ตอนที่ 602 พระกรุณาอันล้นพ้น

นายน้อยเจ้าสำราญ

ตอนที่ 602 พระกรุณาอันล้นพ้น

“กระหม่อมต้องการใช้ยศของป๋อเจวี๋ยแลกกับคนสักสองสามคนพ่ะย่ะค่ะ”

เมื่อฟู่เสี่ยวกวนกล่าวประโยคนี้ออกไป อย่าว่าแต่บรรดาขุนนางที่พากันตกตะลึงเลย แม้แต่เยี่ยนเป่ยซีเองก็เงยหน้ามองเขาด้วยเช่นกัน

ฮ่องเต้เองก็ทรงตกตะลึงเช่นกัน ผู้ใดกัน สำคัญมากถึงเพียงนั้นเลยหรือ ?

ในราชวงศ์หยู นอกจากท่านแม่ทัพใหญ่เผิงแล้ว ก็มีเพียงฟู่เสี่ยวกวนเท่านั้นที่ได้รับบรรดาศักดิ์จึเจวี๋ย ในวันนี้เขาได้เลื่อนขั้นเป็นถึงป๋อเจวี๋ย ช่างเป็นเรื่องที่น่ายินดียิ่ง เป็นสิ่งที่ขุนนางทั้งหลายมิกล้าแม้แต่จะฝันถึง แต่ทว่าฟู่เสี่ยวกวนกลับต้องการใช้ตำแหน่งนี้แลกกับคนเพียงมิกี่คน !

เจ้าหมอนี่ได้รับความกระทบกระเทือนทางสมองหรือเยี่ยงไรกัน ?

อืม… ใช่แล้ว ! เขามีโรคประจำตัวเกี่ยวกับสมองนี่นา หรือว่าอาการจะกำเริบกันนะ ?

ฮ่องเต้รู้สึกกังวลพระทัยขึ้นมา ทรงนิ่งเงียบไปชั่วครู่แล้วตรัสถามออกมาว่า “เจ้าต้องการแลกตัวผู้ใดกัน ? ”

ฟู่เสี่ยวกวนหัวเราะหึ ๆ “กระหม่อมต้องการแลกกับนักโทษชื่ออีหมิง เซวี๋ยตงหลิน สีส่วง เฟ่ยเชียน และสีฉวินเหมยพ่ะย่ะค่ะ ! ”

“หา… ! ”

เหล่าขุนนางพากันแตกตื่นฮือฮา และส่ายหน้าทำท่าทางเหลือเชื่อออกมากันทันที

“ฟู่เจวี๋ยเย… ท่านบุ่มบ่ามไปหน่อยหรือไม่ ? ”

“การค้านี้เกรงว่าฟู่เจวี๋ยเยจะขาดทุนเสียแล้ว”

“ท่านช่างใจกล้าเสียจริง คนเหล่านั้นเป็นนักโทษข้อหากบฏ ท่านยังกล้าร้องขอสิ่งเหล่านี้ออกมาอยู่อีกหรือ ? ”

เหล่าขุนนางพากันกระซิบกระซาบ ต่งคังผิงจ้องมองไปยังด้านหลังของฟู่เสี่ยวกวนด้วยสีหน้ากรุ่นโกรธ

เยี่ยนฮ่าวชูเองก็ขมวดคิ้วมุ่นมองดูฟู่เสี่ยวกวน เขาภาวนาว่าอย่าให้เจ้าหมอนี่ทำให้ฝ่าบาทขุ่นเคืองพระทัยเลย

มีเพียงเยี่ยนเป่ยซีเท่านั้นที่ขมวดคิ้วเข้าหากันและทำเพียงชายตามองดูฟู่เสี่ยวกวนที่บัดนี้ก้มหน้าก้มตามิรู้ว่ากำลังคิดอันใดอยู่

สีพระพักตร์ของฝ่าบาทเคร่งขรึมขึ้นมาทันพลัน พระองค์ทรงก้าวพระบาทออกมา 2 ก้าว เจ้าหมอนี่…ทำให้ข้าอึดอัดใจอีกแล้ว !

