“ต้าไหน่ไหน่ ยินดีด้วยเจ้าค่ะ” ไป๋เสาเดินเข้าไปแสดงความยินดีกับเจินเมี่ยว
ชิงไต้ที่มิชอบพูดชอบยิ้มก็ยังเดินตามไป นางย่อกายทั้งเอ่ยว่า “ยินดีกับต้าไหน่ไหน่ด้วยเช่นกันเจ้าค่ะ”
เจินเมี่ยวยังคงมึนงงอยู่บ้างเล็กน้อย
ใบหน้าที่มักเฉยชาของไป๋เสาพลันแตกละเอียดออก
“ต้าไหน่ไหน่ ท่านขึ้นไปนั่งบนเตียงคั่งก่อนเถิด หลายวันมานี้ท่านมิได้กินอิ่มสักเท่าใด เกรงว่าบุตรในครรภ์จะทนไม่ไหว ท่านจะดื่มอะไรสักหน่อยหรือไม่เจ้าคะ”
เจินเมี่ยวขมวดคิ้วโดยไม่รู้ตัว แล้วพยักหน้ารับ “เจ้าพูดถูก ยกนมวัวมาให้ข้าสักถ้วยเถิด”
เมื่อนมวัวถูกยกมาถึง กลิ่นหอมของมันกลับทำให้เจินเมี่ยวรู้สึกคลื่นไส้ นางฝืนใจรวบรวมความกล้าดื่มให้หมด แล้ววางถ้วยลงด้านข้าง คล้ายนางออกแรงอย่างสุดกำลัง เพราะอากาศเย็นเพียงนี้ หน้าผากกลับมีเหงื่อผุดขึ้นบางๆ หนึ่งชั้น
ไป๋เสาเห็นเช่นนั้นก็รีบล้วงผ้าเช็ดหน้าขึ้นมาซับเหงื่อให้
เวลานี้เองหลัวเทียนเฉิงก็เดินเข้ามา ใบหน้าเต็มไปด้วยความเบิกบานและอุบอุ่นราวดวงอาทิตย์ “พวกเจ้าออกไปก่อนเถิด”
รอกระทั่งภายในห้องเหลือกันเพียงสองคน นัยน์ตาเป็นประกายของเขาก็มองไปที่เจินเมี่ยว ชั่วขณะนั้นกลับไม่รู้จะเอ่ยสิ่งใดดี
“เจี๋ยวเจี่ยว” เขาถูมือไปมา มองเจินเมี่ยวด้วยยิ้มโง่งม
“อย่า…อย่าเพิ่งเข้ามาใกล้ข้า ตัวท่านมีกลิ่นเนื้อต้มผักดองอยู่ ข้าได้กลิ่นแล้วคลื่นไส้” เจินเมี่ยวรีบโบกมือไวๆ
อาจเพราะพยายามฝืนตัวเองให้ดื่มนม ตอนนี้นางแทบมิได้กลิ่นอาหารแล้ว
หลัวเทียนเฉิงตัวแข็งทื่อไปโดยพลันแล้วเอ่ยว่า “เจ้ารอประเดี่ยว ข้าไปอาบน้ำก่อน”
เขารีบเดินออกไปทันที ผ่านไปไม่ถึงหนึ่งเค่อก็กลับมาด้วยเสื้อผ้าชุดใหม่ บนศีรษะยังเปียก น้ำหยดติ๋งๆ อยู่เลย
เจินเมี่ยวหยิบผ้าเพื่อจะเช็ดผมให้เขา หลัวเทียนเฉิงรีบเอ่ยว่า “เจ้านั่งพักผ่อนเถิด ข้าทำเอง”
เมื่อสยายผมยาวที่ดำดุจหมึกนั้นออกก็ยิ่งขับให้ใบหน้าดูหล่อเหลายิ่งขึ้น ริมฝีปากแดง ฟันขาวสะอาด
เขายื่นมือออกไปลูบท้องเจินเมี่ยวเบาๆ “คิดไม่ถึงจริงๆ ว่าในนี้จะมีลูกของเราอยู่”
