จูเหลี่ยนตะลึงงัน จากนั้นก็คลี่ยิ้มมีเลศนัย โอ้โห นังหนูถ่านดำผู้นี้เอวแข็งขึ้นไม่น้อย (เปรียบเปรยว่ามีที่พึ่ง มีคนหนุนหลัง) เพียงแต่ว่าเมื่อจูเหลี่ยนลองมองดูอีกทีก็สังเกตเห็นว่าสีหน้าของเผยเฉียนผิดปกติ แตกต่างไปจากเดิม
เฉินผิงอันเองก็ประหลาดใจเล็กน้อย รู้ว่าจูเหลี่ยนไม่มีทางโกรธเคืองด้วยเรื่องเช่นนี้ เฉินผิงอันจึงไม่ได้คิดมากว่าเหตุใดจู่ๆ เผยเฉียนถึงโมโหขึ้นมากะทันหัน
แต่จูเหลี่ยนกลับอดไพล่นึกไปถึงเด็กหนุ่มเทพเซียนที่มีใฝแดงกลางหว่างคิ้วผู้นั้นไม่ได้ ก่อนจะประมือกันครั้งแรก ชุยตงซานพูดว่าหน้าตาเปื้อนยิ้ม แต่ในใจสกปรกโสมมนี้ของเจ้า ขัดหูขัดตาข้านัก พวกเรามาสู้กันสักตั้ง ข้าพูดได้ทำได้ มือและเท้าของข้าจะไม่ขยับ เชิญปล่อยหมัดปล่อยเท้าได้ตามสบาย หากข้าขมวดคิ้วสักครั้งก็ถือว่าข้าแพ้ สุดท้ายเขาก็ทำให้จูเหลี่ยนรู้ว่าอะไรที่เรียกว่าเทพเซียนมากสมบัติแห่งสำนักศึกษาต้าสุย ทำอย่างไรถึงช่วงชิงชื่อเสียงมาได้ในการต่อสู้เพียงครั้งเดียว จนกระทั่งได้ฉายาว่า ‘บรรพบุรุษที่ได้มาเปล่าๆ ของตระกูลไช่’
จูเหลี่ยนยิ้มกล่าว “นายน้อย ชุยตงซานศิษย์ของท่านคนนี้เป็นคนมหัศจรรย์อย่างแท้จริง มหัศจรรย์จนไร้คำบรรยาย”
เฉินผิงอันกล่าวอย่างจนใจ “หวานขมรับรู้ได้ด้วยตัวเอง วันหน้าหากมีโอกาส ข้าจะเล่าให้เจ้าฟังถึงบุญคุณความแค้นระหว่างเขากับข้า”
จูเหลี่ยนจากไปแล้ว แต่เผยเฉียนยังโมโหไม่หาย
เฉินผิงอันจึงถามด้วยรอยยิ้มว่า “ตอนกลางวันกินเผ็ดมากเกินไป ไฟโทสะก็เลยมีมาก?”
