หนึ่งในใต้หล้า 大主宰
บทที่ 801 เอาชนะหลิ่วเหยียน
ตู้ม**!**
เมื่อร่างมหาเพลิงนภาระเบิดออก ก็กลายเป็นประกายแสงกระจัดกระจายไปทุกทิศทางบนท้องฟ้าแล้วโปรยปรายลงมา ภายในประกายแสงทุกคนสามารถมองเห็นร่างสะบักสะบอมร่างหนึ่งกระเด็นออกมา
อ็อก! อ็อก!
ร่างนั้นกระอักเลือดออกมาไม่หยุด คลื่นหลิงทรงพลังรอบตัวลดลงจนถึงขีดสุด เห็นชัดว่าเขาได้รับบาดเจ็บสาหัส
“หลิ่วเหยียนแพ้แล้ว!”
จอมยุทธ์ทุกคนทั่วบริเวณอุทานออกมา ความคืบหน้าในการดวลครั้งนี้เห็นผลลัพธ์ชัดเจนแล้ว หลิ่วเหยียนได้รับบาดเจ็บสาหัส พลังการต่อสู้หดหายไป เขาไม่สามารถประมือกับมู่เฉินได้อีกต่อไป
มู่เฉินยืนอยู่ในท่าปล่อยหมัด สายตาคมภายใต้ชุดเกราะทองจ้องมองหลิ่วเหยียนพร้อมกับรังสีสังหารวูบไหวอยู่ในส่วนลึกของดวงตา อึดใจเขาก็ไม่ลังเลที่จะพุ่งออกไป ไล่ตามหลิ่วเหยียนที่ได้รับบาดเจ็บสาหัส
รังสีสังหารพวยพุ่งทำให้ทุกคนตกใจ เห็นชัดว่ามู่เฉินตัดสินใจจัดการแบบเบ็ดเสร็จเด็ดขาดแล้ว ความเด็ดเดี่ยวนี้ทำให้หัวใจของทุกคนสั่นไหว แม้ว่ามู่เฉินจะอายุน้อย แต่วิธีการของเขาไม่ใช่สิ่งที่จะดูถูกได้
เมื่อหลิ่วเหยียนที่ได้รับบาดเจ็บหนักเห็นมู่เฉินพุ่งตรงมาหา สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไปรุนแรง ทันใดนั้นเขาก็ตะเบ็งเสียงลั่น “ไอ้เวร ถ้าแกกล้าฆ่าข้า ตำหนักสุดนภาจะฆ่าแกจนไม่มีที่ฝังแน่!”
ตอนนี้เขาสูญเสียพลังไปหมดแล้ว หากต้องสู้ต่อละก็ เขาคงได้รับอันตรายถึงชีวิตแน่
ดวงตาเย็นเยือกของมู่เฉินไม่ปรากฏริ้วกระเพื่อมใดๆ เมื่อได้ยินเสียงตะคอกนั่น เขาเคลื่อนกายไปที่เบื้องหน้าหลิ่วเหยียน หมัดที่ปกคลุมไปด้วยเกล็ดที่มาพร้อมกับคลื่นหลิงไร้ขอบเขตซัดไปที่ศีรษะของหลิ่วเหยียนโดยไม่ลังเล
เผชิญกับการจู่โจมของมู่เฉินที่อัดแน่นด้วยรังสีสังหาร แววหวาดกลัวก็พล่านบนใบหน้าของหลิ่วเหยียน ความเด็ดขาดของมู่เฉินอยู่เหนือความคาดหมายของเขานัก
“แกจะฆ่าข้าเรอะ? ไม่ง่ายขนาดนั้นหรอก!”
ทว่าหลิ่วเหยียนไม่ใช่คนแบบหลิ่วหมิง ต่อให้อยู่ในสถานการณ์อันตรายก็ไม่มีท่าทางตื่นตระหนก เขาเปล่งคำรามออกมารอยร้าวปรากฏบนร่างขณะที่คลื่นหลิงป่าเถื่อนพุ่งพรวดออกมาจากรอยแตกเหล่านั้น
เมื่อเห็นภาพนี้มู่เฉินก็อดไม่ได้ที่จะหางตากระตุก เจ้านี่คิดจะระเบิดตัวเอง!
วาบ!
