บทที่ 585 เที่ยวอัลลินในหนึ่งวัน

Throne of Magical Arcana ศึกบัลลังก์เวทอาร์คานา

บทที่ 585 เที่ยวอัลลินในหนึ่งวัน
หลังตัดสายจากนาตาซา ลูเซียนกลับไม่ได้ทำความสะอาดห้องของเขากับห้องทดลองเพื่อรับรองการมาเยี่ยมเยือนของ ‘ฝ่าบาท’ เหมือนอย่างที่สุภาพบุรุษทั่วไปจะทำกัน เพราะแค่ลีโอ ผู้รับใช้ของเขา กับโกเลมและผู้อารักขาหอคอยก็เพียงพอจะทำให้หอคอยสะอาดสะอ้านและเรียบร้อยทุกซอกมุมแล้ว

อีกอย่างคือ ลูเซียนเป็นคนเจ้าระเบียบมากอยู่แล้ว เขาเก็บสิ่งของสำหรับการทดลองทุกอย่างตามแบบของเขาเอง เผื่อจะเกิดข้อผิดพลาดขึ้นในระหว่างการทดลอง

ลูเซียนเพ่งสมาธิไปที่เครื่องรางมงกุฎสุริยัน ช่วงสองสามวันที่ผ่านมา เขาได้ทะลวงผ่านสองปราการสุดท้ายและทำให้มันกลายเป็นอุปกรณ์เวทมนตร์ระดับเก้าแล้ว

ปราการสุดท้ายชั้นที่สองนั้นทำให้ลูเซียนสามารถแสดงพลังศักดิ์สิทธิ์ระดับเก้าที่มีชื่อว่า ‘หายนะของผีดิบ’ ได้เท่านั้น แต่ปราการสุดท้ายนี้กลับมีระยะพิกัดของดินแดนลี้ลับที่มัสเคลินย์บันทึกเอาไว้อยู่

ดินแดนลี้ลับนี้อยู่ภายในโลกแห่งวิญญาณและดูเหมือนว่าจะมีความเกี่ยวข้องกับปีศาจระดับสูง เป็นไปได้ว่าความลับที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของโลกแห่งวิญญาณที่ไรน์พูดถึงอาจซุกซ่อนอยู่ภายในนั้น

ข้อมูลที่มัสเคลินย์ทิ้งไว้นั้นยังรวมถึงตัวแปรมากกว่าสิบตัวที่เกี่ยวโยงกับสถานการณ์เฉพาะ มีเพียงตอนที่เขาได้รับข้อมูลเกี่ยวกับสภาวะแวดล้อมภายในโลกแห่งวิญญาณเท่านั้นที่เขาจะสามารถคำนวณถึงระยะพิกัดของดินแดนลี้ลับที่เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลาได้

‘ตอนนี้ข้าคือนักเวทชั้นตำนานแล้ว การเข้าไปสำรวจหาความลับของโลกแห่งวิญญาณและช่วยเหลือท่านมัสเคลินย์ควรจะจัดไว้ในกำหนดการของข้าเสียที’ หากไม่มีมัสเคลินย์และของขวัญจากเขา ลูเซียนคงจะตายไปแล้วระหว่างเดินทางไปยังเมืองสเติร์ก นอกจากนี้ จอมเวททุกคนที่มีเป้าหมายในการสำรวจโลกย่อมอยากไปเยือนโลกแห่งวิญญาณไม่ช้าก็เร็ว

แน่นอนว่าลูเซียนไม่คิดจะเข้าไปในเร็ววันนี้ เขาต้องรอจนกว่าจะประทับสัญลักษณ์เวทมนตร์ชั้นตำนานทั้งหกลงบนดวงจิตให้ได้เสียก่อนและเข้าไปที่นั่นพร้อมกับนักเวทคนอื่นๆ จากสภาเวทมนตร์ แบบนั้นจะปลอดภัยกว่า

‘ข้าจะทำเรื่องขอตรวจดูข่าวกรองภายในสองสามวันนี้ ใบอนุญาตของข้าน่าจะเพียงพอสำหรับการขอตรวจดูข้อมูลจากปีศาจระดับสูงอย่างอะดอล…’ ลูเซียนเริ่มศึกษา ‘เวทคทาอวกาศ’ และวิเคราะห์ ‘เวทเพ่งพยาบาท’ หลังจากตัดสินใจได้

เช้าวันต่อมา ลูเซียนยืนรออยู่ด้านนอกห้องสมุดของแฮททาเวย์บนชั้นสามสิบสามของหอคอยอัลลิน