เผยเฉียนก้มหน้าลงต่ำ ไม่พูดไม่จา
เฉินผิงอันเพียงแค่คิดว่าเป็นอารมณ์โกรธของเด็กที่ไปเร็วมาเร็วราวกับสายลม จึงเริ่มอ่านตำราสำนักนิติธรรมเล่มนั้นต่ออีกครั้ง
เช้าตรู่วันที่สอง เฉินผิงอันสะพาย ‘เจี้ยนเซียน’ และหีบไม้ไผ่ เผยเฉียนห้อยห่อสัมภาระพาดบ่าเฉียงๆ ในมือถือไม้เท้าเดินป่า ตรงเอวห้อยเตาเจี่ยนชว่อ จูเหลี่ยน และสือโหรวพากันเดินทางไปที่เมืองหลวงแคว้นชิงหลวน แน่นอนว่ายังมีคนจิ๋วดอกบัวที่วิ่งตะบึงอยู่ใต้ดินอย่างอิสระเสรีด้วย
ยังคงเป็นการเดินทางไกลด้วยเท้าอย่างอัตคัดอยู่เหมือนเดิม และนี่ถือเป็นกฎเก่าแก่ที่คนในกลุ่มของเฉินผิงอันยอมรับได้โดยปริยายไปแล้ว
เผยเฉียนสวมมงกุฎดอกไม้ที่ถักมาจากกิ่งหลิว เล่าให้เฉินผิงอันฟังว่าชุยตงซานสอนนางใช้ไม้เท้าเดินป่าวาดวงกลมบนพื้น สามารถทำให้ภูตแห่งภูเขาและแม่น้ำ รวมทั้งผีร้ายทั้งหลายตกใจหนีไปเพียงแค่ได้เห็น เพียงแต่ว่าเรียนยากมากไปหน่อย จนถึงวันนี้นางก็ยังคลำไปไม่เจอแม้แต่ขอบของวิชาเซียนวิชานี้เลย เดิมทีคิดไว้ว่าหากเรียนได้สำเร็จวันไหนค่อยบอกกับอาจารย์ ภายหลังคิดแล้วกลับรู้สึกว่าหากนางฝึกไม่ได้ตลอดชีวิต นั่นไม่เท่ากับว่าต้องอดทนอดกลั้นเก็บเอาไว้ไม่พูดไปนานหลายสิบหรือเป็นร้อยปีเลยหรือ แบบนั้นก็น่าสงสารเกินไปแล้ว
เฉินผิงอันยิ้มฟังเผยเฉียนบ่นหงุงหงิง
ในบรรดาคนทั้งสี่ของภาพวาด ผีสาวสือโหรวไม่ชอบตาเฒ่าหลังค่อมบ้าตัณหาคนนี้ที่สุด
ตอนนี้นางกับจูเหลี่ยนกำลังเดินเคียงบ่ากันอยู่ด้านหลังคู่อาจารย์และศิษย์อย่างเฉินผิงอันและเผยเฉียน นี่จึงทำให้นางรู้สึกอึดอัดใจเป็นกำลัง
แต่ทุกครั้งที่นางจงใจชะลอฝีเท้า จูเหลี่ยนก็จะเดินช้าตามไปด้วย เขาไม่พูดไม่จาอะไร เอาแต่ยิ้มมอง ‘ตู้เม่า’ ที่อยู่ในภาพลักษณ์ของคนแก่
สือโหรวอดรู้สึกสะอิดสะเอียนไม่ได้ นางมักรู้สึกว่าสายตาของจูเหลี่ยนหวานเลี่ยนชวนอาเจียน โดยเฉพาะตอนที่เฉินผิงอันช่วยหักกิ่งหลิวให้เผยเฉียน เจ้าเฒ่าสารเลวจูเหลี่ยนผู้นี้ถึงขั้นฉวยโอกาสแอบจับไหล่ ‘ตู้เม่า’ ในขณะที่นางไม่ทันระวังตัว
สือโหรวตกใจสะดุ้งโหยง
ตอนนั้นจูเหลี่ยนยิ้มตาหยีพูดว่า “ไม่ทันระวังๆ ขออย่าได้ถือสา”