มู่เฉินถอยหนีอย่างรวดเร็ว ในเวลาเดียวกันร่างของหลิ่วเหยียนก็ระเบิดออกพร้อมกับพายุคลื่นหลิงกวาดอาละวาด มิติบิดเบี้ยวเนื่องจากพลังที่ได้รับ มากเสียจนเกิดรอยแตกมิติกระจายตัวออกไป
เมื่อคลื่นกระแทกกระทบร่างมู่เฉิน เสียงครางก็ดังจากลำคอ โชคดีที่เขาสวมชุดเกราะมังกรหงส์ป้องกัน เขาจึงไม่ได้รับบาดเจ็บหนัก แต่ก็ถูกผลักกระเด็นกลับไปเป็นพันจั้ง
ขณะที่พายุเฮอริเคนคลื่นหลิงสร้างหายนะ ลำแสงหลิงสายหนึ่งก็พุ่งข้ามขอบฟ้าก่อนจะบิดเบี้ยวแล้วหายวับไปอย่างรวดเร็ว นั่นก็คือร่างดวงจิตของหลิ่วเหยียน ชัดว่าเขาใช้โอกาสจากการระเบิดร่างกายเพื่อให้วิญญาณหลบหนีออกไป
เมื่อเห็นดังนี้ มู่เฉินก็หรี่ตาลง แต่ไม่ได้ลงมือทำอะไรต่อ การระเบิดกายเนื้อทำให้วิญญาณของหลิ่วเหยียนได้รับบาดเจ็บสาหัส ต่อให้สามารถหนีไปได้ ก็ไม่ต่างจากคนพิการครึ่งตัว ไม่จำเป็นต้องไปกลัวอะไรอีก
บนท้องฟ้าพายุรุนแรงค่อยๆ สงบลง จากนั้นทุกสายตาก็สั่นไหวเมื่อมองร่างที่อยู่ในชุดเกราะทอง
แม้เขาจะยืนเงียบๆ ที่ขอบฟ้า แต่แรงกดดันที่แผ่ออกมาก็ทำเอาให้ใจเต้นไม่เป็นส่ำเลยทีเดียว ภายใต้รัศมีนี้ แม้แต่จอมยุทธ์อย่างซูปี้เยี่ย หงหยูและคนอื่นก็มีสีหน้าเคร่งขรึมลง
เผชิญหน้ากับใครบางคนที่สามารถเอาชนะหลิ่วเหยียนได้ ซ้ำยังบีบให้เขาต้องระเบิดร่างเหลือแต่วิญญาณหนีไป คงไม่มีใครที่ไม่หวาดกลัวหรอก
บนท้องฟ้า ร่างมู่เฉินมีแสงสีทองไหลออกมาขณะเกราะมังกรหงส์ฝังลงไปสถิตใต้ผิวหนังอย่างรวดเร็ว มู่เฉินเผยร่างจริงให้เห็นอีกครั้ง
เมื่อมู่เฉินปรากฏตัวขึ้น จอมยุทธ์หลายคนก็อดสะดุ้งไม่ได้
ตอนนี้ร่างกายมู่เฉินเต็มไปด้วยสะเก็ดเลือด ภายใต้สะเก็ดเลือดเหล่านั้นคือบาดแผลฉกรรจ์ที่เห็นได้
ชัดว่าบาดแผลเหล่านั้นน่าจะมาจากการโจมตีสุดท้ายของหลิ่วเหยียนที่ทิ้งไว้ให้มู่เฉิน
มู่เฉินกระตุกร่างสะเก็ดเลือดล่อนออก บาดแผลที่ลึกจนมองเห็นกระดูกสมานตัวอย่างรวดเร็วจนมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า ไม่สิบกว่าอึดใจเขาก็ฟื้นตัวอย่างสมบูรณ์ ความเร็วในการฟื้นตัวนี้ทำเอาจอมยุทธ์จำนวนมากที่มองอึ้งตะลึงค้างไปเลยทีเดียว
มู่เฉินรู้สึกพอใจมากกับความเร็วในการสมานตัว หลังจากผสานรวมกับแก่นเลือดมังกรแท้จริงและหงส์ฟ้าแท้จริงเข้ากับเลือดของเขาแล้ว สิ่งนี้ก็มอบพลังชีวิตที่เทียบเท่ากับเทพอสูร ตราบใดที่ไม่ใช้การโจมตีแบบทำลายล้าง เขาก็สามารถฟื้นตัวได้อย่างรวดเร็ว
เมื่อรู้สึกถึงร่างกายกระฉับกระเฉง มู่เฉินก็เงยหน้ากวาดมองไปรอบๆ