จากกฎหมายเดิม ข้อหากบฏจะต้องประหารเจ็ดชั่วโคตร

แต่เจ้าหมอนี่กลับขอชีวิตคนทั้งห้า และช่างบังเอิญเสียเหลือเกินที่คนเหล่านั้นได้รับโทษทัณฑ์จากการก่อกบฏทั้งสิ้น

แน่นอนว่าในฐานะฮ่องเต้ อำนาจของพระองค์อยู่เหนือกฎหมายใด ๆ เพียงแค่ออกพระราชโองการให้คนทั้งห้าพ้นโทษก็สามารถปล่อยพวกเขาออกมาได้แล้ว

การที่ฟู่เสี่ยวกวนยอมใช้ยศป๋อเจวี๋ยระดับสามแลกกับคนทั้งห้าคนนั้น… หรือว่าทั้งห้าคนนี้จะมีความสามารถพิเศษที่ข้ามิรู้อยู่กัน ?

ฮ่องเต้ทรงครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ ก่อนจะกลับไปยังบัลลังก์มังกร“ข้ามอบตำแหน่งติ้งอันป๋อให้เจ้า มิได้เกี่ยวข้องกับคนทั้งห้านี้ เจ้าจงอย่าได้นำมารวมเป็นเรื่องเดียวกัน ที่ศาลต้าหลี่มีบันทึกคดีของคนเหล่านี้อยู่ เจ้าควรจะเดินทางไปตรวจสอบคดีเสียก่อนแล้วค่อยตัดสินใจก็ยังมิสาย”

ฟู่เสี่ยวกวนครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ ก่อนจะยกมือขึ้นคารวะแล้วทูลว่า “พ่ะย่ะค่ะ ! กระหม่อมเองก็มีเรื่องอยากร้องขอฝ่าบาทเช่นกัน”

“เจ้าลองกล่าวมา”

“กระหม่อมประสงค์จะเดินทางไปยังคุกต้าหลี่เพื่อพบคนทั้งห้านี้เสียหน่อยพ่ะย่ะค่ะ”

ฮ่องเต้ขมวดคิ้วเข้าหากันแน่น นักโทษมีอันใดให้น่าไปเยี่ยมชมกัน ?

“ตกลง…อีกอย่าง…”

หลังจากตกลง ก็ทรงเปลี่ยนหัวข้อกะทันหันอย่างมิทันตั้งตัว ขุนนางแต่ละคนล้วนเงี่ยหูเพื่อรอฟังประโยคต่อไป

“ฟู่เสี่ยวกวนปฏิบัติหน้าที่ได้อย่างยอดเยี่ยม บัดนี้ฮูหยินทั้งสามก็ได้ตั้งครรภ์แล้ว นับเป็นเรื่องที่น่ายินดีแก่ติ้งอันป๋อและข้าด้วย ดังนั้นข้าจะมอบตำแหน่ง เก้ามิ่ง ให้แก่ฮูหยินทั้งสามคน มอบทองคำ 20,000 ตำลึง ผ้าไหม 100 ผืน โสมร้อยปีจำนวน 80 หัว แจกันโบราณ 1 คู่ และโล่ทองคำแก่จวนติ้งอันป๋อ!”

นี่มัน…เหล่าขุนนางพากันลืมเรื่องที่ฟู่เสี่ยวกวนร้องขอคนทั้งห้าไปเสียสนิท วันนี้ฝ่าบาททรงประทานรางวัลให้ราวกับโปรยเงินเล่น !

รางวัลเหล่านั้นมิใช่สิ่งสำคัญ ที่สำคัญมีอยู่ 2 ประการ ประการแรกคือตำแหน่งเก้ามิ่งของฮูหยิน ! หมายความว่าฐานะตัวตนของพวกนางจะสูงขึ้น นับแต่นี้เมื่อพบฮูหยินทั้งสามของฟู่เสี่ยวกวน หากมีตำแหน่งที่ต่ำกว่าขุนนางระดับสามจะต้องทำความเคารพพวกนางทั้งสามคน

ประการที่สอง การที่ทรงประทานโล่ทองคำให้แก่จวนติ้งอันป๋อ ช่างน่าเกรงขามกว่าป้ายหน้าจวนฟู่มากนัก

ป้ายหน้าจวนฟู่นั้นเป็นเพียงป้ายที่ใช้บอกว่าจวนหลังนี้เป็นของตระกูลฟู่เท่านั้น แต่โล่ทองคำที่พระองค์ทรงประทานให้แก่ติ้งอันป๋อ แสดงให้เห็นถึงพระมหากรุณาธิคุณขององค์ฮ่องเต้อย่างเปี่ยมล้น

นับจากนี้ หากต้องการเดินทางไปยังจวนของฟู่เสี่ยวกวน จะต้องลงจากรถม้าและคารวะโล่ทองคำนั้น !