แม้ตอนนี้นางจะเป็นเจ้าของคราบร่างเซียน เพียงแต่ว่ายังไม่อยู่ในสภาวะที่ราบรื่นอย่างแท้จริง คล้ายคลึงกับพวกศาลเถื่อนในท้องถิ่นที่ยังไม่ได้รับการยอมรับจากราชสำนัก ดังนั้นต่อให้มีวิชาสะดวกสบายที่ชี้ตรงไปยังมหามรรคา สามารถเดินทางลัดที่ทำให้เซียนดินอ้าปากค้าง แต่ชุยตงซานช่วยชั่งน้ำหนักให้นางอยู่สองครั้ง ทักษะปลายแถวที่เป็นพรสวรรค์อันน้อยนิดของวัตถุหยินซึ่งนางเรียนรู้มาก่อนหน้านี้ ให้ไปสู้กับผู้ฝึกตนขอบเขตชมมหาสมุทรที่มีประสบการณ์โชกโชนยังไม่มีหวัง ต่อให้ชุยตงซานสอนวิชาบางอย่างและมอบยันต์คุ้มกันกายไว้ให้นางหลายชิ้น อย่างมากนางก็ได้แค่รับมือกับผู้ฝึกตนขอบเขตประตูมังกรเท่านั้น ประโยชน์อย่างเดียวของนางก็คือ ตอนที่ตกอยู่ในสภาวะคับขันอันตราย นางจะต้องอาศัยคราบร่างเซียนมาช่วยต้านทานกระบี่บิน ต้านรับสมบัติอาคมของเซียนดินแทนเฉินผิงอัน
ชุยตงซานก็เคยบอกนางเช่นกันว่า ตาแก่บ้าตัณหาที่ชอบอ่านนิยายบุรุษเก่งกาจกับโฉมสะคราญทำสงครามกันผู้นี้ ตอนนี้คือผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตเดินทางไกลแล้ว นางต้องระวังตัวให้มาก
ดังนั้นสือโหรวจึงจงใจพูดกับคนอื่นด้วยน้ำเสียงหนาทุ้ม และพยายามเปิดปากพูดให้น้อยที่สุด
สือโหรวคิดว่าตัวเองสามารถทนรับความทรมานทุกรูปแบบบนโลกมนุษย์ได้ เรือนกายถูกแร่เนื้อเถือหนังนับพันนับหมื่นครั้งก็ดี ตายไปแล้วจิตวิญญาณถูกเอาไปจุดเป็นตะเกียงก็ช่าง นางล้วนทนได้ มีเพียงสายตาเช่นนี้ของจูเหลี่ยนที่นางจนปัญญาจะรับมือ
จูเหลี่ยนพลันขยับเข้ามาใกล้ สือโหรวจึงรีบขยับออกห่างหลายก้าวทันใด
จูเหลี่ยนพูดกลั้วหัวเราะเบาๆ ว่า “ร่างกายนี้ของเจ้าข้าพอจะมองออก น่าจะไม่ใช่ร่างของสตรี แต่ถูกคนร่ายเวทอำพรางตาของตระกูลเซียนบังตาเอาไว้ เป็นร่างของบุรุษอย่างแท้จริง…”
สือโหรวพูดเสียงเย็น “ท่านจูช่างมีสายตาเฉียบแหลมนัก”
จูเหลี่ยนพูดต่อไปว่า “ถ้าอย่างนั้นขอถามได้ไหมว่าคุณหนูอายุเท่าไหร่?”
สือโหรวใจสั่น “เจ้ากำลังล้อเล่นอะไรอยู่?”
ฝีเท้าของจูเหลี่ยนไม่หยุดชะงัก เขาหันหน้ามายิ้มให้สือโหรว “ข้าจูเหลี่ยนมองคนมองที่ใจ หน้าตางดงามหรืออัปลักษณ์ อันที่จริงไม่ได้สำคัญขนาดนั้น”
สือโหรวใกล้บ้าเต็มทีแล้ว
สือโหรวเดินเร็วๆ ไปข้างหน้า คิดว่าจะไป ‘พึ่งพา’ เฉินผิงอัน
คราวนี้จูเหลี่ยนไม่ได้ตามไป เพียงยิ้มบางๆ พูดอยู่ด้านหลังสือโหรวว่า “เพียงแค่ดูท่วงท่าที่เผยออกมาตามธรรมชาติยามแม่นางก้าวเดิน ต่อให้จงใจปิดบังเอาไว้ ข้าก็ยังมองออกถึงกลิ่นอายที่คล้ายกิ่งหลิวโบกสะบัด ดังนั้นข้าแน่ใจเลยว่าตอนที่แม่นางยังมีชีวิตอยู่ต้องเป็นสาวงามคนหนึ่งอย่างแน่นอน!”
