DND.883 – ขายหมดเกลี้ยง
กงซุนหวูซื่อส่ายหน้าสีหน้านางเยือกเย็นราวน้ำแข็ง
“ไม่จำเป็นหรอก”
“ข้าก็แค่ไม่ทำตามข้อตกลงกับเขาก็ได้…”
แม่นางหลิงพูดอย่างไม่เต็มใจ
“ท่านป้าท่านสาบานกับเขาไปแล้ว หากล้มเลิก ท่านย่อมรับผลที่ตามมา ท่านกำลังจะก้าวข้ามขั้นถัดไป อย่าทำให้เรื่องนี้มากีดขวางอนาคตข้างหน้า ข้าแค่โกรธเพราะข้าตกใจ ท่านอย่ากังวลไปเลย…”
กงซุนหวูซื่อส่ายหน้านางดูไม่ใช่เด็กซนอีกต่อไป นางดูเหมือนสตรีที่เป็นผู้ใหญ่แล้วเสียมากกว่า
แม่นางหลิงตกใจจากนั้นก็ถอนหายใจเบาๆ
“เจ้ายังใจดีเกินไปเหมือนเดิมไม่มีใครบนโลกนี้ที่สูงส่งเทียบเท่าเจ้านอกจากองค์ชายทั้งเก้าเขต แต่วันนี้ไอ้แก่นั่นกลับล่วงเกินเจ้า!”
กงซุนหวูซื่อหัวเราะดูถูกตนเอง
“สูงส่งรึ?ต่อให้ข้าสูงส่งเช่นนั้น แต่ข้ากลับต้องทำตามคำสั่งท่านพ่อแล้วแต่งงานกับคนที่ข้าไม่รู้จักด้วยซ้ำสินะ?”
แม่นางหลิงเงียบไปนานก่อนจะถอนหายใจเบาๆ
“ผาบั่นภูติเป็นเช่นนี้ถ้าเจ้าอยากเป็นอิสระจากชะตา เจ้าจะต้องเป็นอสูรเนรมิตรให้ได้”
กงซุนหวูซื่อพยักหน้านางกำหมัดแน่น
…
เสี่ยวเหยาถอนหายใจด้วยควมโล่งอก…ถ้าต้องต่อสู้จริงๆข้าอาจจะทำอะไรแม่นางหลิงไม่ได้!
จากนั้นเขาก็หันไปมองซือหยูข้อสงสัยมากมายเอ่อล้นในใจ…ชายผู้นี้คือซือหยูเซี่ยนจริงหรือ?
ไม่ว่าจะมองอย่างไรเขาก็ดูไม่เหมือนบุรุษหลักแหลมที่คนของเขาอธิบายไว้ก่อนหน้า เขาคิด…ใยเขาถึงดูเหมือนเด็กบริสุทธิ์ไร้เดียงสาเช่นนี้เล่า?
ขณะที่เขาครุ่นคิดเขาก็หันไปมองท้องฟ้าด้วยความตกใจ มีจ้าวเทวะหลายคนหันไปมองที่นั่น พวกเขาเห็นศรพลังชีวิตพุ่งจากท้องฟ้าตรงไปยังซือหยู
แหวนมิติถูกห้อยไว้ที่ปลายศรยอดฝีมือหลายคนเริ่มบินไปหามัน
เสี่ยวเหยาพูดอย่างเยือกเย็น
“ใครบังอาจขยับกัน?”
เมื่อได้ยินคำขู่ยอดฝีมือหลายคนหยุดนิ่ง มีเพียงคนเดียวที่สวมชุดดำและพุ่งเข้าไป
แน่นอนว่าเขาคือหูหวังกุย
“สิ่งที่ไม่มีเจ้าของใครจะได้ไปก็ย่อมได้! เจ้าสั่งให้พวกเราทิ้งมันให้เจ้าได้อย่างไร?”
เสี่ยวเหยาแววตาเยือกเย็นเขารีบไล่ตามหูหวังกุยอย่างรวดเร็ว แต่เขาก็ช้ากว่าหูหวังกุยเล็กน้อย หูหวังกุยกำลังจะคล้าแหวนมิติที่ปลายศรได้แล้ว!
