บทที่ 491 เจตนาร้าย

เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此]

ตอนที่ 491 เจตนาร้าย

 

 

รุ่งเช้าวันต่อมา

 

 

ในที่สุดสายฝนก็หยุดโปรยปรายลงมาแล้ว

 

 

อากาศขมุกขมัว

 

 

แต่สุดท้ายทุกคนก็ได้เห็นโฉมหน้าของดวงอาทิตย์

 

 

หลังจากขาดหายแสงแดดไปเนิ่นนาน ในที่สุด วันนี้ก็มีแสงแดดทอประกายลงมาจากกลุ่มก้อนเมฆ สร้างความอบอุ่นให้แก่สิ่งมีชีวิตที่อยู่บนพื้นโลก

 

 

ชาวเมืองหยุนเมิ่งที่ต้องเผชิญหน้าความเดือดร้อนจากพายุฝนและอุทกภัยน้ำท่วม สามารถออกมาจากที่พักและแหล่งหลบภัย เพื่อสัมผัสถึงความอบอุ่นของแสงแดดได้เป็นครั้งแรกในรอบกว่าสัปดาห์

 

 

เมืองหยุนเมิ่งไม่เคยมีพายุฝนตกหนักขนาดนี้มาก่อน

 

 

นี่คือพายุฝนระดับรุนแรงครั้งแรกในประวัติศาสตร์

 

 

บนท้องถนนในตัวเมือง น้ำที่ขังนองได้ถูกระบายออกไปหมดแล้ว ทุกคนสามารถมองเห็นพื้นถนนปูอิฐได้อีกครั้ง

 

 

ประตูเมืองฝั่งตะวันตกเปิดออกอย่างแช่มช้า

 

 

แล้วภายใต้การนำของแม่ทัพจากหน่วยนักรบมังกรดำ ขบวนนายทหารในชุดเกราะเหล็กกว่า 2,000 ชีวิต ก็เคลื่อนทัพผ่านประตูเมืองเข้ามาด้วยความเร่งรีบ จุดหมายปลายทางของพวกเขาอยู่ที่วิหารประจำเมืองหยุนเมิ่ง

 

 

พลัน ในอากาศเต็มไปด้วยรังสีแห่งการฆ่าฟัน

 

 

ในเวลาเดียวกันนี้ บรรดามือกระบี่ชื่อดังที่แอบเข้าเมืองมาล่วงหน้าเมื่อไม่กี่วันก่อน ก็ได้เดินทางตรงไปยังภูเขาซึ่งเป็นที่ตั้งของวิหารเทพกระบี่ประจำเมืองเช่นกัน

 

 

ทุกคนล้วนอยากเป็นสักขีพยานในการตรวจสอบวิหารและอัญเชิญเทพเจ้า

 

 

นี่คือเหตุการณ์ที่เต็มไปด้วยความลึกลับและความมหัศจรรย์

 

 

นี่คือการต่อสู้ที่มีชีวิตคนจำนวนมากเป็นเดิมพัน

 

 

ไม่เคยมีการตรวจสอบวิหารเกิดขึ้นมานานแล้ว

 

 

พิธีกรรมนี้เป็นเสมือนเรื่องเล่าขานที่มีอยู่แต่ในตำนาน

 

 

ทว่า วันนี้ มันกลับกลายเป็นความจริง

 

 

มีข่าวลือว่าคุณชายเหลียนซานถึงกับมาคุมงานที่นี่ด้วยตนเองภายใต้คำสั่งของเว่ยหมิงเฉิน

 

 

นอกจากมีของวิเศษอยู่ในมือแล้ว รอบตัวคุณชายจอมปลอมก็ยังมีสุดยอดมือกระบี่อีกมากมายด้วยเช่นกัน

 

 

สี่องครักษ์ที่เคยปรากฏตัวก่อนหน้านี้ เป็นเพียงจุดเริ่มต้นเท่านั้น

 

 

เว่ยหมิงเฉินยังคงมีบริวารอยู่อีกมากมายนอกจากมือกระบี่ประจำตัวทั้งสี่คน

 

 

ยิ่งไปกว่านั้น เฉียนหาวยังนับเป็นหนึ่งในเก้าเมืองใหญ่ประจำจักรวรรดิเป่ยไห่ ขุมกำลังของผู้คนที่ซุกซ่อนอยู่เป็นเวลากว่า 100 ปี จึงมีความน่าเกรงขามเกินจินตนาการ

 

 

แม้ว่าทางวิหารประจำเมืองหยุนเมิ่งจะมีผู้ที่ถูกเลือกอย่างหลินเป่ยเฉินคอยหนุนหลังอยู่ทั้งคน แต่สำหรับสายตาของผู้คนส่วนใหญ่แล้ว วิหารเล็กๆ จากเมืองริมทะเลแห่งนี้ ก็ยังเป็นรองขุมกำลังของเว่ยหมิงเฉินอย่างชัดเจน