“ต่างเล่ากันว่าเปรี้ยวบุตรชาย เผ็ดบุตรสาว เมื่อครู่เจ้าทนกลิ่นผักดองไม่ได้ หรือเจ้าจะมีบุตรสาวให้ข้า”
“เฮ้อ คนแรกเป็นบุตรสาวก็ดีเช่นกัน บุตรสาวรู้จักเอาใจใส่ยิ่ง”
“…”
ในที่สุดเจินเมี่ยวก็อดเอ่ยแทรกขึ้นมามิได้ว่า “ซื่อจื่อ ท่านคิดไกลเกินไปแล้ว”
หากนางยังเงียบอยู่ เกรงว่าเขาอาจจะพูดไปถึงว่าตระกูลผู้ใดเข้าที ไม่แต่งอนุถึงเข้าเกณฑ์การเลือกมาเป็นบุตรเขย
หลัวเทียนเฉิงจึงหยุดพูดไปอย่างเขินอายอยู่หลายส่วน
“ข้ากลับรู้สึกว่าเด็กคนนี้เลือกมาในเวลาที่มิใคร่เหมาะสมนัก ทุกอย่างตรงหน้ากำลังวุ่นวายแท้ๆ”
“เจี๋ยวเจี่ยว” หลัวเทียนเฉิงยื่นมือไปกิดบ่าเจินเมี่ยวไว้ แล้วเอ่ยด้วยสีหน้าจริงจังว่า “บุตรของเรา มาเมื่อใดก็ล้วนเหมาะสมทั้งสิ้น”
หลังจากที่ความยินดีของเจินเมี่ยวผ่านพ้นไปเมื่อทราบว่าตนตั้งครรภ์ ความรู้สึกว้าวุ่นที่ประเดประดังอย่างรวดเร็วนั้นกลับสงบลงเพราะคำพูดประโยคนี้นั่นเอง
“พรุ่งนี้ข้าจะให้คนไปส่งเจ้าที่เมืองเป่ยปิง แล้วเดินทางจากเมืองเป่ยปิงไปที่เมืองเป่ยลี่”
“เป่ยลี่?”
“ใช่ ญาติผู้พี่ฝั่งมารดาเจ้ามิใช่ติดตามสามีมาอยู่ที่เมืองเป่ยลี่หรือ ข้าได้ส่งคนไปติดต่อไว้แล้ว ยามนี้เจ้ามีครรภ์ ไปอยู่ที่นั่นคงเหมาะกว่า”
ญาติผู้พี่ฝั่งมารดาที่หลัวเทียนเฉิงพูดถึงคือเวินยาหันนั่นเอง ก่อนหน้านี้หันจื้อหย่วนออกไปรับหน้าที่นายอำเภอเมืองเป่ยลี่ นางก็ได้ตามสามีมาด้วย
เมืองเป่ยลี่ตั้งอยู่แถบชายแดน ซึ่งห่างจากที่นี่ไม่ไกลนัก ว่าไปแล้วก็ช่างเป็นวาสนาอันยากยิ่งเลยทีเดียว
“แต่ข้าอยากอยู่ที่นี่กับท่าน”
หลัวเทียนเฉิงนวดคลึงหว่างคิ้วตน ในใจก็คิดว่าบุตรผู้นี้ช่างมาได้ถูกเวลาเสียจริง มิเช่นนั้นด้วยความดื้อดึงของเจี๋ยวเจี่ยว เขาคงต้องใช้เวลากล่อมอีกนานหากจะให้นางยอมไปจากที่นี่
“เจี๋ยวเจี่ยว เจ้าต้องรักษาบุตรของเราไว้เป็นอย่างดีใช่หรือไม่ เขายังไม่รู้อันใดเลย ยังมิทันได้ลืมตาดูโลกด้วยซ้ำ”
เจินเมี่ยวเงียบ
วันต่อมา ในยามที่พระอาทิตย์กำลังโผล่ขึ้น รถม้ารูปทรงธรรมดาหลายคันเหยียบบดกองหิมะ ค่อยๆ เคลื่อนตัวออกไปไกล