สือโหรวคลุ้มคลั่งแล้วจริงๆ
เฉินผิงอันได้แต่หันหน้ากลับมา พูดผดุงความเป็นธรรมว่า “พอได้แล้ว จูเหลี่ยนเจ้าเองก็สำรวมตนสักหน่อยเถอะ วันหน้าห้ามเอาเรื่องนี้มาหยอกเย้าสือโหรวอีก”
จูเหลี่ยนพยักหน้ารับทันที “บ่าวเฒ่าจดจำเอาไว้แล้ว”
เผยเฉียนมึนงงเล็กน้อย อาจารย์ก็เรียนรู้วิชาเปลี่ยนหน้าไปจากตนเหมือนกันหรือ เมื่อครู่ก่อนจะหันหน้ากลับไป บนใบหน้ายังมีรอยยิ้มอยู่เลยนะ เหตุใดพอหันกลับไป สีหน้าถึงเปลี่ยนมาเป็นเครียดขรึมซะแล้วเล่า
เฉินผิงอันหันหน้ากลับมาขยิบตาให้เผยเฉียน
เผยเฉียนเข้าใจความนัยทางสายตาที่เขาบอกกับตนได้ทันที
เผยเฉียนแอบหัวเราะ พวกเราสองอาจารย์และศิษย์มีจิตเชื่อมโยงถึงกันจริงๆ
……
พื้นที่มงคลดอกบัว
คนมีใจในเมืองหลวงแคว้นหนันเยวี่ยนต่างก็สังเกตเห็นว่าบ้านที่อยู่ใกล้กับตรอกจ้วงหยวนหลังนั้นมีคนหนุ่มคนหนึ่งที่ดูแค่หน้าตาและบุคลิกลักษณะก็สามารถตัดสินได้ทันทีว่าเป็นเจ๋อเซียนมาอยู่อาศัย
เขาเก็บตัวเงียบแทบไม่เคยออกจากบ้าน ทุกครั้งที่โผล่หน้าออกมาข้างนอก หากไม่ถือพัดพับไว้ในมือก็ต้องหิ้วกาเหล้าไว้หนึ่งใบ เดินทอดน่องเตร็ดเตร่ แต่จะไม่เดินไปไกลนัก อีกทั้งเส้นทางการเดินยังกำหนดไว้เรียบร้อยแล้ว เดินกลับไปกลับมาอยู่แค่ถนนไม่กี่เส้น ตรอกไม่กี่ตรอก
เขามีชื่อว่าลู่ไถ ไม่รู้ว่าอาศัยช่องทางใดถึงได้ทยอยซื้อตัวเด็กสาวรุ่นเยาว์ที่มีชาติกำเนิดมาจากฝ่ายเลี้ยงรับรอง *(คือหน่วยงานต้อนรับ ดูแลแขก รับหน้าที่ด้านการแสดง ดนตรีขับร้อง อีกนัยหนึ่งหมายถึงหอนางโลมของทางการ)*ของเมืองหลวงมาเป็นสาวใช้ได้อย่างต่อเนื่อง แอบเลี้ยงดูไว้ในบ้านที่เงียบสงบห่างไกลหลังนั้น แต่พูดตามตรง หากว่ากันด้วยหน้าตาแล้ว สาวใช้สะสวยเหล่านั้นยังหน้าตาไม่งดงามเท่าเจ้านายของพวกนางคนนี้เลย
