บทที่ 548 ตกใจ

บัลลังก์พญาหงส์

เห็นได้ชัดว่าหลิวเอินเข้าใจผิด ถาวจวินหลันมองไปทางเขาทีหนึ่ง ไม่ได้อธิบายอะไรมาก เพียงแค่พูดว่า “ยังไม่ถึงขั้นนั้น แต่คิดว่าคงรับได้อีกไม่นานแล้ว ดังนั้นทางที่ดีให้ท่านอ๋องรีบกลับมาโดยเร็ว” 

 

 

หลิวเอินถอนใจโล่งอก แต่ท่าทางยังคงเคร่งขรึมเหมือนเดิม พยักหน้าพูดว่า “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ก็ควรต้องแจ้งให้ท่านอ๋องทราบขอรับ“ 

 

 

“สืบข่าวขององค์รัชทายาทมาได้หรือไม่?” ถาวจวินหลันถามหลิวเอินอีก “องค์รัชทายาทจะเดินทางกลับมาเมืองหลวงหรือไม่?” 

 

 

หลิวเอินพยักหน้า “ได้ยินว่าออกเดินทางกลับเมืองหลวงแล้วขอรับ แต่เริ่มออกเดินทางหลังจากท่านอ๋องไปถึงที่นั่นแล้วขอรับ” 

 

 

องค์รัชทายาทเริ่มออกเดินทางแล้วก็ถือว่าเป็นเรื่องดี นางกลัวเหลือเกินว่าองค์รัชทายาทจะไม่ยอมออกเดินทางกลับเมืองหลวง 

 

 

ขอเพียงองค์รัชทายาทกลับเมืองหลวง นางก็คิดจะทำเรื่องปลดองค์รัชทายาทเสียที ต่อให้หลี่เย่ไม่อยู่ในเมืองหลวงก็ตามแต่ อย่างไรเรื่องการแต่งตั้งองค์รัชทายาทคนใหม่ก็ยังผ่อนผันไปก่อนได้ ทำเช่นนี้ก็ดีต่อชื่อเสียงของหลี่เย่เช่นเดียวกัน 

 

 

“ด้านตระกูลหวังมีความเคลื่อนไหวอะไรบ้างหรือไม่?” เพราะว่าตระกูลหวังเป็นที่พึ่งของฮองเฮา ดังนั้นหลังจากเซิ่นเอ๋อร์หายไป นางก็ให้หลิวเอินคอยจับตาดูความเคลื่อนไหวของตระกูลหวัง เพราะเป็นไปได้ว่าอาจจะเอาเซิ่นเอ๋อร์ไปซ่อนไว้ที่บ้านตระกูลหวัง 

 

 

นางข่มขู่พระชายาองค์รัชทายาทให้ส่งเซิ่นเอ๋อร์คืนมาก่อน คิดว่าหากทางตระกูลหวังซ่อนเซิ่นเอ๋อร์เอาไว้จริง ตอนนี้ก็น่าจะต้องเริ่มเคลื่อนไหวแล้ว 

 

 

หลิวเอินส่ายหน้า “ตอนนี้ยังไม่มีความเคลื่อนไหวใดๆ ขอรับ แต่ให้คนคอยจับตาดูอยู่ตลอด หากมีความเคลื่อนไหวอะไร พวกเราจะแจ้งให้ทราบทันทีขอรับ” 

 

 

“อืม เจ้าไปสืบมาอีกว่าตอนนี้ในบรรดาคนที่เข้าพบฮ่องเต้ มีนักพรตหรือไม่? นักพรตที่สามารถผสมยาได้” ถาวจวินหลันคิดถึงคำพูดของไทเฮา จึงถอนหายใจออกมา จากนั้นก็พูดอีกว่า “หากสืบพบ ก็ไปถามดูว่าใครแนะนำนักพรตคนนั้นให้ฮ่องเต้” 

 

 

ฮ่องเต้ไม่มีทางคิดเรื่องผสมยาแปรยาขึ้นมาเองโดยไม่มีเหตุผลแน่นอน ดังนั้นคิดว่าคงมีคนคอยเป่าหูฮ่องเต้อยู่ บางทีนางถามขันทีเป่าฉวนตรงๆ น่าจะรู้เร็วกว่า แต่ขันทีเป่าฉวนรับใช้ปรนนิบัติเบื้องหน้าฮ่องเต้ เกรงว่านางคงไม่ได้พบ 

