บทที่ 642 เฟิงอู๋ชิงที่ผ่านเข้าไปในเล้าไก่

องค์ชายวายร้ายอยากเป็นพ่อ

องค์ชายวายร้ายอยากเป็นพ่อ บทที่ 640 เฟิงอู๋ชิงที่ผ่านเข้าไปในเล้าไก่

เสียงที่ดังออกมานั้นทำให้ฉีเฟยอวิ๋นตกใจอยู่ครู่หนึ่ง นับประสาอะไรกับคนอื่น

อวิ๋นจิ่นอดไม่ได้ที่จะเงยหน้าขึ้นมองเด็กทั้งสองคนที่อยู่ในห้อง เด็กทั้งสองคนนี้นายท่านให้ความสนใจเป็นอย่างมาก ฉะนั้นพวกเขาจะเป็นอะไรไปไม่ได้

ฉีเฟยอวิ๋นอุ้มเจ้าห้าไว้และลูบไล้ไปมา เขาเป็นคนที่มีอำนาจมากจนเธอไม่กล้าทำอะไร

แต่ก็ทำให้เขาตกใจไม่ได้

ฉีเฟยอวิ๋นมองไปที่เด็กทั้งสอง ดูเหมือนเด็กทั้งสองจะเตรียมตัวไว้ล่วงหน้า ไม่มีใครสนใจเฟิงอู่ชิงที่ยืนอยู่ข้างหลัง ทั้งไม่ตกใจและไม่มีใครรู้และเด็กทั้งสองก็ไม่ได้หันไปมอง แต่กลับจ้องมองไปที่ฉีเฟยอวิ๋น ราวกับรู้ว่าฉีเฟยอวิ๋นสามารถปกป้องพวกเขาได้

ฉีเฟยอวิ๋นยืนมองเด็กๆ อยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเดินเข้าไปหาพวกเขา

เธอหยุดลงและมอบเจ้าห้าให้กับอามู่ “อุ้มไว้”

อามู่ทำไม่ได้และมองไปที่เจ้าห้าด้วยความกลัว

ฉีเฟยอวิ๋นกล่าว “เขาเป็นลูกชายคนเล็กของอาจารย์ ในอนาคตเจ้าจะต้องคอยติดตามเขา หากตอนนี้เจ้ายังไม่กล้าอุ้มเขา ต่อไปเจ้าจะช่วยเขาและปกป้องเขาได้อย่างไร?”

อามู่ดูเหมือนจะเข้าใจขึ้นมาได้จึงรีบอุ้มเจ้าห้าอย่างระมัดระวัง เจ้าห้าลืมตามองไปที่เด็กหนุ่มที่อยู่ตรงหน้าด้วยแววตาที่เป็นประกายและใช้สายตาพิจารณาอามู่

หลังจากพิจารณาอยู่ครู่หนึ่ง เจ้าห้าก็มองไปที่เสี่ยวเฉียวที่อยู่ข้างๆ เสี่ยวเฉียวก็กำลังมองเขา ดวงตาของเจ้าห้าดูอ่อนโยนและยื่นมือไปหาเสี่ยวเฉียว

ฉีเฟยอวิ๋นรู้สึกประหลาดใจ “เสี่ยวเฉียวอายุยังน้อย นางอุ้มเจ้าไว้ไม่ได้”

เจ้าห้าไม่ยอมยังคงต้องการจะไปหาเสี่ยวเฉียว ฉีเฟยอวิ๋นจึงยอมและเดินไปอีกฝั่ง อวิ๋นจิ่นรีบหยิบผ้าห่มมารองไว้

อามู่อุ้มเจ้าห้าไปที่ผ้าห่ม เสี่ยวเฉียวก็ตามไปด้วย จากนั้นเสี่ยวเฉียวนั่งลงแล้วจึงวางเจ้าห้าไว้ในอ้อมแขนทั้งสองของนาง จากนั้นเจ้าห้าก็หลับตานอนลง