เกียรติยศเช่นนี้ แม้แต่อัครมหาเสนาบดีเยี่ยนก็ยังมิเคยได้รับ

หากเป็นเช่นนี้ ตระกูลที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในเมืองจินหลิง คงจะเป็นตระกูลอื่นใดมิได้นอกจากตระกูลฟู่ !

ความคิดของเขาแตกต่างไปจากขุนนางคนอื่น ๆ เมื่อเขาได้ยินคำว่าทองคำ 20,000 ตำลึงก็รู้สึกดีใจมากยิ่งนัก ครานี้ท่านพ่อตาช่างใจกว้างเสียจริง ดังนั้นเขาจึงรีบโค้งคารวะพร้อมกับกล่าวสรรเสริญ

ขันทีเจี่ยเหล่ตามองดูฟู่เสี่ยวกวน เขาเองก็รู้สึกดีใจมากเช่นกัน จากนั้นจึงร่างพระบรมราชโองการขึ้นมาอย่างตั้งใจ ประทับตราลงไป รางวัลนี้ก็นับว่าถูกตีตราเสร็จสมบูรณ์แล้ว

ขันทีเจี่ยทำการอ่านพระราชโองการที่มอบตำแหน่งติ้งอันป๋อให้แก่ฟู่เสี่ยวกวนอีกครา ส่วนฟู่เสี่ยวกวนก็รับไปอย่างมิได้เกรงอกเกรงใจแต่อย่างใด

ส่วนอีก 3 ฉบับ จะต้องไปอ่านที่จวนฟู่ให้ฮูหยินทั้งสามฟัง ดังนั้นขันทีเจี่ยจึงรีบหอบพระราชโองการทั้งสามมุ่งตรงไปยังจวนฟู่ทันที

เหล่าขุนนางพากันรุมล้อมเข้ามา ยกมือขึ้นคารวะ “ขอแสดงความยินดีกับติ้งอันป๋อด้วยขอรับ ! ”

“ท่านช่างมีความสามารถอย่างแท้จริง ติ้งอันป๋อ หากมีเวลาข้าจะไปร่วมดื่มกับท่านสักจอก ! ”

“ได้ยินมาว่าที่กั๋วเซ่อเทียนเซียงมีหญิงสาวหน้าตางดงามอยู่หลายคน เหมือนว่าจะมาจากแคว้นหลิว มิรู้ว่าติ้งอันป๋อจะว่างเมื่อใด ข้าน้อยอยากจะขอเชิญท่านไปร่วมเชยชมด้วยกันเสียหน่อย”

บัดนี้ฟู่เสี่ยวกวนต้องการเดินทางไปศาลต้าหลี่มากที่สุด เขาจะมีกะจิตกะใจมาสนใจเรื่องเหล่านี้ได้เยี่ยงไร ดังนั้นเขาจึงทำได้เพียงหัวเราะแล้วกล่าวออกมาว่า “ขอบพระคุณทุกท่านเป็นอย่างมาก ข้ายังมีเรื่องต้องจัดการอีกมากมาย คงต้องขอตัวก่อน ! ”

เขาพยายามแทรกตัวออกไปท่ามกลางฝูงชนมากมาย แล้ววิ่งไปทางศาลต้าหลี่

เหลือไว้เพียงขุนนางน้อยใหญ่ที่มองหน้ากันอย่างมึนงง และพากันไปแสดงความยินดีกับเยี่ยนเป่ยซี ต่งคังผิง และเยี่ยนฮ่าวชูแทน

ฟู่เสี่ยวกวนมิรู้หรอกว่าทั้งสามคนรู้สึกเย่อหยิ่งเพียงใด เขาตรงไปยังศาลต้าหลี่แต่เพียงผู้เดียว

ซูชานเยวี่ย ซื่อชิงแห่งศาลต้าหลี่กำลังตกอยู่ในภาวะคับขัน

การที่เซวี๋ยติ้งชานก่อกบฏ เขาเพียงคนเดียวเชื่อมโยงให้คนถึง 3 คนต้องมาตกที่นั่งลำบากด้วย

