ตอนที่ 506 ทุน

บุตรอสูรบรรพกาล

ตอนที่ 506

ทุน

“เป็นไง พวกเจ้าได้ข่าวอะไรมาบ้าง”หลังจากเดินขายพุทราเชื่อมจนหมด ยี่เจินและไป๋จูล่งก็กลับมายังที่พักเช่นเดียวกับเกว็นและเอมิลที่นำของที่ตนมีไปขายแล้วเอาเงินมาทดแทนส่วนของพุทราเชื่อมที่ตนเองเก็บเอาไว้เหมือนกันราวกับตกลงเอาไว้ก่อนว่าจะทำเช่นนี้กันทั้งคู่

“ข้าเห็นพ่อค้าพยายามจะขนปลาไปขายที่เมืองอื่น แต่เพราะมันเอาใส่แหวนมิติไม่ได้ก็เลยล้มเลิกไป เจ้านายท่านมีหนทางขนปลาพวกนั้นไปขายบ้างหรือเปล่า”เกว็นถามพลางเลิกคิ้วด้วยท่าทีสงสัย ความจริงขอแค่นางกลายร่างเป็นร่างอสูร นางก็สามารถแบกปลาพวกนั้นไปส่งได้แม้กระทั่งที่อาณาจักรอู่ แต่ท่าทางจูล่งคงไม่ยอมให้ทำแบบนั้นเพราะมันอยากทราบวิธีทำเงินของคนธรรมดามากกว่า

“แบบนั้นไม่คุ้มหรอก หากไปด้วยรถม้านอกจากจะเสียเวลาแล้วโอกาสที่ปลาจะตายก็เยอะมาก ความเสี่ยงมันมากเกินไป หากนำปลาขึ้นรถไฟค่าใช้จ่ายก็เยอะเกินไป ข้าไม่คิดว่ามันจะคุ้มหรอกนะ”ยี่เจินตอบพลางส่ายหน้าช้าๆ แม้เรื่องการขายปลาจะน่าสนใจ แต่นอกจากเรื่องการขนส่งที่มีความเสี่ยงและราคาแพงแล้ว ยังมีพ่อค้ารายใหญ่ที่มีอสูรบินเป็นของตัวเองทำหน้าที่ขนส่งแล้วอีกต่างหาก ต่อให้เสี่ยงเอาปลาไปขายได้ก็ตัดราคาพวกพ่อค้าพวกนั้นไม่ได้อยู่ดี

“ข้าได้ยินมาว่าที่คลังของเมืองมีอาวุธเก่าๆที่ยึดมาได้สมัยสงครามกำลังจะเอามาเทขายในราคาถูก หากโชคดีเราอาจจะได้อาวุธดีๆมาขายก็ได้นะ”เมื่อเห็นว่าเรื่องที่เกว็นนำมาถูกตีตกไป เอมิลก็นำเรื่องของตนเองมาเสนอบ้าง

“อาวุธ….”ยี่เจินสะดุดไปพักหนึ่ง ดูเหมือนก่อนหน้านี้จะมีสงครามใหญ่ระหว่างไชน์และเมืองอื่นๆที่เข้ามาบุกหลังศึกแย่งอาณาเขตของแผ่นดินผืนนี้ แต่ด้วยความช่วยเหลือของจักรพรรดิไป๋ทำให้ไชน์ชนะมาได้อย่างง่ายดาย และยึดเอาสินสงครามมาได้ไม่น้อย หรือว่าอาวุธที่เอมิลพูดจะเป็นของที่ยึดมาจากสงครามครั้งนั้น

“ไม่ได้”ยี่เจินส่ายหน้าออกมาหลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง

“อย่างแรกเลยคือ สงครามสงบแล้ว แม้จะยังมีการซื้อขายอาวุธอยู่แต่ความต้องการอาวุธมีน้อยลง หากเหมาอาวุธระดับต่ำไปขายก็มีแต่จะขาดทุนเท่านั้น และของเทขายเช่นนี้ข้าไม่คิดว่าจะมีอาวุธชั้นดีที่จะเอาไปทำกำไรในช่วงสงบเช่นนี้หรอกนะ แถม….”ยี่เจินว่าพลางนำถุงเงินออกมา จากเงินที่ขายพุทราเชื่อมไปทำให้ยี่เจินมีเงินมากขึ้นกว่าเดิมถึง 3 เท่า แต่มันก็ยังเป็นจำนวนเงินที่ไม่มากอยู่ดี