 

 

เมื่อคิดได้เช่นนี้ ถาวจวินหลันก็ฝากคำพูดให้หลิวเอินไปบอกถาวจิ้งผิง “ให้เขาใกล้ชิดกับขันทีเป่าฉวนเอาไว้” 

 

 

หากขันทีเป่าฉวนมีใจคิดช่วยจวนตวนอ๋องจริง เขาย่อมต้องเสนอตัวบอกถาวจิ้งผิงเอง อย่างไรถาวจิ้งผิงก็เป็นน้องชายแท้ๆ ของนาง ขันทีเป่าฉวนอยากจะฝากอะไรมาบอกนาง ถาวจิ้งผิงย่อมเป็นตัวเลือกที่เหมาะสมที่สุด 

 

 

พอกำชับเรื่องเหล่านี้แล้ว ถาวจวินหลันก็เริ่มว่าง ยามนี้นางจะได้พักผ่อนเต็มที่เสียที 

 

 

ถาวจวินหลันให้คนอุ้มเด็กสามคนเข้ามา หยอกล้อเล่นอยู่ครู่หนึ่งก็เห็นว่าอาอู่เริ่มร่าเริงกว่าเมื่อวานอยู่เล็กน้อย จึงยิ้มพูดกับแม่นมของอาอู่ว่า “เจ้าทำได้ดี กลับไปก็ไปรับรางวัลจากปี้เจียว” 

 

 

แม่นมคาดไม่ถึง เอ่ยขอบคุณติดๆ กัน แล้วยังบอกว่าจะดูแลเอาใจใส่อาอู่มากกว่าเดิม 

 

 

ถาวจวินหลันพยักหน้า แต่ก็ไม่ได้พูดว่าอาอู่อาจจะอยู่ได้แค่ไม่กี่วันเท่านั้น 

 

 

พอมองดูอาอู่ ถาวจวินหลันก็ยิ่งรู้สึกเศร้าใจ องค์รัชทายาทมีลูกไม่ได้อีก อาอู่ก็เป็นสายเลือดเพียงหนึ่งเดียวขององค์รัชทายาท เกรงว่าฮองเฮากับพระชายาองค์รัชทายาทคงจะคิดเช่นเดียวกัน คือเลี้ยงดูอาอู่ไว้ใต้ชื่อของพระชายา เช่นนั้นในตอนนี้นางก็ไม่อาจช่วยหยวนฉงหวาได้ 

 

 

แต่เรื่องที่รับปากไปแล้วคงไม่อาจคืนคำ ดังนั้นนางจึงต้องคิดหาวิธีให้ดี 

 

 

หรือว่ายื้อเวลาคืนอาอู่นานออกไปอีกหน่อย พอองค์รัชทายาทกลับเข้าเมืองหลวงแล้วค่อยว่ากันอีกที องค์รัชทายาทน่าจะไม่ยอมให้พระชายาองค์รัชทายาทเลี้ยงดูอาอู่ มิเช่นนั้นคงไม่ปล่อยให้คนเลี้ยงดูอาอู่อยู่นอกวังหลวงจนถึงอายุสี่เดือนแบบนี้ 

 

 

แล้วยังมีอีกวิธี นั่นก็คือใช้อี๋เฟย อย่างไรอี๋เฟยก็เป็นแม่แท้ๆ ของอาอู่ องค์รัชทายาทย่อมต้องให้ความสำคัญกับความคิดเห็นของนาง 

 

 

หรืออาจจะหาวิธีจากทางฝั่งไทเฮา? 

 

 

ถาวจวินหลันเหม่อลอยไปกว่าครึ่งชั่วยาม แต่ยังคงหาข้อสรุปไม่ได้ 

 

 

กลายเป็นซวนเอ๋อร์ที่เล่นจนเหนื่อย มองนางตาละห้อย พูดเสียงเบาว่า “ท่านแม่ กินขนม” 

 

 

ถาวจวินหลันได้สติกลับมา หยิบขนมนมกรอบออกมาจากในถาดส่งให้ซวนเอ๋อร์ ซวนเอ๋อร์ค่อยๆ บิเป็นชิ้นเล็กๆ ป้อนเข้าปากหมิงจู แล้วส่ายหน้าให้อาอู่ “เจ้ายังเด็ก กินไม่ได้” พอพูดจบตนเองก็กัดเข้าปากคำหนึ่ง 