แต่ก็มีหมอกสีชมพูปรากฏรอบศรพลังจากนั้นก็มีมือข้างหนึ่งยื่นออกจากหมอกไปหว้าแหวนเอาไว้!
หูหวังกุยตกใจและโกน
“ยักย้ายมิติ!”
นี่คือพลังพิเศษที่อสูรเนรมิตรทุกคนเชี่ยวชาญ
“หึหึ!”
เสียงหัวเราะเบาๆดังมาจากหมอกสีชมพูชายคนหนึ่งเดินออกมาจากหมอก เขาคือซือหยู!
หูหวังกุยเบิกตากว้าง
“นี่เจ้า!”
เขาใจสั่นเมื่อครู่ก่อน ซือหยูยังอยู่บนพื้น แต่เขากลับก้าวพริบตาออกมาถึงตรงนี้! หูหวังกุยสายตาเยือกเย็นลง เขาไม่พอใจเพราะเขามิอาจล้างแค้นได้ แม้ว่าตอนนี้เขาจะมิอาจสังหารซือหยู เขาก็กำลังคิดหาวิธีที่จะทำร้ายซือหยูให้สาหัส!
“ถ้าเจ้าอยากจะทำอะไรเขาเจ้าก็ต้องคิดดูก่อนว่าข้าอนุญาตหรือไม่”
เวลาเมื่อครู่ทำให้เสี่ยวเหยามีเวลามากพอที่จะตามทันและเข้ามาขวางระหว่างทั้งสอง
หูหวังกุยขมวดคิ้วเขาถอนหายใจแรงและทิ้งระยะเพิ่มขึ้นไปเพื่อป้องกันตัวจากเสี่ยวเหยา เพราะเสี่ยวเหยากับหูหวังกุยเป็นจ้าวเทวะระดับห้าเหมือนกัน ยากที่จะป้องกันตัวจากการลอบโจมตีจากแต่ละฝ่าย
ยอดฝีมือที่ไล่ล่ากันมานั้นเสียดายมากถ้าหากทั้งสองต่อสู้กัน พวกเขาจะใช้ความวุ่นวายจากการต่อสู้ขโมยแหวนมิติวงนั้นไป แต่พวกเขาก็รู้ว่าตอนนี้มิอาจบุ่มบ่ามทำอะไรได้
จ้าวเทวะหลายคนจากตำหนักโลหิตบินเข้ามาล้อมซือหยูและปกป้องเขาเสี่ยวเหยามองหูหวังกุยอย่างเยือกเย็นก่อนจะหันไปมองแหวนมิติในมือซือหยู
“นักปรุงยาผู้นั้นส่งมางั้นหรือ?”….ไอลีนโนเวล
ซือหยูพยักหน้าและหยิบขวดวารีผงกลั่นดวงใจออกมาจากแหวนมันเปล่งแสงสีคราวกระจ่างให้ความรู้สึกลึกลับ มันคือโอสถที่ถูกฟื้นคืนจากยุคโบราณและกำลังจะเปลี่ยนชะตาของทวีปจิวโจว!
เสี่ยวเหยาใจเต้นแรงจนเกือบหลุดออกจากอกอยู่นานก่อนจะใจเย็นลงได้ดูเหมือนว่าซือหยูจะไม่ได้โกหกพวกเขา มีผู้อาวุโสที่เตรียมวารีผงกลั่นดวงใจให้เขาอยู่จริง! นั่นหมายความว่าการค้าโอสถของตำหนักโลหิตจะถูกช่วยเหลือเอาไว้ได้ พวกเขาจะมีความก้าวหน้าในอนาคต!
