ตอนที่ 1787 งานแลกเปลี่ยนแดนทมิฬ

A Record of a Mortal s Journey to Immortality คัมภีร์วิถีเซียน

ไห่ต้าเซ่าและพวกได้ยินคำนี้ แม้ว่าจะผิดหวังไปเล็กน้อย แต่ก็ไม่กล้าไม่ฟังคำสั่งของหานลี่ ทันใดนั้นก็ตกปากรับคำ

หานลี่พาทั้งสองคนออกจากตำหนัก ตรงไปยังแท่นเขตอาคมส่งตัว

ไห่ต้าเซ่าและชี่หลิงจื่ออยู่ในเขตอาคม หานลี่สำแดงแผ่นป้ายสีเงินออกมา โบกสะบัดสองครั้ง

เขตอาคมเปล่งแสงสีเงินสว่างวาบ พาทั้งสองมาส่งที่ชั้นหนึ่ง

จากนั้นหานลี่เองถึงได้ก้าวเข้าไปในเขตอาคมอย่างไม่รีบร้อน

ลำแสงเปล่งแสงสว่างวาบขึ้นอีกครั้ง เงาร่างของเขาสลายหายไป

……

หลังจากผ่านไปเป็นเวลาหนึ่งถ้วยน้ำชา หานลี่ก็อยู่ภายในวังอันวิจิตรตระการตาที่ดูเหมือนสร้างขึ้นจากปะการังสีแดง กำลังพูดคุยกับนักพรตชราที่โอบกอดหญิงงามอยู่

นักพรตผู้นี้มีปลายจมูกดุจจะงอยปากนกอินทรี แววตาเคร่งขรึม ม้วนผมสีขาวเป็นมวยสามเหลี่ยม สวมชุดนักพรตสีเทาลายหัวกะโหลกขาวที่ดูสมจริง มีจำนวนมากกว่าสิบแปดกะโหลก

ส่วนสาวใช้หน้าตางดงามที่นั่งอยู่ในอ้อมกอดของนักพรตชรา ไม่เพียงจะร่างกายอวบอัด ผิวเกลี้ยงเกลาดุจหยก สวมผ้าโปร่งสีขาวบางเบา ทิ้งเรือนร่างกว่าครึ่งไว้ในอ้อมอกของนักพรตชรา เผยออกมาเพียงดวงหน้างดงามดวงนั้น กำลังฟังนักพรตชราและหานลี่พูดคุยกันพร้อมหัวเราะคิกคัก

สองฝั่งของตำหนักไกลออกไปหน่อยมีหญิงสาวหน้าตางดงามสวมผ้าโปร่งบางหลากสีสันเช่นกันอีกเจ็ดแปดคน ทุกคนล้วนยืนประสานมือเข้าด้วยกัน

นักพรตชราย่อมเป็นเจ้าของๆ ที่นี่ อรหันต์ว่านกู่ปรมาจารย์ของสำนักกระดูกขาว

ไม่ว่าหญิงสาวในอ้อมอก หรือเป็นหญิงสาวที่เหลือทั้งสองฝั่ง ล้วนเป็นสาวใช้ในนามของเขา ทว่าหญิงสาวในอ้อมอกไม่ว่าหน้าตาหรือคารมก็เหนือกว่าหญิงสาวคนอื่นๆ เห็นได้ชัดว่าเป็นผู้ที่นักพรตชรารักใคร่เอ็นดู

หานลี่พูดคุยเรื่องราวในแดนป่าเถื่อนกับอีกฝ่ายไปพลาง ขบคิดข่าวลือเกี่ยวกับอรหันต์ว่านกู่ไปพลาง

ได้ยินว่าอรหันต์ว่านกู่ไม่เพียงจะฝึกฝนเคล็ดวิชาทางสายมาร และยิ่งไปกว่านั้นยังเจ้าชู้ประตูดินสุดๆ ชอบเคล็ดวิชาเติมเต็ม แทบจะเสวยสุขกับสตรีทุกคืน ยามนี้ดูแล้วคงจะเป็นจริงกว่าครึ่ง

