องค์ชายวายร้ายอยากเป็นพ่อ บทที่ 638 ยังเป็นเรือนจวินจื่อที่สงบ
พระพันปีมองฉีเฟยอวิ๋นสักครู่หนึ่ง จากนั้นเรียกเธอเข้าไปดู ฉีเฟยอวิ๋นเลยขึ้นไป พระพันปีตบลงเบาๆตรงที่นั่งข้างกาย ตรัสกล่าวกับฉีเฟยอวิ๋นว่า“นั่งลงเถิด”
ฉีเฟยอวิ๋นเลยนั่งลงโดยมิได้เกรงใจ
อวิ๋นหลัวฉวนมาส่งฉีเฟนอวิ๋นแล้วจึงกลับไป
“เสด็จแม่ หม่อมฉันจะไปบอกข่าวดีกับหมู่เฟยทางด้านนั้น กราบทูลลาเพคะ”
“ไปเถิด เดินทางระมัดระวังตัวด้วย ตอนนี้ท้องของเจ้าเป็นเยี่ยงนี้แล้ว อวดหมู่เฟยของเจ้าให้ได้ชื่นชม ทุกครั้งที่เจอกันมักจะโอ้อวดประจำ คล้ายดั่งว่าผู้ใดไม่มีอย่างนั้นแล
เจ้าไปเถอะ”
พระพันปีกล่าวอย่างราบเรียบ อวิ๋นหลัวฉวนยิ้มสวยงามราวดอกไม้ กล่าวว่า“เพคะ”
“อาไห่ เจ้าไปส่งพระชายาตวน อย่าให้นางกล่าวว่าข้าไม่ให้ความสำคัญได้”
“กระหม่อมรับพระบัญชาพ่ะย่ะค่ะ”
อวิ๋นหลัวฉวนออกไป ไห่กงกงก็ได้เดินตามไปเช่นกัน
ด้านในพระตำหนักเฉาเฟิ่งไม่มีคน พระพันปีถึงได้กล่าวถามเรื่องการโจมตีเมืองอู๋โยว ฉีเฟยอวิ๋นหยิบยกมากล่าวพูดบางส่วน การจู่โจมง่ายมาก ทั้งหมดเพราะว่ากลุ่มกองกำลังทหารมีพละกำลัง หนานกงเย่ใช้กองกำลังทหารราวกับเทพ
แต่ทว่าเรื่องเสบียงอาหารกับตั๋วเงินสิ่งของมีค่าไม่ได้กล่าวพูด
พระพันปีฟังก็ไม่ได้มีเรื่องที่มีความหมายอะไร ขมวดคิ้วกล่าวตรัสกับฉีเฟยอวิ๋นว่า“พระมเหสีหวากล่าวว่า ในค่ายทหารมีผู้หนึ่งชื่ออันเสี่ยวฮวน แม่ทัพหวาชื่นชอบอย่างมาก การพูดคุยคือต้องการเอาเขามาเป็นลูกเขย
และยังบอกอีกว่าเป็นหมอทหารน้อย อยู่ระหว่างเส้นทางนี้ช่วยชีวิตคนไว้ไม่น้อย บอกว่านางมีความสามารถ และยังบอกว่านางดูแลจัดการแนวหลังได้อย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย เพื่อเลี่ยงความกังวลใจของกองกำลังทหาร
พระมเหสีหวาบอกว่า อันเสี่ยวฮวนผู้นี้มีความสามารถอัจฉริยะมาก ทหารแนวหลังสามารถไล่ตามทหารแนวหน้าทัน โดยไม่เสียเวลาล่าช้าแม้แต่หนึ่งชั่วยามเลย
ยังไม่เพียงเท่านี้ นางยังได้ไปถึงค่ายที่ตั้งไว้ก่อนด้วย โดยไม่รอให้กองกำลังทหารใหญ่มาถึง นางได้ถึงก่อน นางได้สั่งจัดการให้ทหารแนวหลังตั้งค่ายและจัดเตรียมอาหาร กองกำลังทหารใหญ่มาถึงก็สามารถกินข้าวพักผ่อนกัน มีเวลาเหลือเฟือ