เจินเมี่ยวแหวกม่านออกแล้วยื่นศีรษะออกมาหันหลังมองกลับไปก็เห็นหลัวเทียนเฉิงยืนอยู่ที่นั่น เพราะแสงสะท้อนแยงตาจึงมองเห็นหน้าเขาไม่ชัดนัก ชุดคลุมตัวยาสีขาวสะบัดพลิ้วไปตามลมยิ่งขับให้คนดูผ่ายผอมมากขึ้นไปอีก
“ต้าไหน่ไหน่ ลมพัดแรงยิ่ง หากไม่สบายคงแย่แน่เจ้าค่ะ” ไป๋เสาเอ่ยเตือน
เจินเมี่ยวจึงปล่อยม่านลงโดยไม่เอ่ยอันใด
หลัวเทียนเฉิงจ้องรถม้าคันหนึ่งนิ่ง ชั่วขณะที่ผ้าม่านถูกปิดลง เขาอดเดินไปข้างหน้าหนึ่งก้าวมิได้ แต่ต้องสะกดอารมณ์อยากวิ่งตามเอาไว้แล้วหมุนกายจากไปทันที
รถม้าค่อยๆ เคลื่อนออกนอกเมืองไป เจินเมี่ยวเปิดม่านขึ้นอีกครั้ง นางหรี่ตาเงยหน้ามองอักษรตัวใหญ่ ‘เมืองเฮยมู่’ มันดูเรียบง่ายและเก่าแก่คล้ายความรู้สึกที่เมืองนี้มีให้คนเราไม่มีผิด ไม่ว่าเจ้าจะอยู่หรือไปล้วนไม่ส่งผลใดกับมันทั้งสิ้น
“ต้าไหน่ไหน่…” ไป๋เสาเอ่ยขึ้นแล้วหยุดไป
เจินเมี่ยวกระพริบตาไวๆ แล้วเอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “ลมแรงยิ่ง แสบตาไปหมด”
ชั่วขณะนั้นทุกอย่างก็เงียบสงบลง ได้ยินเพียงเสียงล้อรถหมุนดังกึกๆ เสียงฝีเท้าม้าดังกับๆ
เป่ยปิงมีหิมะตกอยู่ตลอด เป็นเมืองหิมะที่ถูกปกคลุมไปด้วยสีขาว
นางพักผ่อนสองวัน ก่อนเดินทาง เจินเมี่ยวได้ไปหาเหยาเยี่ยกุย
“เยี่ยกุยจะไม่ไปกับข้าจริงๆ หรือ”
เหยาเยี่ยกุยตบขาตนเอง “ข้าเป็นเช่นนี้แล้ว มิอาจปกป้องท่านได้ ไปกับท่านจะมีประโยชน์อันใด ไม่สู้อยู่ที่นี่ จะได้คอยสืบข่าวจากเมืองเฮยมู่ด้วย”
นางเอ่ยถึงตรงนี้ก็มองเจินเมี่ยวด้วยรอยยิ้ม “ท่านวางใจได้ หากทางนั้นมีอันใดคืบหน้า เมื่อข้าได้ข่าวมาจะต้องแจ้งแก่ท่านแน่นอน ท่านต่างหากตอนนี้กำลังตั้งครรภ์ เดินทางระวังด้วย”
“ไม่ต้องห่วง ซื่อจื่อจัดการทุกอย่างไว้หมดแล้ว”
“เช่นนั้นก็ดีแล้ว” น้ำเสียงของเหยาเยี่ยกุยแฝงความเสียใจอยู่บ้าง “จากกันครั้งนี้ ไม่รู้เมื่อใดจะได้พานพบ เซี่ยนจู่จะคิดถึงข้าหรือไม่”
เจินเมี่ยวเบ้มุมปากตน
สถานการณ์ออกจะแปลกพิกลอยู่สักหน่อย แม่นางเหยากำลังสารภาพรักหรือไร แต่นางเป็นคนของซื่อจื่อไปแล้ว!