“หึๆ คิดไม่ถึงว่าสหายหานจะอ่อนเยาว์เช่นนี้ ได้ยินว่ามีอิทธิฤทธิ์มากมาย ตอนนั้นยามที่ตาเฒ่าเพิ่งบรรลุระดับผสานอินทรีย์ขั้นต้น ก็ไปหาประสบการณ์แค่ในละแวกเผ่ามนุษย์แล้วกลับมาเท่านั้น ยามนี้อายุขนาดนี้ยิ่งไม่มีความคิดจะออกจากเผ่ามนุษย์” นักพรตชราส่งเสียงจุ๊ๆ ออกมา แล้วถอนหายใจเฮือกหนึ่งขณะเอ่ย

“พี่ว่านกู่ล้อเล่นแล้ว สาเหตุที่ข้าอยู่ที่แดนรกร้างนาน ก็เพราะความบังเอิญที่หลีกเลี่ยงมิได้ ตามความตั้งใจเดิมของผู้แซ่หาน ไม่มีทางกล้าออกจากเผ่าของเราแน่ นี่เป็นเพราะข้าน้อยดวงดี แทบจะจะเดินทางไปครึ่งทวีป แต่ก็โชคดีกลับมาได้อย่างปลอดภัย” หานลี่เอ่ยพร้อมกับหัวเราะน้อยๆ ออกมา

“ฮ่าๆ เช่นนั้นสหายเห็นตนเองโชคดี และยิ่งไปกว่านั้นสหายยังโชคดีอย่างต่อเนื่องในการเดินทางครั้งนี้ ทะลวงระดับขั้นพลังยุทธ์อย่างต่อเนื่อง หลังจากกลับมาในเผ่าก็ทะลวงระดับผสานอินทรีย์สำเร็จได้อย่างง่ายดาย อาตมาไม่แน่ใจ แต่ในระยะเวลาสองสามหมื่นปีคงไม่มีใครรวดเร็วได้เท่าสหายแน่ ตอนนั้นที่ผู้แซ่ว่านทะลวงจุดคอขวดระดับผสานอินทรีย์ ก็ใช้เวลาไปตั้งหลายพันปีถึงได้โชคดีทำสำเร็จ คงไม่อาจเทียบกับสหายหานได้ จากคุณสมบัติและอายุของสหาย ไม่แน่ว่าอาจจะมีโอกาสทะลวงระดับมหายาน” นักพรตชราใบหน้าประดับไปด้วยรอยยิ้ม คาดไม่ถึงว่าคำพูดจะแฝงเจตนาเยินยอเอาไว้

“ผู้แซ่หานจะกล้าคิดถึงเรื่องมหายานได้อย่างไร ขอแค่ผ่านเคราะห์สวรรค์สองสามครั้งไปได้ ก็พอใจมากแล้ว” หานลี่ย่อมถ่อมตนเป็นอย่างยิ่ง

“นั่นมันก็ใช่! ระดับมหายานสำหรับพวกเราแล้ว เป็นเหมือนการตกจันทราในแม่น้ำ เผ่ามนุษย์ของพวกเราก่อตั้งมาตั้งหลายปี ยังมีสิ่งมีชีวิตระดับมหายานแค่สิบกว่าคน แม้กระทั่งมีช่วงเวลาที่ไม่มีสิ่งมีชีวิตระดับมหายาน จนเกือบจะทำให้ทั้งเผ่าตกอยู่ในอันตรายต้องล่มสลาย”  อรหันต์ว่านกู่ดูเหมือนว่าจะนึกเชื่อมโยงอันใดได้ แล้วเอ่ยอย่างซาบซึ้งใจ

ครั้งนี้หานลี่ไม่ตอบ แค่ฉีกยิ้มไม่พูดจา เรื่องที่เกี่ยวข้องกับหายนะของเผ่ามนุษย์ เขาเคยได้ยินมาบ้างจริงๆ