“ข้าไม่มีเงินพอจะซื้ออาวุธไปขายจนได้กำไรหรอกนะ”ยี่เจินส่ายหน้าพลางเก็บถุงเงินไป

“งั้นหรือขอรับ”เอมิลถอนหายใจออกมา นึกว่าวิธีนี้จะหาเงินได้เสียอีก

“แล้วเจ้าล่ะจูล่ง”ยี่เจินพูดพลางมองมาทางจูล่งบ้าง น่าเสียดายที่จูล่งไม่ได้พูดคุยอะไรเรื่องธุรกิจนักเลยรู้มาแต่เรื่องไร้สาระเท่านั้น

“จริงสิ ข้าได้ยินมาว่าเพราะพายุวันก่อน เรือหลายลำเลยได้รับความเสียหายขอรับ ทุกคนบอกว่าอีกสักหน่อยทางเหนือคงขาดแคลนสินค้าแน่ๆ”จูล่งตอบจากเรื่องที่ตนได้ยินพวกลูกค้าบ่นมาให้ฟัง

“ไม่เลว เจ้าเองก็ได้ยินมาสินะ”ยี่เจินตอบพลางยิ้มออกมา ทางเหนือของอาณาจักรไชน์นั้นไม่มีเส้นทางรถไฟเข้าถึง เพราะภูมิประเทศไม่อำนวย ทำให้ต้องอาศัยการส่งสินค้าทางเรือหรือใช้อสูรบินเท่านั้น และเพราะมีอสูรที่ไหนก็ไม่ทราบไปต่อสู้กันกลางทะเลจนเกิดพายุบ้าคลั่งทำลายเรือไปหลายสิบลำ ทำให้การส่งสินค้าขึ้นไปทางเหนือยากลำบากกว่าทุกปี เรียกได้ว่าเข้าขั้นลำบากเลยก็ว่าได้

“ดูเหมือนทางเหนือจะต้องการใช้เกลือเพื่อถนอมอาหารเป็นจำนวนมาก แต่เรือที่บรรทุกเกลือกลับเสียหายหนักแถมเกลือส่วนใหญ่ยังละลายไปหมดแล้วด้วย ข้าก็เลยคิดว่าจะนำเกลือไปขาย”ยี่เจินว่าพลางกำถุงเงินขึ้นมา

“แต่เงินเท่านั้นจะพอหรือขอรับ”จูล่งเอียงคอสงสัย แม้เกลือจะผลิตได้ง่ายขึ้นเมื่อเทียบกับสมัยก่อน แต่ราคาของมันก็ยังค่อนข้างสูง เงินที่ยี่เจินมีเกรงว่าจะซื้อได้ไม่ถึงครึ่งคันรถเสียด้วยซ้ำ และเหนือสิ่งอื่นใดยี่เจินไม่มีรถม้า แม้ในแขนเสื้อของจูล่งจะมีพี่ตงฟางแอบนอนหลับอยู่ตามปกติก็เถอะ แต่พวกมันก็ไม่มีส่วนตัวรถอยู่ดี

“ไม่พอหรอก”ยี่เจินว่าพลางยิ้มเจื่อนๆออกมา

“แล้วจะทำอย่างไรหรือขอรับ”เอมิลถามพลางเอียงคอสงสัย เงินก็ไม่มี รถก็ไม่มี แล้วจะนำเกลือไปขายทางเหนือได้อย่างไรกัน

“ข้าจะเสี่ยงกับการขายเกลือครั้งนี้”ยี่เจินว่าพลางเก็บเงินเข้ากระเป๋าไป บางทีการค้าก็ใช้เพียงทุนของตนเองไม่ได้ พ่อค้านั้นยังมีอีกเส้นทางหนึ่งที่จะได้เงินมานั่นก็คือการกู้ยืมนั่นเอง เพียงแต่มันไม่มั่นใจเลยว่าตนเองจะสามารถหากู้เงินมาลงทุนกับการขายเกลือครั้งนี้ได้