 

 

ในสายตาของผู้คนส่วนใหญ่ การต่อสู้ครั้งนี้ ฝ่ายวิหารเมืองหยุนเมิ่งจะต้องพ่ายแพ้แน่นอน

 

 

ตลอดระยะเวลาหลายปีนี้ วิหารเมืองหยุนเมิ่งเป็นที่พักพิงของผู้ตกทุกข์ได้ยาก คอยรักษาคนป่วยและช่วยเหลือผู้บาดเจ็บ แจกจ่ายอาหารให้กับผู้ยากไร้ ด้วยความที่ทำความดีอย่างต่อเนื่องเช่นนี้เอง ในเวลาเพียงไม่นาน วิหารเมืองหยุนเมิ่งก็กลายเป็นศูนย์รวมความศรัทธาของชาวเมืองไปโดยปริยาย

 

 

ว่ากันว่าเหตุผลที่เมืองหยุนเมิ่งสามารถเจริญเติบโตได้ถึงขนาดนี้ นอกจากความยอดเยี่ยมในการบริหารงานของท่านเจ้าเมืองคนเก่าอย่างหลิงจุนเซวียนแล้ว อีกเหตุผลสำคัญก็คือการดำรงอยู่ของวิหารเทพกระบี่ประจำเมือง ซึ่งมีนักพรตหญิงชินเป็นผู้คอยกำกับงานทั้งหมด

 

 

แต่การตรวจสอบวิหารในครั้งนี้ ถึงชาวเมืองหยุนเมิ่งนับหมื่นคนจะออกมาช่วยหยิบจับอาวุธ เพื่อต่อสู้กับกองทัพของหน่วยนักรบมังกรดำ แต่มันก็คงไม่สามารถทำให้ผลลัพธ์การต่อสู้เปลี่ยนแปลงไปได้อีกแล้ว

 

 

พวกเขาเป็นเพียงมดปลวกตัวเล็กตัวน้อย จะสามารถไปต่อสู้กับมังกรตัวใหญ่ได้อย่างไร?

 

 

เวลาเดินไปข้างหน้าอย่างเชื่องช้า

 

 

กองทัพของเมืองเฉียนหาวมารวมตัวกันตั้งแต่เช้าตรู่

 

 

แต่มีการประกาศว่าการต่อสู้ระหว่างหัวหน้ามือกระบี่ทั้งหกคนจากทั้งสองฝ่ายนั้นจะเริ่มขึ้นในช่วงบ่าย

 

 

รอบภูเขาซึ่งเป็นที่ตั้งของวิหารในขณะนี้ มีผู้คนมารวมตัวกันอยู่มากมาย

 

 

ชาวเมืองหยุนเมิ่งมาให้กำลังใจบรรดานักบวชในวิหาร

 

 

พวกเขารวมตัวกันอยู่บริเวณตีนเขา เงยหน้ามองขึ้นไปยังวิหารที่อยู่บนยอดเขา บางคนหลับตาลงและก้มศีรษะสวดภาวนา

 

 

ชาวเมืองยังคงมารวมตัวกันมากขึ้นเรื่อยๆ

 

 

ผู้คนจำนวนมากไม่เข้าใจว่าการตรวจสอบครั้งนี้นับเป็นเรื่องรุนแรงขนาดไหน

 

 

พวกเขาเพียงสวดภาวนาขอพรให้เทพีกระบี่ช่วยเหลือนักบวชในวิหาร และหวังว่าเทพีกระบี่ซึ่งเป็นที่รักของทุกๆ คน จะช่วยปกปักรักษาชีวิตของบรรดานักบวชสาวให้อยู่รอดปลอดภัย

 

 

ส่วนมือกระบี่จากต่างถิ่นล้วนใจจดใจจ่อ อยากรับชมการต่อสู้ระหว่างตัวแทนทั้งหกจากทั้งสองฝ่ายเต็มทีแล้ว

 

 

แน่นอนว่าทุกคนมาที่นี่ด้วยจุดประสงค์ที่ต่างกัน

 

 

เนื่องจากว่าเมื่อวันก่ 3 อน คุณชายเหลียนซานได้ประกาศว่าหลังการตรวจสอบวิหารจบลง ผู้พ่ายแพ้จะต้องกลายเป็นทาสของพวกเขา และจะมีการเปิดประมูลซื้อขายทาสโดยทันที นั่นหมายความว่าพวกเขากำลังจะได้ซื้อขายนักบวชสาวผู้งดงามจากวิหารเทพกระบี่ และนี่ก็คือจุดประสงค์ของผู้คนจากต่างถิ่นส่วนใหญ่ที่มารวมตัวกันในที่แห่งนี้