ไม่นาน กาล-อวกาศก็แผ่กระเพื่อมออกมา แล้วลูเซียนก็ได้กลิ่นบางอย่างที่แสนคุ้นเคย

ประตูเปิดออกอย่างไร้ซุ่มเสียง แล้วสตรีร่างสูงโปร่งก็ก้าวออกมา นาตาซาอยู่ในชุดสูทล่าสัตว์สีขาวกับกางเกงขายาว ซึ่งเข้ากันกับบรรยากาศรอบกายนางและการแต่งตัวเช่นนี้ยิ่งทำให้นางดูน่าหลงใหล

ขณะจ้องสบตากับลูเซียน นาตาซาก็ยกมือขวาขึ้นทาบอกแล้วค้อมกายลง “ท่านมหาจอมเวท ท่านคือสัจธรรมแห่งธาตุและเสาหลักแห่งการควบคุมกาลและอวกาศ”

“ท่านหญิง ท่านคือความจริงแท้ของข้า” ลูเซียนพยายามจะเล่นมุกตลกแม้ว่าเขาจะค่อนข้างรู้สึกเสียใจที่ทำเช่นนั้นก็ตาม บัดนี้เขาตัวสูงขึ้นมากแล้ว แต่เขาก็ยังเตี้ยกว่านาตาซาหลายเซนติเมตร ต้องขอบคุณที่ตอนนี้มันเห็นไม่ชัดเจนนัก

นาตาซายืนอยู่ข้างกายลูเซียนด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม พลางกวาดสายตาสำรวจหอคอยอัลลิน “ที่นี่งดงามกว่าที่ข้าจำได้เสียอีก มันเรียบง่ายทว่างดงาม ลวดลายลึกลับทั้งหลายกับแสงสีเงินเป็นประกายทำให้ดูชวนฝันจริงๆ”

“หอคอยอัลลินสร้างความประทับใจสุดพรรณนาให้แก่นักเวทหรือนักเวทฝึกหัดทุกคนหลังจากได้มาเยี่ยมเยือนที่นี่ ฝ่าบาท อัศวินของพระองค์จะพาเสด็จไปยังสถาบันอะตอมก่อนนะพะยะค่ะ” ลูเซียนยื่นมือขวาออกมาเป็นการเชื้อเชิญ

นาตาซาหัวเราะ “ที่แห่งนี้คือบริเวณต้องห้ามแสนลึกลับที่ชนชั้นสูงกับสามัญชนทุกคนต่างพูดถึง ความลับลึกล้ำที่สุดของโลกดูเหมือนจะถูกเก็บซ่อนไว้ที่นี่”

ภายใต้การนำเสนอของ ‘เสียงแห่งอาร์คานา’ ประชาชนทั่วไปค่อนข้างกลัวเกรงสถาบันอะตอมที่ค้นพบสิ่งสำคัญมากมาย

เมื่อตอนนี้หาได้มีแรงกดดันหรือภัยอันตรายใดๆ นาตาซาจึงค่อนข้างโล่งใจและคอยถามถึงทุกสิ่งทุกอย่างที่มองเห็น

บทสนทนาและเสียงหัวเราะของทั้งสองดึงดูดความสนใจจากเฮลเลน นางถึงกับปิดประตูออกมา ก่อนจะถามด้วยคิ้วที่ขมวดมุ่น “นี่คือ…”

นาตาซามิได้มีเหรียญตราเวทมนตร์หรืออาร์คานาประดับอยู่บนอก

“นางคือนาตาซา คู่หมั้นของข้า และราชินีแห่งโฮล์มขอรับ ท่านคงจะเคยพบกับนางมาก่อนแล้วใช่หรือไม่ขอรับ ท่านเฮลเลน” ลูเซียนแนะนำ แม้จะดูเหมือนว่าเฮลเลนจะไม่รู้จักนาตาซาก็ตาม

นาตาซาเองก็เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงอ่อนน้อม “ท่านเฮลเลน ข้าเคยได้ยินเรื่องราวเกี่ยวกับท่านมากมายจากท่านยายแฮททาเวย์ ท่านคือหนึ่งในท่านหญิงที่น่าชื่นชมที่สุดสำหรับข้าเจ้าค่ะ”

คิ้วของเฮลเลนคลายปมออกจากกัน “อ้อ เจ้าคือนาตาซานี่เอง ข้าเคยเห็นรูปเจ้าและได้ยินชื่อเจ้ามาก่อน แต่ข้าไม่เคยคิดเชื่อมโยงทั้งสองอย่างเข้าด้วยกันเลย”