ครั้งนี้ดูเหมือนจะถูกชนต่างเผ่าสองสามเผ่าร่วมมือกันโจมตี หากไม่ใช่เพราะเผ่าปีศาจในยามนั้นเป็นช่วงเวลาที่แข็งแกร่งที่สุด มีสิ่งมีชีวิตระดับมหายานสองคน และยิ่งไปกว่านั้นยังรู้ว่าหากอาศัยแค่พลังของเผ่าปีศาจย่อมไม่อาจยืนหยัดอยู่ในแดนวิญญาณนานได้ จึงมาดึงเผ่ามนุษย์เป็นพวก

เผ่ามนุษย์ในยามนั้นก็อาจจะล่มสลายไปจริงๆ

“สหายหานเพิ่งบรรลุระดับผสานอินทรีย์ก็เข้ามาเข้าร่วมงานหมื่นสมบัติ จะต้องซื้อของไม่น้อยสินะ” สีหน้ายินดีของอรหันต์ว่านกู่หายวับไปอย่างรวดเร็ว แล้วเปลี่ยนหัวข้อบทสนทนา

“ข้าน้อยต้องการวัตถุดิบในการปรุงยา หวังว่าจะได้ประโยชน์ในครั้งนี้ ถึงอย่างไรเสียก็มีเพียงยามนี้ วัตถุดิบหายากที่ที่ปกติหาไม่ได้ ถึงจะมาปรากฏที่นี่” หานลี่พยักหน้า ไม่ได้มีเจตนาปฏิเสธ

“หากเป็นเช่นนั้นล่ะก็ อาตมามีข้อเสนอแนะ สหายหานจะฟังหรือไม่!” นักพรตชราเอ่ยพร้อมกับฉีกยิ้ม

“อ๋อ อรหันต์พูดมาเถิด!” หานลี่รู้สึกประหลาดใจไปเล็กน้อย

“พวกเจ้าออกไปก่อนเถิด” อรหันต์ว่านกู่ไม่ได้เอ่ยกับหานลี่ทันที กลับให้สาวใช้ในอ้อมกอดออกไป และโบกมือให้หญิงสาวคนอื่นๆ

หญิงสาวเหล่านี้ย่อมตอบรับคำสั่งอย่างเชื่อฟัง แล้วคารวะพวกหานลี่พลางทยอยกันถอยออกไปจากตำหนัก

ชั่วพริบตาในตำหนักก็เหลือเพียงหานลี่และพวกสองคน

ยามนี้นักพรตชราถึงได้เอ่ยกับหานลี่ด้วยสีหน้าเคร่งขรึม

“สหายหานน่าจะเพิ่งเข้าร่วมงานหมื่นสมบัติด้วยฐานะผู้บำเพ็ญเพียรระดับผสานอินทรีย์เป็นครั้งแรก ไม่ทราบว่าเคยได้ยิน ‘งานแลกเปลี่ยนแดนทมิฬ’ หรือไม่!”

“งานแลกเปลี่ยนแดนทมิฬ! ผู้แซ่หานเพิ่งเคยได้ยินเป็นครั้งแรก หรือว่าเป็นงานประมูลของย่านร้านค้าหรือร้านค้าลับๆ” หานลี่ได้ยินพลันแววตาเปล่งประกาย ไม่ได้เผยสีหน้าประหลาดใจอันใดมากออกมา