ลู่ไถไปขอตัวสายลับหญิงของแคว้นหนันเยวี่ยนที่หน้าตาพอใช้ได้คนหนึ่งมาจากอาจารย์ผู้เฒ่าจ้ง อาจารย์ที่สอนหนังสืออยู่ในโรงเรียนใกล้เคียง ให้มาเป็นสะพานเชื่อมสัมพันธ์ในการส่งข่าวระหว่างเขากับราชสำนัก เขาจะได้ไม่ต้องคอยบินไปบินมาอยู่ระหว่างบ้านตัวเองกับวังหลวง แบบนั้นฮ่องเต้แคว้นหนันเยวี่ยนคงขายหน้าแย่
วันนี้ยามฟ้าสาง ลู่ไถเดินออกจากบ้าน หุบพัดพับเข้ามาตีฝ่ามือเบาๆ ตอนที่เขาเดินเลี้ยวตรงหัวมุมถนนก็มีสตรีแต่งงานแล้วคนหนึ่งเดินออกมาจากร้านผ้าต่วนอย่างรวดเร็ว นางเดินมาหยุดอยู่ข้างกายลู่ไถอย่างระมัดระวัง ไม่กล้ามองคุณชายสูงศักดิ์ที่พบเห็นตัวได้ยากท่านนี้มากนัก นางกลัวว่าตัวเองจะตกหลุมรักอีกฝ่ายจนถอนตัวไม่ขึ้น วันใดวันหนึ่งอาจถึงขั้นไม่สนใจกิจการงานบ้านเมือง บุรุษในโลกชื่นชอบสาวงาม แล้วทำไมสตรีจะไม่ชอบบุรุษรูปงามเล่า? ใครบ้างที่ไม่ยินดีชมทัศนียภาพที่ทำให้คนสบายตาสบายใจ?
สายลับที่มีประสบการณ์โชกโชนซึ่งเคยซ่อนตัวอยู่นอกด่านผู้นี้แต่งกายเป็นสตรีแต่งงานแล้วในหมู่ชาวบ้านที่มีฐานะ นางเอ่ยเบาๆ ว่า “คุณชายลู่ สิบคนบนอันดับล่าสุดได้ออกมาจากเตาของหอจิ้งหย่างแล้ว อีกไม่นานก็จะแพร่ไปทั่วราชสำนักของสี่แคว้น เพียงแต่ว่าครั้งนี้ไม่ได้บอกลำดับที่แน่ชัด ค่อนข้างจะแปลกประหลาดอยู่บ้าง ทางฝั่งที่ว่าการของพวกเรารู้สึกว่าน่าจะเป็นเพราะคนที่ถูกจัดอันดับมีมากเกินไป อีกทั้งต่างฝ่ายต่างยังไม่มีสถิติให้เปรียบเทียบกันได้ ดังนั้นจึงยังไม่มีการจัดลำดับที่แน่นอนออกมา”
สายตาของลู่ไถมองไปยังเบื้องหน้า ยิ้มบางๆ กล่าวว่า “ไหนลองเล่ามาสิ”
น้ำเสียงของสตรีแต่งงานแล้วแผ่วเบานุ่มนวล “นอกจากคุณชายลู่และใต้เท้าราชครูของพวกเราแล้ว ยังมีอวี๋เจินอี้เจ้าประมุขพรรคหูซาน ลู่ฝ่างเซียนกระบี่แห่งยอดเขาเหนี่ยวคั่น ถังเถี่ยอี้แม่ทัพใหญ่แห่งหลงอู่ที่เพิ่งจากไปก่อนหน้านี้ไม่นาน ปี้เซิ่งเฉิงหยวนซาน อดีตเจ้าอาวาสผู้เฒ่าวัดป๋ายเหอที่กลับไปเป็นฆราวาส นอกจากนี้อีกสี่คนล้วนเป็นคนหน้าใหม่ หอจิ้งหย่างระบุภูมิหลังและฝีมือของพวกเขาไว้คร่าวๆ แล้ว”
ลู่ไถพยักหน้ารับ “มีอะไรบ้าง?”