ลูเซียนพยายามกลั้นหัวเราะอย่างที่สุด เห็นได้ชัดว่านี่หาใช่สิ่งที่เฮลเลนให้ความสนใจ

เมื่อตัวตนของแขกผู้มาเยือนได้รับการยืนยัน เฮลเลนก็ปิดประตูห้องสมุดของตนโดยไม่พูดคุยทักทายอะไรอีกและกลับไปจดจ่อกับโลกส่วนตัวของนาง

“ท่านหญิงเฮลเลนมีใบหน้าที่งดงามอ่อนช้อยที่สุดจากสตรีทั้งหมดที่ข้าเคยรู้จักมาเลย” เมื่อทั้งสองก้าวเข้ามาในลิฟต์ นาตาซาก็เอ่ยชื่นชมด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม

ริมฝีปากลูเซียนกระตุกยิก “เหตุใดเจ้าถึงสนใจเรื่องหน้าตาของนางกัน…”

“แล้วเจ้าว่าข้าควรจะสนใจเรื่องอะไรเล่า” นาตาซารู้สึกว่ามันเป็นเรื่องสมเหตุสมผลดี แต่แล้วนางก็พลันตระหนักได้ว่าเกิดอะไรขึ้น “วางใจเถิด ข้าเป็นคนซื่อสัตย์มากๆ ข้าไม่ได้มีความคิดอื่นเลยตอนชื่นชมของสวยๆ งามๆ”

ลูเซียนเอื้อมมือไปแตะเส้นผมด้านหลังหมวกอัศวินของนาตาซาโดยไม่พูดอะไร สิ่งที่เขาจำต้องกังวลนั้นแตกต่างจากผู้ชายทั่วไปเสียจริง

นาตาซาชี้ไปทางเลขชั้นสามสิบเอ็ดตรงมุมลิฟต์ “สถานีวิทยุสกายอยู่ชั้นนี้มิใช่หรือ ข้าชอบเสียงของไนติงเกลกับลาร์คนะ พวกนางหน้าตาเป็นเช่นไรหรือ”

นาตาซาเคยถามคำถามคล้ายคลึงกันนี้เมื่อไม่กี่ปีก่อน แต่ลูเซียนกลับตอบด้วยคำอ้างมากมาย ด้วยเกรงว่าเขาจะมีคู่แข่งเพิ่มขึ้นกว่าเดิม ก็เมื่อก่อนเขามิได้มีคุณสมบัติใดที่จะไปดึงดูดความสนใจจากเคาน์เตสไวโอเล็ตนี่นะ

“พวกนางไม่อยู่ที่สถานีช่วงกลางวันหรอก” ลูเซียนอธิบาย

“น่าเสียดายจริงๆ แต่คืนนี้ข้ายังอยู่ในอัลลินนี่ เจ้าพาข้ามาเที่ยวชมสถานีวิทยุสกายได้ไหม” นาตาซาถามด้วยความสนใจอย่างยิ่งยวด

ในเมื่อตอนนี้ทั้งสองตกลงปลงใจกันแล้ว ลูเซียนจึงไม่มีความกังวลเหมือนเมื่อก่อนอีก เขาแย้มยิ้ม “ไม่มีปัญหา ข้ายังคงเป็นผู้จัดการของสถานีวิทยุสกายในนามอยู่”

ภายในสถาบันอะตอม ลาซาร์ ไฮดี้ อัลฟาเลีย และคนอื่นๆ ต่างเฝ้ารอด้วยความตื่นเต้นและตกประหม่า พวกเขาเคยเห็นภาพของพระราชินีในหนังสือพิมพ์ แต่ไม่เคยพบเจอตัวจริงเลยสักครา และนี่ยังเป็นสัญญาณที่แสดงว่าลูเซียน อีวานส์ ได้สละชีวิตโสดแล้วอย่างเป็นทางการ

ท่ามกลางบรรยากาศแห่งการรอคอย ฉับพลันนั้นประตูของสถาบันก็เปิดออก แล้วไฮดี้ก็เห็นอาจารย์ของตนเดินเข้ามาเคียงข้างสตรีผมสีม่วง

“งดงามยิ่งนัก…”

“อะไรจะงดงามเช่นนี้!”