“แหะๆ” เจินเมี่ยวยิ้มแห้งสองครา “แน่นอนอยู่แล้ว”
เหยาเยี่ยกุยถอนหายใจออกมา “ข้ารู้อยู่แล้วว่าเซี่ยนจู่มิใช่คนไร้เยื่อใย หากเซี่ยนจู่คิดถึงจริงๆ ก็มอบของไว้แทนความคิดถึงก็ได้”
“เช่น…” เจินเมี่ยวเลิกคิ้ว
“เช่นไหไข่พะโล้ที่ท่านทำเมื่อวันก่อน”
เจินเมี่ยวสะบัดแขนเสื้อจะเดินหนี
ที่แท้ก็จ้องจะเอาพะโล้ของนางนี่เอง แล้วยังจะเป็นสหายที่ดีต่อกันได้อีกหรือ!
“เซี่ยนจู่…” เสียงของเหยาเยี่ยกุยลอยมา “ข้าพูดจริงๆ ว่าท่านกับแม่ทัพหลัวนั้นเป็นคู่สามีภรรยาที่เหมาะสมกันที่สุดเท่าที่ข้าเคยเห็นมาเลย หวังว่าพวกท่านจะรักกันเช่นนี้ตลอดไป บุตรในครรภ์ท่านก็ให้ข้าเป็นมารดาบุญธรรมเถิด”
“อืม” คนทั้งสองอยู่ด้วยกันมานาน ต่างผูกพันกัน เมื่อต้องแยกจากเช่นนี้เจินเมี่ยวก็รู้สึกเสียใจอยู่ไม่น้อย
“หากเป็นเด็กผู้ชายก็แล้วไปเถิด แต่หากเป็นเด็กผู้หญิง ข้าจะถ่ายทอดความวิชาทั้งหมดที่มีให้นาง รับรองว่าบุรุษใดกล้าคิดไม่ซื่อต่อนางต้องถูกนางต่อยดุจบุปผาร่วงลงสายธารไหล”
“เยี่ยกุย”
“หืม?”
“แม้ว่ามันออกจะเร็วไปสักหน่อย แต่ข้ายังอยากจะบอกว่าข้าเปลี่ยนใจได้หรือไม่” ต่อยทุกคนที่มาชมชอบร่วงกราวดุจบุปผาคือเรื่องราวใดกัน หากบุตรสาวนางต้องนั่งเหงาอยู่ในเรือนไปตลอดชีวิตจะทำฉันใด
ผู้ที่คอยคุ้มครองเจินเมี่ยวและสาวใช้ไปที่เมื่อเป่ยลี่คือรองแม่ทัพจังและรองหัวหน้าฉือ หลัวเทียนเฉิงจัดการทุกอย่างอย่างเหมาะสมและรอบคอบ แม้ระหว่างทางจะเกิดเรื่องบางอย่างขึ้นแต่คนทั้งหลายก็เดินทางไปถึงเป่ยลี่ได้อย่างราบรื่น
“น้องรอง!” เวินยาหันรีบเข้าไปต้อนรับ แล้วกุมมือเจินเมี่ยวไว้
นานแล้วที่มิได้พบกัน เจินเมี่ยวจึงพิจารณาเวินยาหันอย่างละเอียด
นางสวมชุดตัวยาวสีชมพูอมม่วง และทับด้วยเสื้อคลุมกันลมสีเทา ใบหน้ารูปไข่แดงระเรื่อ ดูมีน้ำมีนวลมากกว่าแต่ก่อนเล็กน้อย ความแข็งกร้าวบนหน้าได้ถูกความอ่อนโยนเข้ามาแทนที่แล้ว แม้มิได้มีผิวพรรณขาวผ่องเท่าตอนอยู่ที่เมืองหลวง แต่กลับดูงดงามยิ่งขึ้นเสียอีก
