส่องลงมาจากท้องฟ้าจึงส่องมารวมกันอยู่ทั่วทั้งทุ่งหญ้า ถุงนอนที่วางเรียงรายกันกับยูนิคอร์นที่นอนอยู่รวมกันเป็นฝูง รวมถึงอันซลกับอียูจองที่นอนเอาหัวชนกันอย่างสนิทสนมด้วย 

 

 

ผมถอนหายใจเฮือกแล้วเดินเข้าไปใกล้พวกเธอมากขึ้น ทั้งสองคนกำลังนอนหลับสนิทจนถึงขึ้นส่งเสียงกรนออกมาด้วย 

 

 

 

 

 

“แค่นี้ก็พอแล้ว ขอบคุณที่พามานะ” 

 

 

ฮฮฮฮี้ 

 

 

พอปริปากพูดขึ้นโดยใส่ความเป็นมิตรลงไปเต็มๆ จ่าฝูงยูนิคอร์นก็ส่ายหน้าช้าๆ ท่าทางนั้นเหมือนกำลังบอกว่าไม่ใช่เลย พวกเรากลับต้องเป็นฝ่ายขอบคุณมากกว่า 

 

 

ในที่สุด พวกยูนิคอร์นก็พาพวกเรามาจนถึงชายที่ราบแห่งเสียงร่ำร้องรำพัน ตอนนี้แค่สองวันก็เพียงพอที่จะไปถึงโมนิก้าได้แล้ว 

 

 

เด็กๆ ดูท่าจะอยากอยู่ด้วยกันกับพวกยูนิคอร์นนานกว่านี้อีกหน่อย แต่เรื่องนี้คงยากสักหน่อย เพราะหากเข้าไปในปากทางเข้าที่ราบก็จะได้พบเจอกับพวกผู้เล่นคนอื่นๆ แล้ว 

 

 

มองอย่างไรก็มองได้ว่าตอนนี้เองก็เป็นสถานการณ์อันตรายสำหรับพวกยูนิคอร์นเหมือนกัน เพราะต่อให้บอกว่ามีกันยี่สิบตัวรวมถึงจ่าฝูงด้วย แต่ก็อาจจะถูกพวกคนหน้ามืดตามัวล่าได้ 

 

 

“ฮึก…” 

 

 

“ลาก่อนนะ” 

 

 

บอกลากันไปเรียบร้อยแล้วก็จริง แต่พวกเด็กๆ ทางด้านหลังทำท่าทีเสียดายออกมาอย่างไม่จบไม่สิ้น โดยเฉพาะอันฮยอน เขาจับคอของยูนิคอร์นเป็นครั้งสุดท้ายแล้วถูไถอย่างเอาจริงเอาจัง เพราะอย่างนั้นสุดท้ายก็เลยถูกมันเอาหางฟาดหน้า ยูนิคอร์นหน้าตาสวย(?)ที่อยู่ด้านหลังของจ่าฝูงยูนิคอร์นตรงหน้าผมทำท่าทีอารมณ์ไม่ดีออกมาอย่างต่อเนื่อง 

 

 

ผมมองท่าทีนั้นพร้อมกับยิ้มอย่างขมขื่น จากนั้นจึงพูดขึ้นกับลูกยูนิคอร์นซึ่งกำลังมองผมไม่หยุดตั้งแต่เมื่อครู่นี้อย่างอ่อนโยน 

 

 

“ทีนี้ถึงเวลาที่จะต้องแยกกันแล้ว นายเองก็สลัดความเศร้าทิ้งไปแล้วก็สู้เข้านะ” 

 

 

ฮี้…