“ไม่แปลกใจเลยที่อาจารย์เราจะตกหลุมรักพระองค์”

“ทั้งสองคนดูเหมาะสมกันจริงๆ”

นาตาซาเชื่อว่านางมีความงามแบบแกร่งกล้าเข้มแข็งที่ทำให้นางแตกต่างจากเหล่านักเวทหญิง และรูปลักษณ์นางก็ทำให้บรรดาสตรีในที่นั้นต้องลอบกลืนน้ำลาย

หลังจากที่ลูเซียนกระแอมไอ คาทรินากับลูกศิษย์คนอื่นๆ ก็ได้สติและรีบค้อมกายทำความเคารพ “อรุณสวัสดิ์ อาจารย์ อรุณสวัสดิ์ ฝ่าบาท”

อัลฟาเลียกับโลวี่ทาบมือบนอกและหน้าผากตนเอง “ท่านมหาจอมเวท ท่านคือสัจธรรมแห่งธาตุและเสาหลักแห่งการควบคุมกาลและอวกาศ อรุณสวัสดิ์ ฝ่าบาท”

หลังจากนั้น ลูเซียนก็แนะนำสหายของเขาอย่างลาซาร์และเจโรม กับบรรดาลูกศิษย์อย่างแอนนิคและเลย์เรียให้นาตาซาได้ทำความรู้จักทีละคนๆ

เมื่อผู้ช่วยทั้งหลายจากไป ไฮดี้ก็รวบรวมความกล้าถามออกไป “ฝ่าบาทเพคะ ความสัมพันธ์ระหว่างพระองค์กับอาจารย์ของเราเริ่มต้นขึ้นได้อย่างไรหรือเพคะ นักเวททุกคนในอัลลินอยากรู้เรื่องนี้มากๆ เลยเพคะ!”

“แค่บอกว่าเจ้าอยากรู้ก็พอแล้วล่ะ สาวน้อยน่ารัก” นาตาซามองไปทางไฮดี้ด้วยรอยยิ้มกรุ้มกริ่ม “สรุปสั้นๆ ก็คือ ข้าจับอาจารย์เจ้ากด”

ไฮดี้กับเลย์เรียยกนิ้วโป้งให้ น่าเกรงขามยิ่ง! ความตรงไปตรงมาดูจะเป็นวิธีการที่ดีที่สุดในการจัดการผู้ชายนุ่มนิ่มอย่างอาจารย์ของพวกตนแล้ว!

“ดูเหมือนพวกเจ้าจะค่อนข้างว่างกันนะวันนี้” ลูเซียนขัดจังหวะ “ข้าจะเพิ่มงานให้อีกอย่างแล้วกัน เจ้าไปศึกษากลไกการทำงานของวงแหวนเวทช่วยคำนวณก็ได้”

ไฮดี้มีสีหน้าย่ำแย่ลงโดยพลัน เห็นได้ชัดว่าอาจารย์ของพวกตนเอาความอับอายไปลงที่งาน

“หากเจ้าอยากรู้รายละเอียด ไว้ข้าจะเล่าให้ฟังทีหลังนะ” นาตาซาตามลูเซียนเข้าไปในห้องทดลองด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม

……

หลังจากที่นางเข้ามาในห้องทดลอง นาตาซาก็เห็นเครื่องใช้กลไกหน้าตาเรียบง่าย ดูเยียบเย็น และมีเหลี่ยมมุมชัดเจนมากมายภายในนั้น รวมถึงลวดลายที่ยากเกินจะบรรยายได้บนโต๊ะทำการทดลอง มีนสร้างความตื่นตะลึงมิรู้คลาย

“มันไม่เหมือนกับห้องทดลองของแม่ข้าเลยสักนิด มันดูมี… ความงามของพื้นที่มากกว่า” แม้จะยังตกตะลึง แต่นาตาซาก็พยายามถ่ายทอดความรู้สึกออกมา

“นั่นแหละคือเสน่ห์ของอาร์คานาและเวทมนตร์ มานี่สิ ลองใช้เครื่องไซโคลตรอนดู” ลูเซียนอยากให้นาตาซาเห็นงานวิจัยของเขา

หลังจากเปิดเครื่องไซโคลตรอน นาตาซาก็เห็นร่องรอยชวนฝันของอิเล็กตรอนในห้องหมอก นางอุทานด้วยความประหลาดใจ “พวกมันคืออิเล็กตรอนจิ๋วใช่หรือไม่”

ลูเซียนกำลังจะตอบ แต่แล้วจู่ๆ ส่วนที่เป็นตัวส่งแรงดันไฟฟ้าของเครื่องไซโคลตรอนก็พังลง