ฉีเฟยอวิ๋นรู้ว่าเจ้าห้าดูเหมือนคนที่ช่างเลือก คนธรรมดาไม่สามารถเข้าใกล้ได้ แต่เขาก็ยอมรับในอามู่ ส่วนเสี่ยวเฉียวนั้นริ่เริ่มเข้าหาก่อน

นี่นับว่าช่างประหลาดเหลือเกิน

หลังจากที่จัดการเรื่องเด็กๆ ดีแล้ว ฉีเฟยอวิ๋นสั่งให้อวิ๋นจิ่นออกไป จากนั้นจึงนั่งอยู่ข้างๆ เด็กๆ ทั้งสามคน และมองไปที่เฟิงอู๋ชิง

ร่างกายของเฟิงอู๋ชิงดีขึ้นมากแล้ว โชคดีที่ฉีเฟยอวิ๋นทิ้งตำรายาและยาเอาไว้ สามารถกล่าวได้ว่า ตำรายาของฉีเฟยอวิ๋นนั้นเป็นจุดเปลี่ยนที่สำคัญมาก ยาของเธอก็เข้ามาได้ทันเวลา จึงทำให้มีเฟิงอู๋ชิงในวันนี้ได้

เฟิงอู๋ชิงชอบสวมใส่เสื้อผ้าสีแดง เขาเป็นคนที่พิเศษเช่นกัน เมื่อบวกกับเสื้อผ้าชุดสีแดงแล้วนั้น จึงทำให้รู้สึกน่าทึ่งต่อผู้พบเห็น แต่ฉีเฟยอวิ๋นเห็นความสง่าผ่าเผยในตัวของเขา

เพียงแต่ความสง่าผ่าเผยนี้ก็ไม่มีอะไร เธอไม่ต้องการ

เมื่อก่อนรู้สึกหลงใหลในเฟิงอู๋ชิงเล็กน้อย แต่หลังจากที่ได้เห็นหวาชิง จึงไม่ได้คิดเช่นนั้นอีก

แท้จริงแล้วยังมีภูเขาที่สูงกว่าอยู่

เฟิงอู๋ชิงสังเกตมองฉีเฟยอวิ๋น ออกไปข้างนอกกลับมาก็รู้สึกดูดีขึ้นกว่าเดิม

เมื่อก่อนขี้เหร่ถึงขั้นสุด แต่ตอนนี้ไม่ขี้เหร่เช่นนั้นแล้ว

ดีขึ้นบ้างเล็กน้อย

ทั้งสองจ้องตากันอยู่ครู่หนึ่ง ฉีเฟยอวิ๋นเริ่มพูดก่อน “เป็นเช่นไรบ้าง”

“ก็ดี กินยาที่ท่านให้มาจึงไม่ตาย” เฟิงอู๋ชิงดูหยิ่งผยองราวกับมองอะไรก็ไม่ถูกใจไปเสียหมด

ฉีเฟยอวิ๋นก็รู้ว่ารูปร่างหน้าตาของเธอเทียบไม่ได้เลยกับอู๋กั่ว เมื่อเทียบกับเฟิงอู๋ชิงก็ยิ่งแล้วไปกันใหญ่ เฟิงอู่ชิงเป็นคนที่แสวงหาความสมบูรณ์แบบ ดังนั้นการมองมาที่เธอก็เหมือนมองดูคนพิการ แทบไม่อยากจะมอง

“เกรงใจเกินไปแล้ว ข้าแค่ช่วยเหลือเล็กๆ น้อยๆ เท่านั้นเอง”

“ไม่พูดเรื่องนี้แล้ว ข้าต้องการเด็กสองคนนี้ ท่านบอกมาว่าราคาเท่าไร” เฟิงอู๋ชิงเบื่อที่จะพูดคุยกับฉีเฟยอวิ๋น จากนั้นจึงยกมือชี้ไปที่เด็กทั้งสองและพูดออกมา

ฉีเฟยอวิ๋นกล่าว “เจ้าต้องการพวกเขาทั้งสองไปทำไมหรือ?”