คนหนึ่งคือนักพรตหนุ่มที่ปรากฏตัวครั้งแรกริมทะเลสาบแห่งหนึ่ง ไร้ชื่อไร้แซ่ สติเลอะเลือน พูดประโยคหนึ่งที่ไม่ว่าใครก็ฟังไม่เข้าใจซ้ำไปซ้ำมา
คนหนึ่งคือบัณฑิตชุดเขียวที่ขับไล่หนุ่มปักบุปผาโจวซื่อออกไปจากตำหนักคลื่นวสันต์ อายุประมาณสามสิบปี ดูเหมือนว่าจะเชี่ยวชาญวิชาตระกูลเซียน เขาป่าวประกาศว่าอีกสามปีให้หลังจะวัดฝีมือประชันความสามารถกับปรมาจารย์ใหญ่อวี๋เจินอี้ดูสักตั้ง
คนหนึ่งคือผู้เฒ่าร่างสูงใหญ่ที่บอกว่าตัวเองคือบรรพบุรุษของเหล่าผู้แสวงหาเซียนและยาอายุวัฒนะในแคว้นหนันเยวี่ยน การแต่งกายและน้ำเสียงเหมือนคนแคว้นหนันเยวี่ยนยุคต้นจริงๆ ตอนนี้คนผู้นี้กำลังเดินทางมายังแคว้นหนันเยวี่ยน บอกว่าเขาทำตามคำสั่งลับๆ ของฮ่องเต้สำเร็จแล้ว และตลอดทางที่เดินทางมาก็รับลูกศิษย์ไปแล้วสิบกว่าคน
อีกคนหนึ่งคือผู้ฝึกยุทธ์วัยกลางคนที่มีเพียงมือเปล่า เรือนกายแคระเตี้ยผิดปกติ ปรากฏตัวอยู่ที่ชายแดนนอกด่าน ชอบการเข่นฆ่า นิสัยแปลกประหลาด ทุกที่ที่เขาไปเยือน ทุกอย่างล้วนขึ้นอยู่กับความชื่นชอบ ฆ่าคนพร่ำเพื่อเป็นผักปลา ชาวบ้านบริสุทธิ์ที่ตายด้วยน้ำมือเขามีมากหลายร้อยคน กองทัพม้าเหล็กของทุ่งกว้างสี่ร้อยนายที่ไปล้อมสังหารคนผู้นี้ล้วนถูกเขาสังหารจนสิ้นซาก
สตรีแต่งงานแล้วกล่าวอีกว่า “นอกจากสิบคนในใต้หล้าซึ่งรวมถึงคุณชายด้วยแล้ว ยังมีลำดับรองอีกสิบคน องค์ชายของพวกเรา โจวซื่อหนุ่มปักบุปผาล้วนเป็นหนึ่งในนั้น”
ลู่ไถโบกพัด “เรื่องพวกนี้ไม่จำเป็นต้องพูดอย่างละเอียด เพราะมีความหมายไม่มาก บุคคลที่ในอนาคตมีหวังว่าจะเลื่อนขึ้นเป็นสิบอันดับต้นอย่างแท้จริงไม่มีทางปรากฎตัวบนอันดับรองเร็วขนาดนี้”
สตรีแต่งงานแล้วจึงได้แต่หยุดเดินอย่างรู้กาลเทศะ
ลู่ไถเดินไปบนถนนใหญ่เส้นหนึ่งที่กลับคืนสู่ความครึกครื้นดังเดิม ในอดีตที่นี่เคยมีคนผู้หนึ่งคุมเชิงอยู่กับปรมาจารย์ใหญ่ของหลายฝ่าย เขาต่อสู้จนฟ้าพลิกดินตลบ อีกทั้งยังห้าวหาญกร้าวแกร่ง ความเคลื่อนไหวในเวลานั้นรุนแรงมากจนชาวบ้านในเมืองหลวงแคว้นหนันเยวี่ยนต่างก็สัมผัสได้ ดังนั้นตอนนี้ที่นี่จึงกลายเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ในยุทธภพที่คนต่างถิ่นต้องมาเที่ยวชมให้เห็นกับตาให้จงได้ เพียงแต่ว่ายอดฝีมือในสำนักใหญ่และจอมยุทธ์ในยุทธภพเหล่านี้รู้ดีว่าที่นี่ต้องมีสายลับของแคว้นหนันเยวี่ยนคอยจับตามอง จึงไม่กล้าสร้างความวุ่นวาย ส่วนใหญ่แล้วแค่มาเดินผ่านไปรอบหนึ่งก็จากไป