เหย่ายอดฝีมือมีความรู้สึกปะปนกันไปพวกเขาดีใจที่โอสถจะถูกขายจริงตามที่ซือหยูกล่าวเอาไว้ล่วงหน้า แต่พวกเขาก็รู้สึกไม่ดีนักที่มิอาจโอสถได้และต้องเสียแก้วเพื่อซื้อมัน
แต่ก็มียอดฝีมืออีกหลายคนที่ตระหนักได้ว่ามิอาจขโมยได้พวกเขารีบพุ่งทะยานไปยังจุดที่ศรถูกยิงมา หูหวังกุยเองเป็นคนนำหน้าที่สุด เขาอยากจะพูดคุยกับผู้อาวุโสที่ปรุงยาและทำให้เขาเข้าร่วมกับเขตกลางให้ได้
เสี่ยวเหยาตกใจและสั่งให้คนของเขาไปที่นั่นทันทีแต่เมื่อพวกเขาไปถึงก็ไม่พบสิ่งใดนอกจากรังสีพลังอ่อนๆ คนผู้แผลงศรได้จากไปนานแล้ว!
ซือหยูจึงกลับมายังร้านตงหลินที่ที่เขาจะได้ปิดประตูฝึกตนรอบๆร้านถูกปกป้องโดยจ้าวเทวะตำหนักโลหิตอยู่แล้ว ไม่มีใครกล้าจะเข้ามาก่อความวุ่นวาย เมื่อถึงเวลานี้ พวกเขาก็ทำได้แค่รอให้ซือหยูเริ่มขายวารีผงกลั่นดวงใจเท่านั้น
หลังจากซือหยูเข้ามาที่ห้องหมอกสีชมพูได้ปรากฏทั่วร่าง เขาเปลี่ยนจากรูปลักษณ์ของซือหยูเป็นกิเลนน้อยน่ารัก ปากของมันคาบแหวนมิติและกระโดดเข้าอ้อมกอดของชายในห้อง ชายในห้องก็คือซือหยูตัวจริง!
“ขอบคุณเจ้ามาก…”
ซือหยูรับแหวนมิติและลูบหัวกิเลนน้อยถ้าหากไม่มีกิเลนน้อยช่วยดึงคนอื่นออกไป ซือหยูก็มิอาจเลี่ยงที่จะเปิดเผยตัวตนที่แท้จริงได้
“ผู้หญิงสองคนนั้น…แย่!”
กิเลนน้อยยังไม่ลืมสีหน้าโกรธเกรี้ยวของกงซุนหวูซื่อและแม่นางหลิง
ซือหยูสับสนเขาคิดว่ากิเลนน้อยคงจะเจอปัญหามากมายที่นั่น เขาจึงปลอบมันสักพักหนึ่ง จากนั้นกิเลนน้อยก็กลับไปยังมุกวิญญาณเก้าหยกด้วยรอยยิ้มและหลอมไผ่เงินกล้วยไม้สวรรค์ต่อไป
“หยิงหลวนฉิงหลิว เข้ามา”
ซือหยูเรียกทั้งสอง
ทั้งสองกำลังรอฟังคำสั่งจากเขาอยู่แล้วแต่ก่อนจะได้เข้าห้องไปเจอซือหยู ทั้งคู่ต้องผ่านจ้าวเทวะสองคนที่ยืนคุ้มกันอยู่ก่อน ทั้งคู่ตัวสั่นด้วยความกลัว
พวกเขาไม่รู้เลยว่าตั้งแต่เมื่อใดที่ร้านตงหลินเริ่มถูกรายล้อมไปด้วยยอดฝีมือที่แข็งแกร่งมากมายแต่ละครั้งที่พวกเขาออกไปข้างนอก พวกเขาก็หวาดกลัวจากยอดฝีมือของตำหนักโลหิตที่มาปกป้อง ทั้งสองรู้ในภายหลังว่าเจ้าของร้านซือได้โอสถโบราณมา นั่นทำให้ชื่อเสียงของร้านตงหลินดังไปทั่วเมือง
ร้านตงหลินในตอนนี้เป็นจุดรวมความสนใจจากทั้งเมืองแม้แต่ลูกจ้างอย่างพวกเขาก็ตกเป็นเป้าหมายจากคนที่คิดร้าย ทั้งสองที่ยังเด็กรู้สึกกระวนกระวายในใจอยู่ตลอด
หลังจากได้รับอนุญาตทั้งสองก็ได้เข้าไปเจอเจ้าของร้านที่ไม่ได้พบมานาน
“เจ้าของร้านซือท่านไม่ต้องการพวกเราอีกแล้วใช่หรือไม่?”