“ไปเป็นผู้พิทักษ์ของข้า” เฟิงอู๋ชิงพูดอย่างมั่นใจ ฉีเฟยอวิ๋นไม่รู้ว่าเขาไปเอาความกล้าหาญนี้มาจากไหน

เดิมทีเขาเป็นผู้ที่มีบารมีอำนาจมาก คนในจวนท่านอ๋องเย่ต่างพากันเคารพเขา

และขณะนี้ฉีเฟยอวิ๋นนึกถึงเงินตำลึงเหล่านั้นที่นำกลับมาจากเมืองอู๋โยวและเงินตำลึงของเธอในเมืองหลวงของต้าเหลียง รวมไปถึงเงินตำลึงที่ป้อมปราการเขตชายแดน

เธอไม่ใช่เป็นคนที่ไม่มีเงิน

นักฆ่าในยุทธภพ ในสายตาของเธอแล้วจะมีดีอะไร

แถมยังเป็นคนที่หยิ่งผยองอีกด้วย

ฉีเฟยอวิ๋นจึงพูดอย่างไม่เกรงใจ “ข้าไม่ได้ต้องการเงิน เพียงแต่ข้าก็ต้องให้เกียรติเจ้าด้วย หากเจ้าบอกว่าอยากได้อะไร ข้าก็จะพยายามสนองความต้องการของเจ้า เพียงแต่ผู้พิทักษ์ที่เจ้าพูดมานั้นเป็นเรื่องจริงหรือ?

หนึ่งคือเจ้ามีพิทักษ์อยู่แล้ว สองคือเจ้ารับเด็กสองคนนี้ไปเป็นผู้พิทักษ์ก็ดูไม่เป็นความจริง เพราะพวกเขาทั้งสองคนอายุยังน้อยไม่มีศิลปะการต่อสู้และไม่สามารถปกป้องเจ้าได้ อีกอย่างพวกเขาก็ยังเป็นเด็ก ควรจะได้รับการเรียนการสอน เจ้าบอกว่าต้องการพวกเขาไปเป็นผู้พิทักษ์ แต่พวกเขาคงไม่มีความสามารถในด้านนั้น”

เฟิงอู๋ชิงฟังฉีเฟยอวิ๋นพูดจนรู้สึกรำคาญ แต่เพื่อจะได้มาซึ่งอามู่และเสี่ยวเฉียว เขาจึงฝืนพยายามอธิบาย “ผู้ที่สามารถเข้ามาในหอทิงเฟิงของข้าได้นั้น ล้วนเป็นคนที่มีหน้าตาดี คนที่เป็นเหมือนท่านนั้น ข้าไม่มีทางรับไว้เด็ดขาด

ข้ามีวิสัยทัศน์และสายตาที่เฉียบแหลม เด็กสองคนนี้จะต้องเป็นเช่นนั้น ฉะนั้นข้าต้องการพวกนาง

ส่วนเรื่องผู้พิทักษ์คนอื่นข้างกายของข้า อู๋กั่วก็ได้แต่งงานไปแล้ว ข้าได้ยินมาว่าผู้หญิงในเมืองต้าเหลียง เมื่อแต่งงานไปแล้วก็ต้องคอยเชื่อฟังสามี

อู๋กั่วแต่งงานไปแล้ว เช่นนั้นก็คงต้องคอยปรนนิบัติดูแลและเชื่อฟังสามี

จะพูดไปแล้วหมอเทวดา เขาก็ไปเป็นลูกศิษย์ของท่านแล้ว ตอนนี้ก็คอยตามศิษย์พี่ที่ไร้ประโยชน์ของเขาเพื่อเรียนรู้สิ่งที่ไร้ประโยชน์ ข้ารู้สึกหมดหวังต่อเขาไปนานแล้ว จะเป็นหรือไม่เป็นผู้พิทักษ์ก็ไม่สำคัญแล้ว

ข้างกายของข้าเหลือเพียงแค่อู๋ซังคนเดียวเท่านั้น ข้าต้องปกป้องเขา หรือว่าเขาควรต้องปกป้องข้า?”