ในส่วนลึกของม่านตาสีดำราวกับมียมทูตดุร้ายทรงพลังซ่อนตัวอยู่ภายใน ความคมกริบนี้ทำให้ผู้อื่นรู้สึกหวาดผวา ยิ่งบวกกับที่เขาเอาชนะหลิ่วเหยียนได้เมื่อครู่ ความยิ่งใหญ่ของมู่เฉินก็มาถึงระดับสุดยอดแล้วในตอนนี้
ในเวลานี้แม้แต่จอมยุทธ์ทรงพลังอย่างซูปี้เยี่ย หงหยูและติงเฉวียนยังเกิดแววหวาดเกรงในดวงตา แต่ละคนเบนสายตาหลบไปไม่กล้าเผชิญหน้ากับมู่เฉินตรงๆ ขณะเดียวกันก็ไม่กล้าเผยความเป็นปฏิปักษ์ออกมาแม้แต่น้อย
ชายหนุ่มตรงหน้าพวกเขาไม่ใช่รับมือได้ง่ายๆ เลย
ทั่วทั้งฟ้าดินเงียบกริบลงทันใด เหล่าจอมยุทธ์มองหน้ากัน พวกเขาตกใจกับอากัปกิริยาของมู่เฉินนัก ดังนั้นในเวลานี้จึงไม่มีใครกล้าดูถูกมู่เฉินอีกแล้ว
สายตาของมู่เฉินกวาดไปทั่วขอบฟ้า สุดท้ายก็จับจ้องไปที่จุดหนึ่ง ที่นั่นมีคนสามคนยืนประจันหน้ากันอยู่ กำลังขัดขวางซึ่งกันและกัน รัศมีที่พวกเขาก่อขึ้นทำให้ไม่มีใครกล้าเข้าไปในรัศมีหลายพันจั้งโดยรอบ
แต่ตอนนี้มู่เฉินเพ่งสายตาคมกริบตรงไป ทำให้รัศมีบริเวณนั้นสั่นไหวเล็กน้อย
ขณะเดียวกันสายตาทุกคู่ก็พุ่งตรงไปที่บริเวณนั้นอย่างควบคุมไม่ได้ แม้การต่อสู้ระหว่างมู่เฉินกับหลิ่วเหยียนจะดุเดือดมาก แต่ทุกคนก็รู้ว่าการต่อสู้ที่แท้จริงอยู่ที่นั่นต่างหาก
มู่เฉินกับหลิ่วเหยียนแข็งแกร่งมาก แต่เทียบกับไฉ่เซียว ฟังยี่และโยวหมิงแล้ว พวกเขาก็ยังด้อยกว่าเล็กน้อย
ตอนนี้ถึงแม้มู่เฉินจะเอาชนะหลิ่วเหยียนได้แล้ว แต่หากเขาต้องการเข้าไปแทรกระหว่างสามคนนั่น เขาก็ต้องเผชิญหน้าโยวหมิงที่ทรงพลังกว่าหลิ่วเหยียนอย่างแน่นอน
นั่นคืออัจฉริยะชั้นยอดที่ครองอันดับสองบนบันทึกมังกรหงส์มาหลายปี
แม้แต่คนที่หยิ่งผยองอย่างหลิ่วเหยียนยังเกรงกลัวต่อโยวหมิงมาก ดังนั้นแม้มู่เฉินจะเอาชนะหลิ่วเหยียนได้แล้ว ก็ไม่มีใครรู้สึกว่าเขาจะสามารถขัดขวางจอมโหดอย่างโยวหมิงได้
ภายใต้สายตานับไม่ถ้วน ฟังยี่กับโยวหมิงก็ขมวดคิ้วลงเล็กน้อย เห็นชัดว่าสถานการณ์ปัจจุบันอยู่เหนือความคาดหมายของพวกเขานัก
“ดูเหมือนพวกเจ้าต้องผิดหวังแล้วนะ” ไฉ่เซียวเอ่ยเสียงไม่แยแสขณะแสงอันตรายรวมตัวในดวงตาของนาง
ฟังยี่ยิ้มบางเว้นแต่ว่าร่างกายค่อยๆ เกร็งขึ้น เพราะเขารู้สึกถึงไอสังหารเย็นเยือกแผ่ออกจากร่างไฉ่เซียว เห็นชัดว่าเด็กสาวไม่คิดอดทนอีกต่อไป เตรียมพร้อมที่จะโจมตีแล้ว
“ถ้าเจ้าคิดจะให้เขาขัดขวางโยวหมิงละก็ ข้าว่าเขาจะตายเอานะ” ฟังยี่เอ่ยช้าๆ
รอยยิ้มเย็นคลี่บนใบหน้าของไฉ่เซียว “ข้าก็จะฆ่าเจ้าซะก่อนที่จะเกิดเรื่องนั้นไง”
ฟังยี่หรี่ตาลง แสงเย็นเยือกวาบในดวงตา เขาหันหน้าไปมองโยวหมิงเล็กน้อย