 

 

แต่สายตาละห้อยของอาอู่ก็ให้ซวนเอ๋อร์รู้สึกผิด สุดท้ายแล้วซวนเอ๋อร์ก็รีบจัดการขนมนมกรอบเข้าปากทั้งหมดภายในสองคำ ต่อให้ขนมแผ่นหนึ่งจะขนาดใหญ่ไม่เกินกำปั้นของเขา แต่ก็ยังยัดเข้าไปจนแก้มตุ่ย 

 

 

ปี้เจียวยิ้มชมซวนเอ๋อร์ “คุณชายซวนเอ๋อร์น่ารักเสียจริง เด็กขนาดนี้ก็รู้จักแบ่งปันเสียแล้ว” 

 

 

ซวนเอ๋อร์ได้รับคำชมก็ดีใจ จึงหัวเราะภูมิใจ ทั้งที่ในปากยังพองเต็มไปด้วยเศษขนม พออ้าปากหัวเราะก็ไหลลงคอ เขาจึงรีบหุบปากลง จากนั้นก็พูดไม่ชัดเท่าไรนัก “ข้าเป็นพี่ชาย” 

 

 

ถาวจวินหลันแทบจะละลายไปเพราะท่าทางแก่แดดของเด็กคนนี้ โอบเขาเข้ามาโดยไม่สนใจว่าเขากินอย่างไม่มีมารยาท หัวเราะไปก็จัดการกับเศษขนมที่ตกลงบนเสื้อผ้า เอ่ยชื่นชมเขา “ซวนเอ๋อร์ทำถูกแล้ว เป็นพี่ชายก็ควรทำเช่นนี้ ต่อไปนี้ซวนเอ๋อร์ก็ต้องเป็นเช่นนี้ตลอด” 

 

 

ซวนเอ๋อร์รีบพยักหน้ารับคำ 

 

 

ถาวจวินหลันเริ่มคิดรำพัน ก่อนหน้านี้ไทเฮาเลี้ยงเช่นนั้น นางยังกังวลว่าซวนเอ๋อร์จะกลายเป็นเด็กบ้าอำนาจ แต่คิดไม่ถึงว่าไม่ได้กลายเป็นเด็กบ้าอำนาจ แต่กลับทำให้ภูมิใจถึงขนาดนี้ 

 

 

มีเด็กอายุสี่ขวบบ้านไหนบ้างน้ำใจงามเหมือนซวนเอ๋อร์? 

 

 

แต่ตอนที่นางกำลังนั่งครุ่นคิด ซวนเอ๋อร์ก็กินขนมหมดแล้ว คล้องแขนของนาง แล้วเริ่มออดอ้อน “ท่านแม่ ตอนกลางคืนนอนกับท่านแม่” เพราะว่ายังเด็ก และยังคงติดพันถาวจวินหลันเป็นอย่างมาก ก่อนหน้านี้ไม่รู้ว่านอนกับถาวจวินหลันได้ แต่พอได้นอนกับถาวจวินหลันแล้วก็จำได้ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา 

 

 

ที่จริงแล้วถาวจวินหลันรู้สึกผิดต่อลูกของตนเองอยู่เล็กน้อย ปกติตอนที่หลี่เย่อยู่ในเรือน ย่อมไม่สามารถให้ลูกนอนกับตนเองได้ และตอนเด็กๆ นางก็มีเวลาให้กับซวนเอ๋อร์น้อยเสียยิ่งกว่าน้อย 

 

 

ดังนั้นพอซวนเอ๋อร์พูดขอร้องนาง นางย่อมไม่อาจทำใจปฏิเสธได้ จึงรับปากทันที แม้แต่หมิงจูเองก็พลอยเกาะพี่ชายได้นอนอยู่ด้วยกันไปด้วย 

 

 

ตกกลางคืนหมิงจูต้องลุกขึ้นมาจัดการธุระ ดังนั้นก่อนที่ถาวจวินหลันจะนอนก็ให้คนเตรียมน้ำร้อนมาวางไว้ในห้อง หลังจากหมิงจูทำธุระเสร็จแล้วจะต้องล้างก้น จึงต้องเตรียมน้ำร้อนไว้พร้อม 

 

 

แน่นอนว่าแม่นมและบ่าวรับใช้อยู่เวรดึกภายในห้อง เกรงว่านางเพียงคนเดียวจะยุ่งจนทำไม่ทัน 