หยิงหลวนถาม
ซือหยูส่ายหน้าและยิ้มอย่างนุ่มนวล
“เจ้ามิได้ทิ้งร้านตงหลินในยามยากใยข้าต้องไล่พวกเจ้าออกไปตอนนี้ด้วยเล่า?”
ต่อให้ไม่มีใครคิดจะขายโอสถให้ร้านตงหลินทั้งสองก็มิได้หนีหายไปไหน ซือหยูย่อมไม่ทำให้ทั้งคู่ผิดหวัง
“ข้าเรียกพวกเจ้าเพราะมีสองเรื่องให้ทำ…”
ซือหยูหยิบแหวนมิติโยนให้กับหยิงหลวน
เขาพูด
“ในแหวนมีโอสถอยู่สิบเก้าขวดข้าอยากให้พวกเจ้าวางมันบนชั้นและขายมัน ถ้ามีคนมาแย่งกันซื้อ โอสถจะขายให้คนที่ให้ราคาสูงสุด ข้าไม่ต้องช่วยพวกเจ้าในเรื่องนี้ใช่ไหม?”
ทั้งสองส่ายหน้าพวกเขาย่อมทำงานธรรมดาๆอย่างการขายโอสถได้อยู่แล้ว นอกเหนือจากนั้น ถึงทั้งสองจะมีพลังน้อย ร้านก็ถูกปกป้องโดยจ้าวเทวะของตำหนักโลหิตอยู่หลายคน ไม่มีใครกล้าขโมยสิ่งใดไปแน่
ซือหยูพูดต่อ
“อีกเรื่องคือเหล่านายหน้าค้าโอสถที่เสี่ยงมาขายโอสถให้ข้าตอนที่ร้านตงหลินถูกขึ้นบัญชีดำพวกเจ้าได้บันทึกเอาไว้หรือไม่?”
หยิงหลวนพยักหน้าและหยิบสมุดบัญชีออกมาจากกระเป๋าและส่งให้ซือหยูด้วยความเขินอาย
ซือหยูพลิกสมุดและพบชื่อนายหน้าทุกคนเขาพยักหน้า
“ไปเชิญนายหน้าเหล่านั้นมาตามลำดับที่เจ้าเขียนไว้ข้ามีเรื่องที่จะประกาศกับพวกเขาในอีกห้าวัน”
ทั้งสองโค้งคำนับให้ซือหยูและออกไปทำตามคำสั่งทันที
การขายวารีผงกลั่นดวงใจในเวลานี้ได้กลายเป็นการต่อสู้อันบ้าคลั่งหยิงหลวนกับฉิงหลิวที่มีพลังในขอบเขตมังกรทั้งหวาดกลัวและดีใจที่ได้เจอภูติมากมายแย่งกันซื้อโอสถอย่างบ้าคลั่ง
โดยเฉพาะเมื่อทั้งสองได้เห็นยอดฝีมือที่ไม่แม้แต่จะเห็นพวกเขาในสายตาในอดีตต่างอ้อนวอนให้ทั้งสองขายโอสถให้มันคือความรู้สึกอันมิอาจอธิบายของความสำเร็จในชีวิตสูงสุดของทั้งสอง
แต่ทั้งสองก็ทำตามคำสั่งของซือหยูอย่างเคร่งครัดและขายโอสถทั้งสิบเก้าขวดให้กับคนที่ให้ราคาสูงสุดถึงจะมีคนที่ไม่พอใจอยู่บ้าง มันก็ทำให้ทั้งสองได้ทำประโยชน์ต่อยอดฝีมือที่มีอำนาจมากกว่า
ในไม่ถึงห้านาทีวารีผงกลั่นดวงใจทั้งสิบเก้าขวดถูกขายหมดเกลี้ยง เมื่อหยิงหลวนกับฉิงหลิวประกาศว่าขายทั้งหมดไปแล้ว เสียงอันโศกเศร้าจากเหล่าผู้มารอซื้อก็ดังไม่ขาดสาย
ยอดฝีมือหลายคนเริ่มเชื่อข่าวลือที่แพร่กระจายพวกเขาเริ่มถามว่ายังมีโอสถขายอีกหรือไม่ แม้ฉิงหลิวกับหยิงหลวนจะใช้เวลาแค่ห้านาทีในการขายโอสถ ทั้งสองก็ต้องตอบคำถามของเหล่าภูติไปครึ่งวัน
เมื่อตะวันตกดินทั้งสองจึงมีเวลาไปรายงานเรื่องการขายกับซือหยูด้วยความตื่นเต้น ทั้งสองขายโอสถสิบเก้าขวดไป ขวดที่ถูกที่สุดถูกขายในราคาแก้วสามพันดวง และราคาสูงสุดมากถึงขวดละแปดพันดวง! พวกเขาได้ยอดขายทั้งหมดเป็นหนึ่งแสน!