คนแรก ก็คือเซวี๋ยปิงชิง ซึ่งเป็นอดีตพระสนม

คนที่สอง คือสีฉวินเหมย ซึ่งก่อนหน้านี้เป็นเสนาบดีกรมขุนนางของราชวงศ์หยู

คนที่สาม คือฉินฮุ่ยจือ รองเสนาบดีการเมืองแห่งสำนักอัครมหาเสนาบดี ผู้ที่ลอบติดต่อกับองค์ชายสี่ จนถูกปลดออกจากตำแหน่งและถูกจับเข้าคุกในที่สุด

จะให้ข้าตัดสินคดีเยี่ยงไร ?

เซวี๋ยปิงชิงอยู่ในพระราชวัง เขาเคยเข้าสอบสวนถึง 2 ครา นางกล่าวว่ามิได้รับรู้ถึงเรื่องที่เซวี๋ยติ้งชานก่อกบฏแต่อย่างใด

ส่วนสีฉวินเหมยจะกล่าวว่าถูกจับโดยมิรู้เรื่องรู้ราวเลยก็มิได้ เขารู้เรื่องที่ตระกูลสีพากันอพยพออกจากเมืองจินหลิงเมื่อเดือนหนึ่ง อย่างน้อยเขาก็น่าจะพอเดาบางอย่างได้ แต่เขากลับมิได้ทูลต่อฝ่าบาทแต่อย่างใด กลับเก็บความลับนี้เอาไว้ในใจเพียงผู้เดียว

ส่วนฉินฮุ่ยจือ กระทั่งบัดนี้ก็ยังมิอาจตรวจสอบค้นหาหลักฐานใด ๆ จากจวนฉินได้ หากจะตัดสินโทษเขา ทำได้เพียงตามจับองค์ชายสี่ให้กลับมาเท่านั้น

ส่วนพวกที่เหลือนั้นมิได้สำคัญมากนัก เพียงแค่สอบสวนไปก็พอ จากนั้นก็ทูลขอฝ่าบาทให้สั่งประหารชีวิตปิดคดีเสีย

แต่ผู้มีอำนาจเหล่านี้จะประหารง่าย ๆ ได้เยี่ยงไร ความคืบหน้าของคดียังไปไม่ถึงไหน หากฝ่าบาทต้องการดูรายงานความคืบหน้าแล้วตนจะเอาอันใดไปให้ฝ่าบาทดูกันเล่า ?

ในขณะที่เขากำลังปวดหัวอยู่นั้น ฟู่เสี่ยวกวนก็ได้ก้าวเข้ามาในศาลต้าหลี่

เขายกมือขึ้นคารวะ “ขอคารวะท่านซู ! ”

ซูชานเยวี่ยและลูกน้องสองคนของเขา โหลวสืออู่ เฉาชิงแห่งศาลต้าหลี่ และสือฉวนหยู่ ซื่อเฉิงแห่งศาลต้าหลี่ ทั้งสามคนพากันลุกขึ้นยืน

“ฟู่เจวี๋ยเย… ท่านมาตั้งแต่เมื่อใดกัน ? เชิญนั่งก่อนขอรับ ฉวนหยู่ เจ้าจงไปนำเปียวเซียงหยุนวู่ที่ข้าสะสมเอาไว้มา…”

ซูชานเยวี่ยยกมือขึ้นคารวะกลับ จากนั้นก็ได้เชิญฟู่เสี่ยวกวนเข้าไปนั่งด้านในห้องทำงานของเขา

จะว่าไปแล้ว ซื่อชิงแห่งศาลต้าหลี่ก็มีตำแหน่งขุนนางระดับสามเช่นเดียวกันกับฟู่เสี่ยวกวน แต่เขาเป็นถึงเจวี๋ยเย อีกทั้งยังเป็นบุตรเขยของเสนาบดีกรมคลัง เป็นบุตรเขยของท่านอัครมหาเสนาบดีเยี่ยน และเป็นราชบุตรเขยของฝ่าบาทอีกด้วย !

คนเช่นนี้ ชาวบู๊และบุ๋นทั่วหล้าจะมีผู้ใดกล้าทำให้เขาขุ่นเคืองใจกัน ?