“จูล่ง บางครั้งพ่อค้าก็ต้องเสี่ยงเพื่อสร้างเนื้อสร้างตัว เข้าใจหรือไม่”ยี่เจินว่าพลางมองไปที่ร้านค้าขนาดใหญ่ที่ตั้งอยู่ในเมืองท่าของอาณาจักรไชน์ การขอกู้ยืมร้านค้าขนาดใหญ่เป็นเรื่องธรรมดาของพ่อค้า แต่หากทำกำไรไม่ได้และหาเงินมาคืนไม่ทันหรือหามาไม่ได้ก็ไม่ใช่เพียงอาชีพพ่อค้าเท่านั้นที่จะจบ แต่อาจจะหมายถึงทั้งชีวิตของพ่อค้าคนนั้นเลยทีเดียว

“แต่…ร้านค้าใหญ่แบบนั้นจะให้พวกเรายืมเงินหรือขอรับ”จูล่งถามด้วยท่าทีประหลาดใจ แม้ยี่เจินจะเป็นพ่อค้ามาก่อน แต่ก็เป็นพ่อค้าที่อาณาจักรอู๋ไม่เคยมาขายที่อาณาจักรไชน์มาก่อนเลย คนรู้จักก็ไม่มี ชื่อเสียงก็ไม่มี แล้วจะไปขอกู้ยืมผ่านได้อย่างไร

“พวกเจ้าตามข้ามา ทำตัวให้ดูน่ากลัวๆหน่อยเข้าใจหรือไม่”ยี่เจินยิ้มออกมาพลางมองไปทางพวกเกว็นและเอมิลนิ่ง มันเข้าใจว่าทั้งสองเป็นผู้ฝึกฝนพลังวิญญาณที่ทำหน้าที่คุ้มกันเรือ แม้ตนเองจะไม่มีชื่อเสียง แต่พ่อค้าที่มีผู้คุ้มกันเป็นผู้ฝึกฝนพลังวิญญาณมีหรือจะธรรมดา พูดง่ายๆก็คือยี่เจินหมายจะลักไก่ขอกู้ยืมเงินจากร้านค้าใหญ่เพื่อเอาเกลือไปขายนั่นเอง

“ขอรับ…”เอมิลกะพริบตาปริบๆตอบรับพลางยืดอกเดินตามยี่เจินเข้าไปในร้านค้าที่ยี่เจินเลือก ความจริงก่อนหน้านี้ยี่เจินได้สอบถามลูกค้าของตนมาแล้วว่ามีที่ไหนปล่อยกู้เงินและน่าเชื่อถือบ้าง ทำให้ยี่เจินคิดจะคว้าโอกาสที่เกลือจะขึ้นราคาเอาไว้

“พวกเจ้างั้นหรือที่จะมาขอกู้เงิน”หลังจากติดต่อกับพนักงานด้านล่างแล้ว ยี่เจินและพวกจูล่งก็ถูกพาขึ้นมาที่ชั้น 4 ของอาคาร เข้ามาพบชายคนหนึ่งที่แต่งกายด้วยชุดที่ดูสุภาพเรียบร้อยอย่างมาก แต่ด้านหลังของมันกลับมีทั้งผู้คุ้มกันและเสื้อตัวใหญ่ที่เหมือนจะเป็นอสูรอีกต่างหาก

“พวกเราต้องการจะกู้เงินเพื่อไปลงทุนขอรับ”ยี่เจินว่าพลางนั่งลงตรงข้ามกับชายตรงหน้าทันที แน่นอนยี่เจินไม่มีชื่อเสียงหรือก็คือไม่มีความน่าเชื่อถือ ทำให้ชายตรงหน้าเลือกที่จะมองมาทางเอมิล และเกว็น รวมทั้งไป๋จูล่งด้วย พวกมันยืนอยู่ด้านหลังเหมือนเป็นผู้คุ้มกันของยี่เจิน