โยวหมิงรู้สึกถึงสายตาของฟังยี่ได้ เขาครุ่นคิดครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยออกมา “แบ่งมรดกครึ่ง-ครึ่ง” ที่เขาพูดก็หมายถึงมรดกมังกรหงส์นั่นเอง
“ได้” ฟังยี่พยักหน้าเห็นด้วยกับข้อตกลงของโยวหมิง เพราะเขารู้ว่าตอนนี้จะต้องยืมพลังของโยวหมิง หากต้องการจัดการกับมู่เฉินและไฉ่เซียว
“ไม่ต้องออมมือ ฆ่ามันให้เร็ว… นางไม่ได้รับมือได้ง่ายนัก” ฟังยี่เอ่ยช้าๆ ขณะมองไฉ่เซียว
โยวหมิงพยักหน้า เขาเคยสู้กับไฉ่เซียวมาก่อนจึงรู้ว่าหญิงสาวลึกลับคนนี้มีพลังน่าสะพรึงเพียงใด หากเขาต่อสู้กับนาง ก็ไม่มั่นใจว่าจะเอาชนะนางได้ ดังนั้นเขาต้องจัดการมู่เฉินให้เร็วที่สุดเพื่อที่เขาจะร่วมมือกับฟังยี่ฆ่าไฉ่เซียวซะ
โยวหมิงเบนสายตาล้ำลึกไปที่มู่เฉิน แววไม่แยแสอัดแน่นในดวงตา
“หึๆ พวกเจ้านี่อวดดีไม่เบาเลย”
ไฉ่เซียวยิ้ม เว้นแต่ว่าในดวงตาอัดแน่นด้วยไอเย็นเยือกขณะมองฟังยี่ ก่อนจะมองมู่เฉิน “เจ้าขัดขวางเขาไว้สักครู่ได้ไหม?”
สายตามู่เฉินจ้องที่โยวหมิงเช่นกัน แม้เขาจะรู้สึกถึงอันตรายแรงกล้าที่แผ่ออกมาจากอีกฝ่าย แต่เขาก็ยังพยักหน้ารับเบาๆ
“ข้าไม่ปล่อยให้มันเข้าไปยุ่งการต่อสู้ของเจ้าแน่” มู่เฉินเอ่ยเบาๆ
ไฉ่เซียวมองมู่เฉินอย่างลึกซึ้งก่อนจะพยักหน้า นางไม่รู้แน่ชัดถึงพลังของมู่เฉินตอนนี้ ดังนั้นนางจึงไม่แน่ใจว่ามู่เฉินจะสามารถขัดขวางโยวหมิงได้หรือไม่ แต่ดูจากสถานการณ์แล้ว ก็มีเพียงทางเดียวเท่านั้น ไม่อย่างนั้นทั้งนางและมู่เฉินก็ไม่มีทางหลุดไปจากสถานการณ์นี้ได้
ดังนั้นนางจึงเลือกที่จะเชื่อในตัวมู่เฉิน
“ขัดขวางข้าเรอะ?”
โยวหมิงยืนอยู่บนท้องฟ้ามองมู่เฉินด้วยสายตาไม่แยแส จากนั้นรอยยิ้มบางก็คลี่บนใบหน้าขาวซีด ราวกับรู้สึกขบขันกับความมั่นใจของมู่เฉิน
“ผลลัพธ์ของหลิ่วเหยียน ก็จะเป็นผลลัพธ์ของแก…”
เขาพึมพำ จากนั้นฝ่ามือก็วาดขึ้นเบาๆ คลื่นหลิงสีดำเมื่อมรวมตัวภายใต้ฝ่ามือ ก่อร่างเป็นหลุมดำจางๆ ตอนนี้มิติรอบตัวเขาสั่นสะเทือนรุนแรง ขณะที่แรงกดดันคลื่นหลิงน่ากลัวรวมตัวกันราวกับม้วนภูเขาพับทะเลได้ ก่อนจะกวาดตัวออกมาทั่วบริเวณ
สัมผัสได้ถึงแรงกดดันคลื่นหลิงน่าตกใจรอบตัวโยวหมิง สีหน้าของซูปี้เยี่ย หงหยูและติงเฉวียนที่อยู่บนท้องฟ้าก็อดไม่ได้ที่จะเปลี่ยนไปพร้อมกับอุทานออกมา “ขุมพลังจื้อจุนขั้นห้า?!”
พอได้ยินคำพูดของพวกเขา หัวใจของมู่เฉินก็สะเทือนเบาๆ โยวหมิงบรรลุขุมพลังจื้อจุนขั้นห้าแล้วรึ?!
หากเป็นเช่นนี้ ผลลัพธ์ครั้งนี้ก็ยากที่จะตัดสินแล้ว!