 

 

ต้องไม่ลืมว่าหัวหน้านักบวชประจำเมืองหยุนเมิ่ง ได้รับการขนานนามให้เป็นสาวงามอันดับหนึ่งแห่งแดนเหนือ ถึงกับมีตำนานเล่าขานว่าแม้แต่เทพยดาบนสวรรค์ ก็ยังต้องยอมศิโรราบให้แก่ความงดงามของนักพรตหญิงชิน

 

 

แต่บัดนี้ ทุกอย่างแตกต่างออกไป

 

 

เมื่อวิหารเมืองหยุนเมิ่งต้องถึงคราวล่มสลาย นักพรตหญิงชินก็ไม่ได้มีสถานะเป็นหงห์ฟ้าอีกต่อไป แต่นางเป็นเพียงลูกไก่ในกำมือของพวกเขาเท่านั้นเอง

 

 

เมื่อถึงเวลาการประมูล ใครที่ให้ราคาดีที่สุด ก็จะได้ตัวนางไปครอบครอง

 

 

กองทัพของหน่วยนักรบมังกรดำซึ่งมาถึงจุดหมายปลายทางตั้งแต่เช้า ได้จัดวางกำลังคนคอยตรวจตราพื้นที่รอบภูเขาตลอดเวลา เพื่อป้องกันไม่ให้มีบุคคลภายนอกแอบขึ้นไปแทรกแซงสถานการณ์  และในเวลาเดียวกันนั้น รอบภูเขาทั้งสี่ด้านมีการจัดวางค่ายอาคมอย่างแน่นหนา เพื่อป้องกันไม่ให้บุคคลบนภูเขาหลบหนีลงจากเขาไปได้สำเร็จ

 

 

แล้วทางวิหารประจำเมืองนั้นเล่าเป็นอย่างไรบ้าง?

 

 

หลายคนพากันจ้องมองขึ้นไปบนยอดเขาด้วยความอยากรู้อยากเห็น

 

 

แต่พวกเขาก็ไม่พบความเคลื่อนไหวใดๆ เลย

 

 

เห็นได้ชัดว่านี่คือการนับถอยหลังสู่จุดจบของวิหารประจำเมืองหยุนเมิ่งอย่างแท้จริง

 

 

“มีกองทัพจากแคว้นซินจินยกพลมาด้วยนะเนี่ย”

 

 

“เห็นว่าก่อนหน้านี้ หลินเป่ยเฉินได้ฆ่าบุตรชายสุดที่รักของท่านข้าหลวงใหญ่ผู้ปกครองแคว้นตายไปน่ะ…”

 

 

“หึหึ นับว่าเจ้าเด็กคนนี้ขุดหลุมฝังศพตนเองโดยแท้ ท่านข้าหลวงใหญ่ผู้ปกครองแคว้นซินจินคงคิดอาศัยโอกาสนี้แก้แค้นให้แก่บุตรชายของตนเองแล้ว ไม่ว่ามองจากมุมไหน…วิหารประจำเมืองหยุนเมิ่ง ก็ยากที่จะรอดพ้นจากจุดจบในครั้งนี้ได้จริงๆ”

 

 

“แล้วพวกเจ้าเห็นขบวนรถม้าที่เพิ่งวิ่งผ่านไปเมื่อสักครู่หรือไม่ สัญลักษณ์ที่อยู่บนห้องโดยสารของรถม้าเหล่านั้น เป็นสัญลักษณ์ของพวกหน่วยงานซื้อขายทาสของท่านอ๋องแห่งแคว้นไห่อันไม่ใช่หรือ?”

 

 

“จริงด้วยสินะ… เป็นหน่วยงานซื้อขายทาสของท่านอ๋องจริงๆ”

 

 

“ดูเหมือนว่าท่านอ๋องคงหมายตานักพรตหญิงชินเอาไว้…เป็นนางสนมคนใหม่แน่นอน”

 

 

“ชู่ว์ พวกเราระมัดระวังคำพูดกันหน่อยดีกว่า”

 

 

“ที่สำคัญนะ เมื่อเช้านี้ ข้าเห็นกองทัพของแคว้นซินจินยกขบวนไปปิดล้อมสถานศึกษากระบี่ที่สามแล้วด้วย เกรงว่าเมื่อการตรวจสอบวิหารครั้งนี้จบลง ที่นั่นก็คงจะถูกเล่นงานเป็นลำดับต่อไป”

 

 

“เฮ้อ นี่คือสัปดาห์แห่งความเศร้าโศกหรืออย่างไรกัน”

 

 

กลุ่มมือกระบี่จากต่างถิ่นพูดคุยกันไปด้วยความสนุกสนานระหว่างเตรียมตัวรับชมการต่อสู้…