ก่อนหน้านี้มีคนในลัทธิมารอาศัยโอกาสนี้ทำท่าลับๆ ล่อๆ พยายามจะหยั่งเชิงบ้านที่มีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องกับลัทธิมารอย่างลึกซึ้งหลังนั้น แต่ทุกคนล้วนถูกลู่ไถจัดการอย่างหมดจด หาไม่ถูกเขาบิดคอ ก็ต้องช่วยเขาทำงาน กระจายตัวออกไปยังบริเวณใกล้เคียงกับบ้านโดยที่ยังมีชีวิตอยู่ เวลานั้นภูเขาสามลูกของลัทธิมารที่แตกแยกล้วนได้ยินว่าคนผู้นี้อยากจะทำให้ภูเขากลับมารวมกันเป็นหนึ่งอีกครั้ง อีกทั้งยังให้กำหนดระยะเวลาต่อยักษ์ใหญ่คนสำคัญในลัทธิมารอย่างพวกเขาว่า หากถึงเวลาที่กำหนดแล้วยังไม่ยอมไปโขกหัวกราบไหว้ในเมืองหลวงแคว้นหนันเยวี่ยน เขาก็จะไปเยือนแต่ละคนถึงถิ่น ถอนรากถอนโคนสามสายของลัทธิมารให้สิ้นซาก เจ้าคนผู้นี้บ้าคลั่งอย่างถึงที่สุด ถึงขนาดให้คนนำความมาแจ้งแก่พวกเขาอย่างโจ่งแจ้งว่า ตอนนี้ลัทธิมารกำลังเผชิญกับหายนะล้างตระกูล กองกำลังทั้งสามสายควรจะร่วมมือร่วมแรงใจกำจัดศัตรูคนเดียวกัน ถึงจะมีโอกาสรอดชีวิตเสี้ยวหนึ่ง
สีท้องฟ้ายังเช้าอยู่มาก คนบนถนนมีไม่เยอะ กลิ่นอายของหมู่ชาวบ้านยังไม่ถือว่าหนักหน่วง ลู่ไถเดินอยู่บนถนน เงยหน้ามองท้องฟ้า “ฟ้าใกล้เปลี่ยนสีแล้ว”
หรือว่าพื้นที่มงคลดอกบัวแห่งนี้จะกลายไปเป็นถ้ำสวรรค์ขนาดเล็กแห่งหนึ่งจริงๆ? นี่ต้องใช้เงินเทพเซียนมากมายเท่าไหร่กัน? รากฐานของเจ้าอารามท่านนี้ช่างลึกล้ำจนมองไม่เห็นก้นบึ้งจริงๆ
ลู่ไถเดินเลี้ยวเข้าไปในตรอกเล็กๆ ก็เจอกับเด็กชายที่กำลังจะไปเรียนหนังสือในโรงเรียนพอดี เฉาฉิงหล่าง
ลู่ไถหยุดเดิน ถามด้วยรอยยิ้ม “ทำไมวันนี้ไปเรียนเช้านักเล่า?”
เฉาฉิงหล่างหน้าแดงเล็กน้อย “พี่ใหญ่ลู่ เมื่อวานไปรับเงินจากที่ว่าการมา เมื่อคืนวานเลยรู้สึกอยากกินเกี้ยวน้ำของร้านนั้นเป็นพิเศษ ทางค่อนข้างไกล เลยต้องรีบไปให้เช้าหน่อย พี่ใหญ่ลู่จะไปด้วยกันไหม?”