 

 

ตกดึกถาวจวินหลันก็อุ้มทั้งหมิงจูและซวนเอ๋อร์ไปนอนด้านใน ส่วนนางนอกด้านนอก เกรงว่าตกดึกซวนเอ๋อร์นอนแล้วจะดิ้นจนตกเตียง แต่เพราะกลัวซวนเอ๋อร์จะทับหมิงจู ดังนั้นระหว่างซวนเอ๋อร์กับหมิงจูจึงมีหมอนกั้นอยู่อีกใบหนึ่ง 

 

 

ต่อให้เตรียมไว้แล้ว แต่เมื่อเด็กสองคนนอนอยู่ข้างๆ นางก็ไม่กล้าหลับลึกเท่าไรนัก พยายามครองสติเอาไว้ พอมีความเคลื่อนไหวนางก็จะตื่นขึ้นมาทันที 

 

 

เมื่อถึงยามอิ๋น[1] หมิงจูก็เริ่มขยับตัว ถาวจวินหลันตื่นขึ้นมาในทันที จากนั้นก็อุ้มหมิงจูออกไปปัสสาวะ 

 

 

การกระทำของนางทำให้บ่าวรับใช้และแม่นมล้วนตื่นขึ้นมา ทันใดนั้นก็ยุ่งขึ้นมาทันที ใครที่เตรียมน้ำร้อนก็เตรียมไป หยิบผ้าอ้อมก็หยิบไป เช็ดปัสสาวะก็ต้องไปเช็ด 

 

 

ถาวจวินหลันเห็นเช่นนั้นก็หัวเราะส่ายหน้า “ยุ่งยากกว่าปกติเสียอีก” 

 

 

แม่นมหัวเราะ “เป็นเหมือนเดิมเจ้าค่ะ ปกติแล้วมีบ่าวคอยดูแลอยู่ข้างๆ คุณหมิงจูตื่นขึ้นมากลางดึก ไม่เพียงแค่ข้าที่ยุ่ง บ่าวรับใช้เองก็ยุ่งเช่นเดียวกัน แต่พรุ่งนี้เกรงว่าชายารองจะต้องนอนนานอีกสักหน่อยนะเจ้าคะ มิเช่นนั้นจะไม่มีแรงเอาเจ้าค่ะ” 

 

 

ถาวจวินหลันพยักหน้า ก่อนหาวเสียงเบา “คงจะเป็นเช่นนั้น ทรมานเช่นนี้ นอนได้ดีก็คงแปลก” 

 

 

พอจัดการเสร็จแล้วนั้นถาวจวินหลันกำลังล้มตัวลงนอน จู่ๆ ก็รู้สึกผิดปกติ จึงหันไปมองบรรดาแม่นม “พวกเจ้าไม่คิดว่าข้างนอกเงียบเกินไปอย่างนั้นหรือ?” 

 

 

แม่นมนิ่งอึ้งไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็ตั้งใจเงี่ยหูฟัง ก่อนมีท่าทีประหลาดใจ “เงียบเกินไปเจ้าค่ะ ปกติแล้วด้านนอกจะยังมีบ่าวรับใช้ชราคอยเฝ้ายามดึก และเวลานี้ก็ควรต้องเข้ามาถามว่าพวกเราต้องการเพิ่มน้ำหรือไม่เจ้าค่ะ” 

 

 

ถาวจวินหลันก็คิดว่าแปลกๆ ด้านนอกมีคน มองเห็นข้างในไฟสว่าง แน่นอนว่าต้องเข้ามาดู แต่ตอนนี้ไม่เพียงแค่ไม่เข้ามา แต่ด้านนอกกลับไม่มีความเคลื่อนไหวแม้แต่น้อย ช่างน่าแปลกใจจริงๆ 

 

 

“น่าจะหลับสนิทเจ้าค่ะ” แม่นมพูดพลางลุกขึ้นไปดูสถานการณ์  

 

 

แม่นมเพียงแค่แง้มประตูไปมองทีหนึ่ง จากนั้นก็รีบปิดอย่างรวดเร็ว ก่อนลงกลอนประตูอย่างฉับพลัน กดเสียงเบาพูด “ไม่ดีแล้วเจ้าค่ะ ด้านนอกมีกลิ่นควันแปลกๆ ทุกคนหลับสนิท แปลกมากเจ้าค่ะ” 

 

 