อู๋ซังจามขึ้นมาทันทีนอกประตู ไร้ความปรานี!

“อีกอย่าง อู๋ซังและอีกหลายๆ คนก็อายุไล่เลี่ยกับข้า แต่เดิมทีนั้นหอทิงเฟิงต้องการผู้พิทักษ์ที่มีอายุอ่อนกว่าหนึ่งเท่า ในข้อนี้ยังต้องการให้ข้าพูดอะไรไปมากกว่านี้หรือไม่?”

ฉีเฟยอวิ๋นพยักหน้าทำเป็นว่าเข้าใจ

“ที่เจ้าพูดมาทั้งหมดนั้นก็ถูก แต่หากเป็นเพราะเรื่องเหล่านี้ข้าก็ยังไม่สามารถตอบตกลงได้ ข้าพาพวกเขากลับมาก็เพื่อหวังว่าพวกเขาจะใช้ชีวิตที่ต้องการได้ เจ้าห้าก็เป็นเด็กที่ช่างเลือก ข้าคิดว่าพวกเขาทั้งสองอยู่กับเจ้าห้าจะยิ่งมีความสุขมากกว่า

แน่นอน พูดไปเจ้าก็คงไม่เข้าใจ ข้าจึงไม่พูดออกไป

เช่นนั้นข้าจะตอบเจ้าว่าสุดท้ายแล้วข้าไม่ตอบตกลง”

“อู๋ฮัว เจ้ากล้าขัดใจข้างั้นหรือ เจ้า……”

เจ้าห้าลืมตาขึ้นมาและมองไปที่เฟิงอู๋ชิง

เสี่ยวเฉียวเหมือนรู้ว่าเจ้าห้าต้องการทำอะไร จึงมองไปที่นอกหน้าต่าง

จากนั้นที่หน้าต่างก็มืดลง จู่ๆ ก็มีอะไรพุ่งเข้ามา

ฉีเฟยอวิ๋นก็ตกใจอยู่ครู่หนึ่ง และยิ่งไม่ต้องพูดถึงเฟิงอู๋ชิงผู้ที่แสวงหาความสมบูรณ์แบบ

อู๋ซังรีบเข้ามาและคนอื่นที่อยู่ข้างนอกก็ตามเข้ามา

เห็นเพียงแค่กลุ่มก้อนสิ่งดำๆ สองกลุ่มพุ่งเข้ามาจากทางหน้าต่าง อู๋ซังเป็นผู้นำและตามมาด้วยเจ้าอีกาที่บินวนอยู่ที่เฟิงอู๋ชิงและล้อมรอบเฟิงอู๋ชิงไว้ เสียงตะโกนร้องของเฟิงอู๋ชิงทำให้ฉีเฟยอวิ๋นตกใจจนแทบไม่กล้าขยับไปไหน

อามู่และเสี่ยวเฉียวต่างมองเฟิงอู๋ชิงอย่างเหม่อลอย ไม่นานเจ้าอีกาก็บินออกไป ทุกคนต่างพากันมองไปที่เฟิงอู๋ชิงที่ราวกับเดินเข้าไปอยู่ในเล้าไก่ ชายหนุ่มรูปงามดั่งนกหงส์สีทองราวกับถูกถอนขน ถึงแม้ว่าเขาจะไม่ได้รับบาดเจ็บ แต่สภาพของเขานั้นราวกับเขาเพิ่งออกมาจากเล้าไก่ ซึ่งทำให้หลายคนรู้สึกประหลาดใจ

ฉีเฟยอวิ๋นรู้สึกว่าเรื่องนี้ไม่ธรรมดา แต่ก็ไม่ใช่ความผิดของเธอ เป็นเฟิงอู๋ชิงเองที่หาเรื่องก่อนโดยพูดจาตะคอกใส่เธอ เช่นนั้นก็ไม่สามารถโทษเธอได้