มองเพียงปราดเดียวเจินเมี่ยวก็ทราบทันทีว่า ชีวิตในเมืองเป่ยลี่ของเวินยาหันต้องผ่านไปอย่างมีความสุขมากแน่
นางอดคิดถึงเวินยาฉีที่จากไปมิได้
“ญาติผู้พี่เหตุใดจึงมารอถึงที่นี่เล่า”
เวินยาฉันดึงมือเจินเมี่ยวให้เดินเข้าไปด้านใน แล้วเอ่ยพลางยิ้มว่า “เมื่อรู้ว่าเจ้าจะมา ไหนเลยจะนั่งรออยู่ได้ อีกอย่างเป่ยลี่ก็มิได้มีกฎระเบียบมากมายเท่าเมืองหลวง”
เจินเมี่ยวคารวะต่อหันจื้อหย่วนเมื่อพบเขา
หันจื้อหย่วนกลับผอมลงกว่าเดิม ท่าทีอย่างบัณฑิตขาดหายไปไม่น้อย แต่กลับดูสุขุมนุ่มลึกยิ่งขึ้น ระหว่างที่สนทนากันนั้นก็ให้ความเกรงใจกับเจินเมี่ยวอย่างมาก
ระทั่งเข้าไปในห้อง เหลือเพียงเจินเมี่ยวและเวินยาหัน เวินยาหันจึงร้องไห้ออกมา แต่ก็รีบเช็ดน้ำตาทันที นางเม้มริมฝีปากก่อนเอ่ยว่า “ทำให้ญาติผู้น้องต้องขบขันแล้ว”
“พี่สาม…”
เวินยาหันถอนหายใจออกมา “แม้ตอนนั้นจะมีการส่งข่าวคราวมาถึงข้าแล้วก็ตาม แต่ข้าก็ยังอยากถามอีกสักครั้งว่ายาฉีนาง…นางจากไปด้วยเหตุใดหรือ”
เจินเมี่ยวจึงเล่าเรื่องทั้งหมดให้นางฟังอีกครั้ง
เวินยาหันขอบตาแดงขึ้นมาเล็กน้อยแต่กลับมิได้ร้องไห้อีก นางเอ่ยเสียงสูงขึ้นว่า “ไปอุ้มฝูเกอมาหน่อย”
ไม่นานสตรีผู้หนึ่งที่สวมอาภรณ์อย่างสาวใช้ก็อุ้มเด็กน้อยอายุหนึ่งปีกว่าเข้ามา
“ฝูเกอ เรียกท่านน้าเร็ว”
“ทานน๊า…”
ฝูเกอยังพูดไม่ชัด เจินเมี่ยวได้ยินแล้วก็อดยิ้มออกมามิได้ นางหยิบสร้อยทองแปดทรัพย์ทรงกลมที่เตรียมไว้สำหรับเป็นของรับขวัญออกมา
จากกันไปหลายปี คิดว่าอย่างไรเวินยาหันก็ต้องมีบุตรแล้วเป็นแน่
ในที่สุดเวินยาหันก็อดถามออกมามิได้ว่า “ญาติผู้น้องมาชิงเป่ยครานี้ เจ้าเอาหลานไว้ที่จวนหรือ…”
เจินเมี่ยวยิ้มแล้วเอ่ยอย่างเป็นธรรมชาติยิ่งว่า “ก่อนหน้านี้ไร้วี่แววมาตลอด แต่ไม่กี่วันก่อนท่านหมอบอกว่าข้าตั้งครรภ์แล้ว”