ถาวจวินหลันใจหล่นวูบ รีบลงจากเตียงแล้วพุ่งไปทางหน้าต่าง ทะลวงหน้าต่างให้กลายเป็นรูเล็กๆ รูหนึ่งอย่างระมัดระวัง ก่อนมองออกไปข้างนอก 

 

 

ยังดีที่แสงไฟภายในห้องไม่ได้สว่างมากนัก อีกทั้งยังมีกองหิมะที่ทับถมกันด้านนอก ดังนั้นจึงขมุกขมัวมองอะไรไม่เห็น เป็นเงาตะคุ่มๆ แต่ก็ยังพอมองเห็นภาพสถานการณ์ด้านนอก 

 

 

แน่นอนว่าตอนนี้นางมองไม่เห็นเงาคนแม้แต่คนเดียว ด้านนอกนั้นนิ่งสงบ คิดดูแล้วก็เป็นภาพเหตุการณ์ทั่วไปของกลางคืนวันธรรมดาๆ วันหนึ่ง แต่ถาวจวินหลันรู้สึกใจไม่ดีเล็กน้อย 

 

 

เมื่อคิดดูแล้ว นางก็หันไปสั่งบ่าวรับใช้คนนั้น “เจ้าปีนหน้าต่างออกไป ไปตามคนคุ้มกันมา” 

 

 

บ่าวรับใช้คนนั้นตกใจจนมึนงงไป พอได้ยินถาวจวินหลันสั่งตนเองก็รีบพยักหน้ารับคำ จากนั้นก็สวมเสื้อผ้าเตรียมตัวออกไป 

 

 

ถาวจวินหลันก็หยิบผ้ากันลมสีเข้มจากตู้ แล้วส่งให้บ่าวคนนั้น “เจ้าใส่เอาไว้ ระวังตัวด้วย อีกอย่างออกไปจากประตูหลังของเรือน อย่าไปทางประตูหน้า” 

 

 

ประตูหลังของเรือนมีเอาไว้ใช้ตอนลำเลียงกระโถน อย่างไรแล้วกระโถนก็ผ่านทางประตูหน้าไม่ได้มิใช่หรือ? หากไม่ทันระวังถูกเจ้านายพบเห็นเข้า ก็นับว่าให้เจ้านายเห็นของสกปรกหรืออย่างไร? และในวันปกติที่ขนส่งของส่วนตัวก็ผ่านทางนี้เช่นเดียวกัน 

 

 

ยังดีที่ถาวจวินหลันมีกุญแจสำรอง ดังนั้นจึงไม่ต้องกังวลว่าประตูจะถูกลงกลอนออกไปไม่ได้ 

 

 

บ่าวรับใช้ปีนออกไปทางหน้าต่าง อ้อมออกจากห้องวิ่งไปข้างนอกไปอย่าเงียบเชียบไร้ร่องรอย 

 

 

ถาวจวินหลันกลับให้แม่นมดับเทียน จากนั้นต่างคนต่างก็ก็อุ้มเด็กมาหลบที่หลังเตียง ในนี้มีลิ้นชักอยู่บานหนึ่ง ถาวจวินหลันครุ่นคิด ก่อนจะเอาผ้านวมสองผืนออกมา จากนั้นก็วางเด็กไว้ข้างใน ปากลิ้นชักย่อมไม่กล้าปิดสนิท ดึงเอามุมผ้าห่มผืนหนึ่งมาขัดเอาไว้ ทำเช่นนี้ก็ไม่ถึงขั้นที่ทำให้เด็กสองคนขาดอากาศหายใจ 

 

 

ถาวจวินหลันพูดกับแม่นมเสียงเบา “หากมีขโมยจริง พวกเราจะต้องทำเหมือนในห้องนี้มีเพียงพวกเราสองคนเท่านั้น เข้าใจหรือไม่?” 

 

 

เด็กทั้งสองคนหลับสนิท แม้แต่ฟ้าผ่าก็ไม่ตื่นขึ้นมา ดังนั้นจึงไม่ต้องห่วงว่าจะถูกรบกวนจนร้องไห้เปิดเผยที่ซ่อน 

 

 

สีหน้าของแม่นมพลันซีดเผือด เสียงก็สั่นเล็กน้อย “ชายารอง ท่านวางใจเถิดเจ้าค่ะ” 

 

 

 

 

 

[1] ยามอิ๋น คือช่วงเวลาตีสามถึงตีห้า