“ไม่ใช่ความผิดของข้านะ…” นาตาซาไม่คิดว่านางจะทำผิดพลาดอะไรในตอนที่เปิดใช้งาน

ลูเซียนตรวจดูเครื่อง “มันสึกกร่อนตามปกติน่ะ มานี่เถอะ ลองใช้วงแหวนเวทขยายใหญ่ดูสิ”

ครู่ถัดมา นาตาซาก็พูดอีกครั้งด้วยน้ำเสียงใสซื่อ “นี่ก็ไม่ใช่ความผิดของข้านะ”

“แน่นอน มันสึกกร่อนตามปกติเหมือนกัน…”

หลังจากลูเซียนพานาตาซาเดินชมเสร็จ เครื่องใช้กลไกสามอย่างกับวงแหวนเวทอีกสองแห่งก็ชำรุดเสียหาย แม้ว่าพวกมันจะพังไปไม่ถึงหนึ่งเปอร์เซ็นต์ แต่มันก็ยังถือเป็นการสึกกร่อนที่เกิดขึ้นในรอบเกือบหนึ่งเดือนอยู่ดี

“บางทีพวกมันอาจกลัวข้ากระมัง” ขณะยกมือขึ้นเกาปลายคาง นาตาซาก็มองหาข้อแก้ตัวให้กับเหตุการณ์แปลกประหลาดนี้

ลูเซียนเอ่ยตอบอย่างขบขัน “อีกไม่นาน เจ้าคงจะได้รับฉายาว่า ‘นักทำลายเครื่องมือการทดลอง’ เป็นแน่”

“ต้องเป็นเพราะวันนี้ข้าโชคไม่ดีแน่ๆ เลย!” นาตาซาประกาศกร้าวอย่างหนักแน่น

ลูเซียนพานาตาซาไปเยี่ยมชมใจกลางเมืองอัลลินและกลับไปที่หอคอยเวทมนตร์ของเขาตอนเที่ยงวัน

“นี่มันแปลกประหลาดแต่มหัศจรรย์ยิ่งกว่าสถาบันอะตอมเสียอีก… ออกแบบได้ดี” นาตาซาต้องตกตะลึงอีกครั้งกับ ‘บาเบล’ ของลูเซียน

“ยินดีที่ได้พบท่านขอรับ นายหญิง” ‘พินอคคิโอ’ เอ่ยทักทาย

นาตาซาหันมามองลูเซียนด้วยความสนใจในความเฉลียวฉลาดของชีวินรสายนเวท ก่อนจะถามว่า “เจ้าไม่ได้สอนเขาใช่ไหม”

“เปล่าเลย” ลูเซียนลอบยกนิ้วโป้งให้กับพินอคคิโอ

พินอคคิโอตอบกลับอย่างภาคภูมิใจ “ข้าคือพินอคคิโอผู้ชาญฉลาด!”

“ข้าจำได้ว่าพินอคคิโอคือหุ่นกระบอกที่จมูกจะยืดยาวออกมาหากพูดโกหกในนิทานเรื่องเล่าของเจ้านี่นา” นาตาซาหัวเราะขัน “มันคืออุปลักษณ์ว่าเจ้าหลอกลวงผู้คนมานักต่อนักเช่นนั้นหรือ”

พินอคคิโอกล่าวเสียงดัง “ไม่ใช่ขอรับ ข้าไม่ใช่หุ่นกระบอกจอมโกหก ข้าคือพินอคคิโอผู้ซื่อตรง ใช่ขอรับ ซื่อตรงสุดๆ!”

ลูเซียนดึงตัวนาตาซาให้เข้ามาในหอคอยเวทมนตร์ด้วยใบหน้าเปี่ยมรอยยิ้มและหยุดนางจากการหยอกล้อพินอคคิโอเล่นอีก

หลังจากเยี่ยมชมทั่วทั้งหอคอยและสวนเวทมนตร์ ทั้งสองก็กลับมายังห้องนั่งเล่นและรอกินมื้อเที่ยง

ในตอนที่ลูเซียนกำลังจะยกประเด็นเรื่องโรงเรียนกับกฎหมายขึ้นมาหารือกับนาตาซา จู่ๆ นาตาซาก็ผุดลุกขึ้นเดินไปปิดประตูห้องนั่งเล่น ก่อนที่นางจะหันมามองลูเซียนด้วยรอยยิ้มซุกซน