ภายในครึ่งเดือน อ๋องเย่ได้โจมตีสิบกว่าคูเมือง นางคุณงามความดีเยอะมาก
ลูกน้องของนางได้รับการฝึกในมาอย่างดีเยี่ยม จากศัตรูหนึ่งร้อยคน ครั้งหนึ่งที่แม่ทัพน้อยถูกโจมตีโดยการดักซุ่ม คนของนางยังช่วยชีวิตเลย ทำให้แม่ทัพน้อยพ้นภัย
คนผู้นี้คือบุตรบุญธรรมของแม่ทัพฉี ใช้ชื่อหมอทหารอยู่ข้างกายอ๋องเย่เพื่อปกป้อง ใช้ชีวิตอยู่กินร่วมกันกับอ๋องเย่ อยู่ในกองทัพมีผลกระทบอย่างที่สุด”
พระพันปีกล่าวอย่างราบเรียบ ฉีเฟยอวิ๋นเริ่มเหงื่อแตกแล้ว เมืองต้าเหลียงไม่ต้องการพระชายาที่สังหารศัตรูตกอยู่ในวงล้อมของข้าศึก พระชายาเป็นหมอคนหนึ่งก็ฝืนใจแล้ว
วันนี้นางถูกกล่าวถึงจนกลายเป็นเช่นนี้ ควรจะทำอย่างไรดีหรือ?
ฉีเฟยอวิ๋นลุกขึ้นแล้วคุกเข่าลงหนึ่งข้าง กล่าวว่า“หม่อมฉันยอมรับผิดเพคะ”
“แค่สิ่งเหล่านี้หรือ?”พระพันปีกล่าวอย่างเรียบเฉย ปรากฎความเฉยชาออกมาด้วย
ฉีเฟยอวิ๋นคิด จากนั้นกล่าวว่า“ไม่มีแล้วเพคะ”
“นับว่าเจ้าฉลาด คำอธิบายหนึ่งก็ไม่มี ข้ารู้ เจ้ามีความสามารถของเจ้า แต่อ๋องเย่ไม่ต้องการมีพระชายาที่มีความสามารถ เจ้าเป็นพระชายาเย่ของเจ้า ตรวจโรคของเจ้าก็พอ
ต้นไม้ใหญ่เรียกลม คนโด่งดังเรียกความริษยา อยู่ที่ต้าเหลียงแห่งนี้ ยังไม่ใช่เวลาที่เจ้าจะมาแสดงความโดดเด่นของเจ้า
เรื่องของอันเสี่ยวฮวน ไม่สามารถยกมากล่าวพูดได้อีกแล้ว
แม่ทัพหวากลับมาจากการออกศึก ดูว่าพวกเขาพ่อลูกจะกราบทูลอย่างไรเถิด
พระมเหสีหวาได้ไปหาท่านพ่อเจ้าแล้ว เจ้ากลับไปถามดู
หวาชิงผู้นั้นเป็นคนแบบไหน ข้าก็เคยเห็น เรียกได้ว่าเป็นศิษย์ได้รับการอบรมรมสั่งสอนจากครู แต่เก่งกว่าครูซะอีก
พระมเหสีหวาก็ไม่จำเป็นที่จะต้องไม่ไว้หน้า เวลานั้นเจ้ารอฟังคำตัดสินจากโชคชะตาเถิด”
“หม่อมฉันเข้าใจแล้วเพคะ ขอบพระทัยที่เสด็จแม่รักและเมตตาเพคะ”
“เชอะ ข้าไม่ได้รักและเมตตาเจ้า ข้าแค่ไม่อยากเห็นเด็กๆนั่นได้รับความพัวพันเพราะเจ้า พอแล้ว ลุกขึ้นเถิด
ต่อไปไม่มีคนมิจำเป็นต้องคุกเข่า คนต้องมากมาย ข้าไม่ใช่ว่ามีแค่เจ้าจะต้องมาคุกเข่าให้ ข้าเหนื่อยแล้ว เจ้ากลับไปอาบน้ำผลัดเปลี่ยนชุดก่อน ไม่รู้ว่ามีกี่คนที่รอเจ้าที่จวนอ๋องเย่