งานชุมนุมหมื่นสมบัตินี้หากไม่มีงานแลกเปลี่ยนส่วนตัวเล็กๆ ก็คงเป็นเรื่องแปลก

“หึๆ ดูแล้วแม้ว่าพี่หานจะเพิ่งเคยได้ยิน แต่ก็คาดเดาสิ่งนี้ได้ตั้งนานแล้วสินะ สำหรับผู้บำเพ็ญเพียรระดับผสานอินทรีย์อย่างพวกเรา สินค้าปกติย่อมเข้าตาได้ยาก แม้ว่างานประมูลหมื่นสมบัติ ก็ไม่อาจพอใจทั้งหมดได้ สหายมากมายแม้ว่าจะมีสมบัติสำคัญติดตัว แต่ก็ไม่ยอมเอาออกมาแลกเปลี่ยนกับศิลาวิญญาณ แค่อยากแลกกับของที่ตนต้องการ และยังมีสหายบางคนแม้ว่าในมือจะมีของดีขนาดไหน แต่เมื่อประวัติความเป็นมาไม่แน่ชัด ก็ไม่ยอมเอาออกมาประมูล นอกจากนี้สมบัติบางอย่างยังล้ำค่าเกินไป ต่อให้พวกเราผู้บำเพ็ญเพียรระดับผสานอินทรีย์ได้ไป ก็กลัวว่าจะถูกขโมย นำหายนะมาสู่ตัว ดังนั้นจึงไม่รู้ว่าจะเริ่มจากที่ใด ในงานหมื่นสมบัติครั้งก่อนก็มีการจัดงานแลกเปลี่ยนส่วนตัวเล็กๆ ขึ้นพร้อมกันสองสามแห่ง ทว่างานแลกเปลี่ยนแดนทมิฬ กลับลึกลับที่สุด จัดขึ้นโดยผู้บำเพ็ญเพียรลึกลับ มีไว้สำหรับผู้บำเพ็ญเพียรระดับผสานอินทรีย์โดยเฉพาะ ปกติแล้วสิ่งมีชีวิตระดับผสานอินทรีย์ที่เข้าร่วมงานหมื่นสมบัติ จะเข้าร่วมงานนี้แทบทุกคน”

เสียงของนักพรตชราหยุดชะงัก หลังจากมองสีหน้าตื่นเต้นดีใจของหานลี่ ทันใดนั้นก็เอ่ยด้วยรอยยิ้มออกมา

“ผู้บำเพ็ญเพียรลับเหล่านี้มีประวัติความเป็นมาพิเศษ อิทธิฤทธิ์เกรียงไกร แม้กระทั่งเคยสังหารผู้บำเพ็ญเพียรระดับผสานอินทรีย์ขั้นกลางภายในงานแลกเปลี่ยนครั้งหนึ่ง ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมางานแลกเปลี่ยนแดนทมิฬก็ไม่มีผู้ใดกล้าล่วงเกินผู้จัดงานอีก ดังนั้นผู้เข้าร่วมงานแลกเปลี่ยนแดนทมิฬจึงปลอดภัยมาก ส่วนการแลกเปลี่ยนก็มีแค่ใช้ของแลกของ จะจัดงานแค่ครั้งเดียวและยิ่งไปกว่านั้นจะต้องจบภายในวันเดียว ผู้เข้าร่วมจะไม่ถูกถามฐานะประวัติความเป็นมา เช่นนั้นแต่สำหรับผู้บำเพ็ญเพียรระดับผสานอินทรีย์อย่างพวกเราต่อให้เหมาะสมมากแค่ไหน การเข้าร่วมงานชุมนุมนั้น นอกจากระดับผสานอินทรีย์อย่างพวกเรา ก็มีผู้ที่มีสมบัติล้ำค่า และสามารถพกสมบัติเข้าร่วมได้ แน่นอนว่าสมบัติธรรมดาย่อมไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าร่วม ภายในเผ่าปีศาจก็มีคนเข้าร่วมเช่นกัน ดังนั้นในงานชุมนุมก็จะมีวัตถุดิบอสูรปีศาจที่เป็นข้อต้องห้ามของเขตต้องห้ามและวิธีปกติย่อมไม่อาจซื้อไข่ของอสูรวิญญาณได้ แม้กระทั่งสตรีเผ่าปีศาจแปลงกายก็นำออกมาประมูล จุ๊ๆ โดยเฉพาะสตรีเผ่าจิ้งจอกสวรรค์ ล้วนเป็นเตาหลอมในการฝึกคู่บำเพ็ญเพียรที่ล้ำเลิศ ไม่รู้ว่ามีชาวเผ่ามนุษย์ตั้งเท่าไหร่ที่สนใจ แน่นอนว่าหากเปลี่ยนเป็นหญิงสาวเผ่าปีศาจเหล่านี้ จะต้องถูกเก็บเอาไว้ในห้องทองของถ้ำพำนัก มิเช่นนั้นต้องให้เจ็ดราชาปีศาจทราบแล้ว หึๆ…แน่นอน หญิงสาวที่มีคุณสมบัติล้ำเลิศเหล่านี้ก็เป็นคนของเผ่ามนุษย์เช่นกันจึงนำออกมาแลกเปลี่ยนได้ คนของเผ่าปีศาจก็สนใจเช่นกัน”