“มีอะไรหรือ” ลูเซียนถามด้วยความมึนงง

นาตาซายังคงแย้มยิ้มกว้าง “ข้ามีข่าวดีเรื่องหนึ่งจะบอกเจ้า หลังจากที่ล่วงรู้กฎเกณฑ์ต่างๆ ภายในดาบแห่งสัจธรรม ข้าก็เลื่อนขึ้นมาเป็นอัศวินขั้นที่เก้าแล้ว ในที่สุดข้าก็กลับมาล้ำหน้าเจ้าอีกครั้ง”

ด้วยเกิดและเติบโตมาอย่างอัศวิน นางจึงมีความสุขอย่างยิ่งที่ระดับพลังของนางสูงกว่าอีกฝ่ายในยามนี้ นางรู้ดีว่าลูเซียนที่โลกแห่งปัญญารวมตัวเป็นปึกแผ่นกึ่งหนึ่งแล้วย่อมก้าวข้ามนางไปในท้ายที่สุด นางจึงตัดสินใจใช้เวลาในช่วงหลายปีนี้ ขณะที่นางยังมี ‘อำนาจ’ ให้คุ้มค่าที่สุด”

นางถูหมัดทั้งสองข้างไปมาด้วยท่าทางกระตือรือร้น “ข้าจะกอดเจ้าแบบเดียวกับที่เจ้าทำกับข้า! ข้าจะเพลิดเพลินไปกับมัน!”

ขณะพูด นางก็หยั่งเชิงอารมณ์ของลูเซียนอย่างระมัดระวัง นางจะล้มเลิกสิ่งที่ทำอยู่หากเขาไม่ชอบที่นางเป็นฝ่ายรุกเร้าจนเกินไป มันคือหลักการพื้นฐานในความสัมพันธ์ของทั้งสอง

ลูเซียนดีใจกับพัฒนาการของนาตาซาในตอนแรก แต่แล้วเขากลับยืนนิ่งอยู่กับที่ด้วยใบหน้าเปี่ยมรอยยิ้ม

เมื่อเห็นว่าลูเซียนไม่ปฏิเสธ นาตาซาก็จงใจเดินเข้าไปหาลูเซียนช้าๆ พลางยื่นมือทั้งสองข้างออกมาพร้อมกับส่งเสียงหัวเราะอย่างชั่วร้าย

ในฉับพลันนั้นเอง นาตาซาก็ตระหนักว่าลูเซียนดูน่าเกรงขามราวกับเสาต้นสูงใหญ่ที่หยั่งรากลึกลงไปในดินและไม่สามารถทำให้เคลื่อนที่ได้ จากนั้นนางก็สัมผัสได้ถึงแรงกำลังขนานใหญ่บนแผ่นหลังและขาทั้งสองข้าง ก่อนที่นางจะถูกกวาดล้มลงอย่างไม่อาจต้านทานได้

นาตาซาสะบัดแขนขาไปมาอย่างบ้าคลั่ง พยายามจะปลดปล่อยตนเองเป็นอิสระ แต่อ้อมแขนของเขากลับเป็นเหมือนโซ่ตรวนที่มิอาจทำลายได้

“เจ้าเลื่อนขั้นขึ้นสู่ชั้นตำนานแล้วหรือ”

นาตาซาได้สติกลับคืนมาแล้วถามอย่างเหลือเชื่อขณะเบิกตาโพลง นางทั้งปลื้มปิติและตื่นตระหนก ทั้งหวาดเกรงและหัวเสีย

มื้อค่ำนำมาจัดล่าช้ากว่ากำหนด ลูเซียนมองนาตาซาที่ดูเหน็ดเหนื่อยผิดปกติ ก่อนจะกล่าวอย่างอารมณ์ดียิ่ง “ข้าจะปล่อยให้เจ้ารับผิดชอบเรื่องข้อกำหนดของโรงงานแปรธาตุนะ”

นาตาซาหน้าแดง พร้อมกับที่ความดื้อรั้นลุกโชนอยู่ภายในกาย นางสาบานว่าจะพยายามให้หนักเพื่อเป็นบุคคลชั้นตำนานบ้าง!

นางพยักหน้า “ข้าจะบอกให้ดยุกเจมส์เสนอญัตตินี้ในรัฐสภา จริงสิ หน่วยข่าวกรองบอกว่าพวกช่างฝีมือคนแคระเคารพบูชาพระเจ้าแห่งไอน้ำผู้ลึกลับ เหตุใดข้าจึงรู้สึกว่ามันมีบางอย่างเกี่ยวข้องกับเจ้ากันนะ”

……………………………….