 

 

ห่างออกไปไม่ไกล รถม้าขนาดใหญ่คันหนึ่งได้วิ่งมาหยุดลงตรงถนนทางขึ้นภูเขาของวิหารประจำเมืองหยุนเมิ่ง ที่ผนังด้านข้างห้องโดยสารของรถม้าปรากฏสัญลักษณ์โบราณดูลึกลับเป็นปริศนา และชายฉกรรจ์ในชุดสีเทากลุ่มหนึ่งก็ปรากฏตัวออกมาจากบริเวณนั้นพร้อมด้วยมวลพลังลมปราณหนาแน่นที่แผ่ออกจากร่างกาย พวกเขาตรงเข้าไปห้อมล้อมรถม้าคันนี้ด้วยสีหน้าจริงจัง ขึงขัง

 

 

ด้านหลังของรถม้ายังลากรถพ่วงที่บรรทุกกรงขังขนาดใหญ่เอาไว้กรงหนึ่ง

 

 

กรงขังยังคงว่างเปล่า

 

 

แต่ประตูกรงขังเปิดออกกว้าง เหมือนปากของสัตว์ประหลาดที่พร้อมจะงับเหยื่อได้ตลอดเวลา

 

 

“ในที่สุด เวลานี้ก็มาถึงแล้วสินะ”

 

 

ประตูห้องโดยสารของรถม้าเปิดออก ชายชราผู้มีหนวดเคราสีเทาก้าวลงมา ใบหน้าของเขาเคร่งขรึม ดวงตาเป็นประกายดุร้าย คิ้วของเขามีสีม่วงเข้ม เช่นเดียวกับสีของชุดเกราะที่สวมใส่อยู่บนลำตัว พลังลมปราณที่แผ่ออกมาจากร่างกายของชายชราผู้นี้ อยู่ในระดับที่รุนแรง หนักหน่วงและเข้มข้น

 

 

เมื่อชายชราก้าวลงมาจากรถม้า กลุ่มชายฉกรรจ์ในชุดสีเทาเหล่านั้น ก็จะจัดกระบวนรักษาความปลอดภัยด้วยความรัดกุมทันที

 

 

สีหน้าของชายชรายามเงยหน้าจ้องมองไปยังวิหารบนยอดเขาเต็มไปด้วยความเกลียดชัง

 

 

“นี่มันท่านอ๋องแห่งแคว้นไห่อันนี่นา”

 

 

“ท่านอ๋องมาดูด้วยตนเองเลยหรือนี่?”

 

 

“สงสัยท่านคงอยากมาแก้แค้นให้บุตรชายนั่นแหละ เห็นทีคราวนี้ถ้าหลินเป่ยเฉินตกไปอยู่ในกำมือของท่านอ๋อง ต่อให้เขาเป็นแมวเก้าชีวิต ก็คงไม่มีทางหนีรอดอีกแล้ว”

 

 

บรรดามือกระบี่จากต่างถิ่นเริ่มซุบซิบนินทากันอีกครั้งด้วยความตกตะลึง

 

 

คิดไม่ถึงเลยว่าท่านอ๋องแห่งแคว้นไห่อันผู้เก็บเนื้อเก็บตัว จะยอมปรากฏตัวออกมาในวันนี้

 

 

แล้วจะมีใครมาช่วยเหลือหลินเป่ยเฉินได้บ้างหรือไม่?

 

 

ทันใดนั้นเอง…

 

 

ครืน! ครืน! ครืน! ครืน!

 

 

ท้องนภาด้านบนพลันกึกก้องด้วยเสียงฟ้าคำราม

 

 

กลุ่มเมฆดำปรากฏตัวอย่างรวดเร็วครอบคลุมผืนฟ้าเหมือนมหาสมุทรอันมืดมิด

 

 

วังน้ำวนขนาดใหญ่หกสายปรากฏขึ้นบนท้องฟ้า

 

 

ช่องว่างในวังน้ำวนเหล่านั้นแหวกออก คล้ายกับว่ามีอะไรบางอย่างกำลังจะโผล่พ้นลงมาจากก้อนเมฆ

 

 

สายฟ้าแลบแปลบปลาบ

 

 

แล้วร่างของใครคนหนึ่งก็ค่อยๆ ลอยขึ้นไปในอากาศ

 

 

มือของบุคคลผู้นั้นถือไม้เท้าอยู่หนึ่งด้าม

 

 

มวลอากาศปั่นป่วนเพราะหัวไม้เท้าด้ามนี้

 

 

วังน้ำวนทั้งหกสายบนท้องฟ้าระเบิดประกายเจิดจ้าสว่างแสบตา

 

 

ราวกับว่ากำลังจะมีเทพเจ้าจุติลงมาจากสรวงสวรรค์ก็ไม่ปาน