เมื่อฟังมาถึงตรงนี้หานลี่ย่อมเข้าใจสิ่งที่เรียกว่างานแลกเปลี่ยนแดนทมิฬแล้ว ความจริงแล้วก็ไม่แตกต่างอันใดกับงานแลกเปลี่ยนใต้ดินยามที่อยู่ต้าจิ้นในแดนมนุษย์ แต่แค่ผู้ที่เข้าร่วมต้องเป็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับผสานอินทรีย์ขึ้นไป มูลค่าสิ่งของในการแลกเปลี่ยนจึงไม่อาจเทียบกันได้

ในเวลาเดียวกันเมื่อได้ยินคำพูดของนักพรตชรา เขาก็รู้ตกตะลึงในใจ

ผู้บำเพ็ญเพียรจากเผ่ามนุษย์และเผ่าปีศาจห้ามขโมยของอีกฝ่าย การเป็นเตาหลอมและสาวใช้ ก็เป็นหนึ่งในข้อห้ามในการเซ็นสัญญาร่วมกัน

แม้ว่าจะผ่านมาเนิ่นนานเพียงนี้ กฎนี้ก็ไม่ค่อยมีคนพูดถึงนัก แต่หากถูกจับได้ ก็คงยุ่งยากมาก

ด้วยเหตุนี้ผู้บำเพ็ญเพียรลึกลับที่ก่อตั้งงานแลกเปลี่ยนแดนทมิฬจึงกล้าหาญไม่น้อยจริงๆ

แต่ยิ่งเป็นเช่นนี้ของที่ปกติไม่อาจพบเห็นได้ ก็ยิ่งมาปรากฏตัวในงานแลกเปลี่ยนลับๆ แห่งนี้

ทว่าสิ่งที่ทำให้เขาสนใจที่สุดก็คือ แน่นอนว่าเป็นวัตถุดิบอสูรปีศาจเหล่านั้น

หานลี่อดที่จะใจเต้นระรัวไม่ได้

“ได้ยินอรหันต์กล่าวเช่นนี้ ข้าน้อยก็สนใจจริงๆ ไม่ทราบว่างานแลกเปลี่ยนนี้อยู่ที่ใด จะจัดขึ้นเมื่อไหร่”

“สถานที่ในการจัดงานแลกเปลี่ยนแดนทมิฬย่อมเป็นสถานที่ลึกลับของแดนทมิฬ ทว่าแดนทมิฬไม่ใช่สถานที่แน่นอน แต่เป็นห้วงมิติเวลาที่เคลื่อนย้ายตนเองโดยตลอด เช่นนี้จึงเห็นได้ถึงอิทธิฤทธิ์ของผู้ก่อตั้งแล้ว ส่วนเวลาถึงยามนั้นเหล่าผู้ก่อตั้งจะมีวิธีบอกผู้บำเพ็ญเพียรที่อยากเข้าร่วมอย่างพวกเราและวิธีการเข้าร่วมเอง จากที่ข้ารู้วิธีที่ผู้บำเพ็ญเพียรทั้งหมดเข้าไปนั้นไม่เหมือนกัน อาตมาเคยเข้าร่วมงานมาสองสามครั้งแล้ว ก็พอจะมีหนทางที่จะทราบข่าวล่วงหน้าได้ หากสหายอยากไปจริงๆ ถึงยามนั้นอาตมาจะพาสหายไปด้วยกันก็แล้วกัน” อรหันต์ว่านกู่เอ่ยด้วยรอยยิ้ม

“เช่นนั้นข้าน้อยต้องขอบคุณอรหันต์แล้ว” หานลี่ครุ่นคิดเล็กน้อย แล้วตอบรับพร้อมกับเผยรอยยิ้มออกมาเช่นกัน