ลู่ไถส่ายหน้ายิ้มๆ “ข้าไม่ค่อยชอบกินของพวกนี้ เจ้าไปเองเถอะ”
เฉาฉิงหล่างจึงบอกลาแล้ววิ่งเหยาะๆ จากไป ก่อนจะหยุดเท้าหันหน้ากลับมา “ใช่แล้ว พี่ใหญ่ลู่ เมื่อวานระหว่างทางกลับบ้านข้าแวะซื้อเหล้ามาให้ท่านกาหนึ่ง วางไว้บนโต๊ะ ท่านดื่มได้เลยนะ”
ลู่ไถพยักหน้ารับ
เขามีกุญแจบ้านของบ้านเฉาฉิงหล่าง
เฉาฉิงหล่างหมุนกายวิ่งออกไปจากตรอก
เวลาพูดคุยกับคนอื่น เด็กชายเฉาฉิงหล่างผู้นี้จะมีท่าทางจริงจังเป็นพิเศษ ดังนั้นเฉาฉิงหล่างจะไม่มีทางวิ่งไปพูดไปเด็ดขาด
ลู่ไถเดินไปทางบ้านหลังนั้น เปิดประตูหน้าบ้าน แล้วก็เห็นว่าบนโต๊ะของห้องหลักมีเหล้ากาหนึ่งวางไว้จริงๆ เงินเจ็ดเฉียน (เท่ากับหน่วยสลึงของไทย) สำหรับเฉาฉิงหล่างที่จะกินเกี้ยวน้ำสักถ้วยยังต้องใคร่ครวญเป็นครึ่งๆ คืนแล้ว ไม่ใช่ถูกๆ เลย
ลู่ไถหยิบกาเหล้าขึ้นมา หิ้วม้านั่งมานั่งอยู่นอกธรณีประตู บิดข้อมือหนึ่งครั้ง กลางฝ่ามือก็มีแมลงตัวเล็กที่แผ่กลิ่นหอมของเหล้าหมักอบอวล เปิดกาเหล้า โยนเจ้าตัวน้อยที่มีชื่อว่าแมลงสุรานี้ลงไปในกา จากนั้นก็รอให้เหล้าในกานี้ตกตะกอนอย่างรวดเร็วจนมีรสชาติเหมือนสุรารสเลิศที่ออกมาจากโรงเก็บหรือฝังไว้ใต้ดินมานานหลายสิบปี
ลู่ไถแกว่งกาเหล้าในมือเบาๆ ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้ม
ครั้งแรกที่มาพบเฉาฉิงหล่าง ลู่ไถก็พูดเข้าประเด็นทันที
“ข้าชื่อลู่ไถ ลู่ที่แปลว่าพื้นดิน ไถที่แปลว่ายกขึ้น เป็นเพื่อนของเฉินผิงอัน เป็นเพื่อนรักที่ผ่านประสบการณ์เป็นตายมาด้วยกัน”
ตอนนั้นดวงตาของเด็กคนนั้นเป็นประกายขึ้นมาทันใด
ภายหลังพอลู่ไถเล่าเรื่องเกี่ยวกับเฉินผิงอันให้ฟัง
เฉาฉิงหล่างก็เรียกเขาว่าพี่ใหญ่ลู่ทันที
จากนั้นลู่ไถก็มีกุญแจบ้านของบ้านที่ตั้งอยู่อย่างโดดเดี่ยวหลังนี้
มีอยู่ครั้งหนึ่งลู่ไถยิ้มถามเฉาฉิงหล่าง “เจ้าอยากเป็นคนอย่างเฉินผิงอันหรือไม่?”
“อยาก!”
“ถ้าอย่างนั้นอยากดีกว่าเฉินผิงอันหรือไม่?”
“ไม่อยาก”
“เพราะไม่กล้าคิดงั้นหรือ? รู้สึกว่ายากเกินไป ห่างชั้นกันมากเกินไป?”
“ก็แค่ไม่อยากเท่านั้น”
—–