เจ้ากลับไปแล้วก็พักผ่อน ถามเรื่องนี้กับแม่ทัพฉีให้ชัดเจน แล้วอุ้มเจ้าเด็กน้อยมากัน หลายวันแล้วที่ข้าไม่ได้พบเจอพวกเขา
สั่งให้ไห่กงกงไปแล้วบ่อยครั้ง ท่านพ่อของเจ้าถือทิฐิ มักกล่าวว่าเมืองหลวงไม่สงบ พูดอะไรนะว่าไม่สามารถยินยอมอุ้มพวกเขาเข้าวังมาให้ข้าดูได้
ข้าก็เป็นคนน่าสงสาร หลานของตนเองข้าอยากจะพบเจอเลยก็ไม่ใช่ว่าจะได้เจอเลย”
พระพันปีบ่นตัดพ้อ ฉีเฟยอวิ๋นเลยรีบกล่าวปลอบใจว่า“จะเป็นอย่างนั้นได้อย่างไรเพคะ ต้องเป็นท่านพ่อหม่อมฉันเลอะเทอะเป็นแน่ เสด็จแม่วางใจ หม่อมฉันจะไปสอบถามข่าว ถามให้ชัดเจนเรื่องที่พระมเหสีหวาถามเขา จากนั้นจะอุ้มลูกๆมาเจอเสด็จแม่เพคะ”
“ไปเถิด”
พระพันปีมีความสุขมาก หนึ่งคือคิดถึงหลานจริง กล่าวหาอย่างถึงอกถึงใจ ทำให้ฉีจือซานะสั่นสะเทือนที่อวดจนลืม
สองคือท่านอ๋องเย่สามีภรรยาได้รับคุณงามความดี นางที่เป็นพระพันปีรู้สึกเฉิดฉาย
ฉีเฟยอวิ๋นออกมาจากพระตำหนักเฉาเฟิ่งแล้วกลับจวนอ๋องเย่ หน้าประตูจวนอ๋องเย่หนาวเหน็บเป็นอย่างมาก นอกจากพ่อบ้านและอวิ๋นจิ่นที่รออยู่หน้าประตู นอกจากนั้นก็ไม่มีผู้ใดแล้ว
ฉีเฟยอวิ๋นลงมาจากรถม้าไม่เจอผู้ใดแล้ว
“พระชายา”พ่อบ้านเห็นฉีเฟยอวิ๋นได้ร่ำไห้น้ำหูน้ำตาไหลอาบก่อนเลย
ฉีเฟยอวิ๋นไม่มองก็ดีไป พอมองเห็นแล้วรู้สึกจิตใจห่อเหี่ยว รู้ว่าพวกเขาคิดถึงเธอ หากไม่รู้นี่คงคิดว่าอวิ๋นจิ่นกลั่นแกล้งแล้วล่ะ
“อย่าร้อง นี่ไม่ใช่ว่าข้ากลับมาแล้วหรือ?”ฉีเฟยอวิ๋นเดินไปกล่าวพูดด้านหน้า อวิ๋นจิ่นก็น้ำตาตก แต่นางรีบเช็ดออก ตามด้วยหันไปมองฉีเฟยอวิ๋นแล้วทำความเคารพ
“อวิ๋นจิ่นถวายบังคมนายท่านเพคะ”
“ลุกขึ้นเถิด ลำบากพวกเจ้าแล้ว เข้าไปกันเถอะ”
ฉีเฟยอวิ๋นสาวเท้าเดินเข้าไปด้านใน และตามด้วยพ่อบ้านกับอวิ๋นจิ่น
ระหว่างเดินอวิ๋นจิ่นกล่าวว่า“เพื่อที่จะหลีกเลี่ยงเรื่องวุ่นวาย คนที่รอต้อนรับพระชายาได้รอกันอยู่ที่ห้องโถงด้านหน้าเพคะ”
“อืม ปิดประตูเถิด”
ฉีเฟยอวิ๋นรู้ว่าอวิ๋นจิ่นเป็นคนที่เข้มงวด มีบางเรื่องที่เปิดเผยต่อสาธารณะไม่ได้
“ท่านพ่อล่ะ?”