จากนั้นก็มีผู้ที่ต้องการซื้อมาที่ร้านตงหลินอีกแต่พวกเขาก็ใจสลายเมื่อพบว่าซือหยูกำลังปิดประตูฝึกตน
ซือหยูพูดอย่างเรียบเฉย
“ข้าจะคืนแก้วแปดหมื่นดวงให้ผู้ปรุงยาส่วนอีกสองหมื่นเป็นของร้านเรา”
เมื่อวารีผงกลั่นดวงใจเป็นของยอดฝีมืออื่นนั่นก็สมเหตุสมผลที่คนผู้นั้นจะได้กำไรส่วนมากไป
สายตาของเหล่าจ้าวเทวะที่ปกป้องซือหยูเขียวจากความริษยาพวกเขาไม่อยากจะเชื่อว่าซือหยูสามารถทำเงินแสนได้อย่างง่ายดาย! มันเร็วยิ่งกว่าการออกปล้นเสียอีก!
ส่วนเรื่องการแบ่งกำไรพวกเขาทำได้แต่มองดูอย่างสิ้นหวังว่าซือหยูจะทำอย่างไร เพราะซือหยูคือเจ้าของร้านตงหลิน เป็นเรื่องของเขาอยู่แล้วว่าจะตัดสินใจเช่นใจออกมา
หลังจากเก็บแก้วแปดหมื่นดวงไปซือหยูเข้าสู่การบ่มเพาะพลังต่อ เขาดื่มวารีผงกลั่นดวงใจไปหนึ่งขวด เมื่อน้ำโอสถสีม่วงไหลสู่ท้อง ความรู้สึกแสบร้อนก็ส่งผ่านมาตั้งแต่ลำคอ ราวกับว่ามีไฟกำลังเผาร่างของเขาอยู่!
ความรู้สึกเจ็บปวดเช่นนี้อาจจะมากเกินไปสำหรับคนอื่นแต่มิใช่ซือหยู เพราะเขานั้นคุ้นชินกับความเจ็บปวดไปแล้ว เขารู้ว่ามิใช่ร่างกายที่ถูกเผาแต่เป็นดวงวิยญาณ นั่นก็เพราะโอสถกำลังออกฤทธิ์กับวิญญาณของเขาอยู่
กว่าซือหยูจะเป็นอิสระจากความเจ็บปวดก็ผ่านไปหนึ่งวันเต็มดวงวิญญาณของเขาแข็งแกร่งกว่าแต่ก่อนมาก
เพียงแค่วันเดียววิญญาณของเขาก็กลายเป็นภูติระดับห้าจากภูติระดับสี่! มันน่าประทับใจมากทีเดียว!
การเติบโตของวิญญาณยังทำให้สัมผัสของซือหยูเฉียบคมขึ้นสมองของเขาแจ่มชัดคิดอ่านได้รวดเร็ว ความรู้สึกนี้มิได้ใหม่ต่อซือหยู มันคือความรู้สึกที่คล้ายกับการเกิดใหม่
“ฤทธิ์โอสถยอดเยี่ยมนักแล้วข้าก็ไม่ต้องเหนื่อยในการปรุงโอสถนี้ด้วย!”
ซือหยูพอใจอย่างเห็นได้ชัดการทำให้วิญญาณอยู่ในขอบเขตจ้าวเทวะไม่เป็นเพียงความฝันอีกต่อไป!