สีหน้าเวินยาหันเต็มไปด้วยความยินดี “เช่นนั้นก็ยินดีกับญาติผู้น้องด้วย ประจวบเหมาะยิ่งที่ข้ายังมิทันได้เลิกจ้างแม่นมสองคนที่มาดูแลข้าออกไป เดี๋ยวจะให้พวกนางมาดูแลเจ้าต่อ”
เมืองเป่ยลี่ค่อนข้างกันดาร หันจื้อหย่วนยังเกิดมาจากตระกูลยากจน หลังจากที่คลอดฝูเกอแล้ว เวินยาหันก็คิดจะเลิกจ้างแม่นมที่คอยดูแลนางช่วงให้นมบุตรออกไปเสีย แต่หันไท่ไท่บอกว่านางยังสาว ไม่แน่ว่าวันใดอาจตั้งครรภ์ขึ้นมาอีก ถึงตอนนั้นก็ต้องหาแม่นมคนใหม่ มิสู้เก็บคนคุ้นเคยไว้ แล้วประหยัดเงินกับเรื่องอื่นแทน
เวลานี้นางอดดีใจมิได้ที่ยอมเชื่อฟังแม่สามี มิเช่นนั้นคงได้วุ่นวายหาแม่นมอีกแน่
“เช่นนั้นก็รบกวนญาติผู้พี่แล้ว”
เจินเมี่ยวจึงพักอยู่ที่นี่ตั้งแต่นั้น
เมื่อเป่ยลี่ห่างจากเมืองทั้งสองที่กำลังรบกันอยู่ไกลพอสมควร จึงมิได้รับผลกระทบจากสงคราม ยามเหมันต์แม้หนาว ผักผลไม้กลับมีมากกว่าเมืองเฮยมู่ เจินเมี่ยวคลื่นไส้อาเจียนหนักยิ่ง จึงพยายามทำอาหารที่กินแล้วโล่งคอชนิดต่างๆ ร่างกายจึงมิได้ผ่ายผอมลงไปเลย แต่ใจของนางกลับยังมีห่วง ทุกวันเวลาล้วนจดจ้องอยู่กับข่าวคราวจากเมืองเฮยมู่
“สถานการณ์ที่เมืองเฮยมู่เป็นอย่างไรกันแน่ เหตุใดระยะนี้แม่ทัพเหยาจึงไม่ส่งข่าวมาเลย”
“ต้าไหน่ไหน่ การไม่มีข่าวมาถึงก็นับเป็นข่าวดีแล้วเจ้าค่ะ”
เจินเมี่ยวส่ายหน้า “เกรงว่าจะมิใช่อย่างเจ้ากล่าว ข้ากลัวว่านางจะแจ้งแต่ข่าวดีไม่แจ้งข่าวร้าย หลายวันมานี้พี่เขยก็มิได้กลับเรือนเลยใช่หรือไม่ เขาเป็นนายอำเภอ หากมิใช่เพราะทางเหนือมีความผิดปกติเกิดขึ้น คงมิยุ่งเพียงนี้แน่”
นางลุกขึ้นหยิบเสื้อคลุมมาถือไว้ “ตามข้าไปเดินเล่นที่ใจกลางเมืองสักหน่อยเถิด”
“ต้าไหน่ไหน่ ท่านตั้งครรภ์อยู่ ด้านนอกมีแต่น้ำแข็งและหิมะ ทางเดินลื่น…”
เจินเมี่ยวจำใจต้องนั่งลงแล้วเอ่ยกำชับชิงไต้ว่า “เจ้าไปสืบข่าวมาหน่อยเถิด มิเช่นนั้นข้าคงไม่วางใจแน่”
ชิงไต้ออกไปครึ่งค่อนวันจึงกลับมาด้วยสีหน้าแปลกพิกล