“อยู่ดูแลเหล่าซื่อจื่อที่เรือนจวินจื่อเพคะ”
“เสี่ยวเฉียวกับอามู่ล่ะ?”ฉีเฟยอวิ๋นยังเป็นห่วงเด็กทั้งสองคนนั้น
“พวกเขาก็อยู่ที่เรือนจวินจื่อเพคะ แต่…….”
“อะไรหรือ?”
“เจ้าหอเฟิงก็อยู่ที่เรือนจวินจื่อเพคะ เขาถูกใจเสี่ยวเฉียวกับอามู่ อยากจะรับไว้เป็นลูกน้องเพคะ”
“ไม่มีทาง”
ฉีเฟยอวิ๋นกล่าวปฏิเสธ เด็กน้อยไม่ใช่สินค้า ใครอยากได้ก็ให้คนนั้นเลยนะหรือ?
อวิ๋นจิ่นกล่าวว่า“อวิ๋นจิ่นเดาไว้แล้วว่านายท่านไม่มีทางเอาเด็กน้อยให้เจ้าหอเฟิงหรอกเพคะ เพราะฉะนั้นเลยไม่ตกลง นิสัยของเจ้าหอเฟิงก็แปลกประหลาดนะเพคะ เขาคล้ายดั่งกังวลใจว่าเสี่ยวเฉียวกับอามู่จะหนี เพราะฉะนั้นเลยจ้องมองพวกเขาตลอดเลยเพคะ”
“อีกสักครู่ข้าจะไป อย่าทำให้พวกเสี่ยวเฉียวตกใจล่ะ ข้าจะไปที่ห้องโถงด้านหน้าก่อน”
“เพคะ”
ฉีเฟยอวิ๋นมาถึงห้องโถงด้านหน้า คนมากมายที่ห้องโถงด้านหน้าต่างรอ ฉีเฟยอวิ๋นเข้าไป ล้วนต่างเข้ามาเสวนากับเธอ แต่ล้วนไปคนในจวน
ฉีเฟยอวิ๋นมีความรู้สึกที่เหมือนไม่เคยเจอหน้า ล้วนเป็นคนภายในจวน เหตุใดถึงเป็นเช่นนี้?
กล่าวทักทายแล้ว ทุกคนต่างแยกย้าย ฉีเฟยอวิ๋นเลยกลับไปที่เรือนจวินจื่อ
ยังคงเป็นคนเรือนจวินจื่อ โฮว่เซิงผ่าฟืนเหมือนเดิม แม่เฒ่าโฮ่วพ่อเฒ่าโฮ่วมองโฮ่วเซิง แล้วทำความสะอาดเรือนด้วย
ส่วนคนอื่นๆ ทำงานอื่น ยุ่งอยู่กับงานแต่ละคน
ฉีเฟยอวิ๋นเข้าไปในเรือน หวังฮวายอันก็กระแอมไอเดินออกมาจากด้านใน ทั้งกระแอมไอทั้งกำหมัดเดินออกมา ฉีเฟยอวิ๋นชะงักงัน จากนั้นได้ถอนสายบัวกล่าวว่า“เสี่ยวกั๋วจิ้ว”
หวังฮวายอันหลุบตาขึ้นมอง พิจารณาอย่างละเอียดสักครู่หนึ่ง ถึงได้กระแอมไอต่อ จากนั้นกล่าวว่า“กลับมาแล้วหรือ?”
“กั๋วจิ้วสุขภาพร่างกายยังดีอยู่หรือไม่?”
“โชคยังดี ยังไม่ตาย!”
พอขึ้นมาก็กล่าวพูดจาเหน็บแนม ฉีเฟยอวิ๋นค่อนข้างรู้สึกแปลกใจ ใครทำเขาไม่พอใจหรือนี่?
“กั๋วจิ้ว ข้าจะตรวจดูให้ท่าน”
ฉีเฟยอวิ๋นรู้สึกก่อกวนใจ เขาหน้าแข้งกระด้าง เธอยังพยายามเอื้อมมือออกไป จับที่ข้อมือของหวังฮวายอัน
ไม่ดูก็ดี ดูเสร็จแล้วถึงกับชะงักงัน!