“กรรรร….”เสือตัวใหญ่ที่อยู่ด้านหลังชายคนนั้นมีท่าทีหวาดกลัวอย่างเห็นได้ชัด และไม่ต้องสงสัยเลยว่าที่เสือตัวนั้นเป็นแบบนี้เพราะเอมิลและเกว็นนั่นเอง พลังอสูรของพวกมันรุนแรงและน่ากลัวมาก แถมพวกมันทั้งสองยังปกปิดพลังไม่เป็นอีกต่างหาก แค่เจ้าเสื้อตัวนั้นไม่พยายามหนีออกจากห้องไปก็ถือว่ามันทำได้ไม่เลวแล้ว

“พวกเจ้าจะขนเกลือไปขายสินะ”ชายหนุ่มตรงหน้าพูดพลางมองยี่เจินอย่างรู้ทัน

“ถูกต้องแล้ว”ยี่เจินตอบพลางยืดตัวตรง อีกฝ่ายลากเข้าเรื่องสินค้าแบบนี้ท่าทางคนที่คิดจะขนเกลือไปขายจะไม่ได้มีแต่พวกตนเสียแล้ว

“ก็ไม่ใช่แค่ท่านหรอกนะที่คิดจะขนเกลือไปขายทางเหนือ แต่เส้นทางขึ้นไปทางเหนือมันอันตราย มีทั้งอสูรและโจร พวกท่านจะป้องกันสินค้าของพวกท่านไหวงั้นหรือ”ชายหนุ่มถามพลางมองไปทางผู้คุ้มกันชั่วคราวทั้ง 3 ของยี่เจิน อาณาจักรไชน์ยังไม่ได้ใกล้ชิดกับอสูรขนาดนั้น โดยเฉพาะทางเหนือที่ยังพบอสูรออกมาโจมตีอยู่ นอกจากนี้เพราะพึ่งจบสงครามไปไม่นาน พวกข้าศึกที่หนีรอดไปก็เลยผันตัวมาเป็นโจรคอยดักปล้นอยู่อีกหลายแห่ง คนที่มาที่นี่เพื่อขอกู้เงินเพื่อจะขนเกลือไปขายต่างถูกปฏิเสธเพราะร้านของมันเล็งเห็นแล้วว่าพวกนั้นไม่มีความสามารถพอจะคุ้มกันสินค้าได้ หากให้เงินลงทุนไปก็เหมือนโยนเงินเข้าปากอสูรหรือยื่นให้โจรเท่านั้นเอง

“แน่นอน พวกเรามีผู้คุ้มกันชั้นเยี่ยมอยู่”ยี่เจินว่าพลางส่งสายตามาทางเกว็นและเอมิล บอกให้พวกมันช่วยแสดงความสามารถหน่อย แม้จะไม่ทราบว่าทั้งสองมีพลังอยู่ระดับไหนก็ตาม

“กรรรรร..”เจ้าเสือด้านหลังแทบจะเข้าไปหลบหลังเก้าอี้ของชายหนุ่มหลังจากเกว็นและเอมิลปล่อยพลังอสูรออกมามากขึ้น ทำเอาเหล่าผู้คุ้มกันมีท่าทีประหลาดใจอย่างมาก ครั้งหนึ่งเคยมีอสูรระดับสูงมาที่นี่เจ้าเสือตัวนี้ยังไม่หวาดกลัวเช่นนี้เลยไม่ใช่หรือ

“อ๊ะ…”จูล่งเห็นยี่เจินส่งสายตามาทางพวกเกว็นก็พลันเข้าใจทันทีว่าหมายถึงตนเองด้วย แถมก่อนหน้านี้ยี่เจินยังบอกว่าให้ทำตัวน่ากลัวหน่อยด้วยอีกต่างหาก ไป๋จูล่งเลยเข้าใจผิดว่าให้ตนเองแกล้งทำเป็นผู้คุ้มกันด้วย มันจึงเริ่มปล่อยพลังวิญญาณและพลังอสูรออกมา

“……………” พริบตานั้น เหล่าผู้คุ้มกันของชายหนุ่มตรงหน้าพลันหยุดหายใจทันที พลังวิญญาณของจูล่งสูงลิบจนน่าใจหาย พวกมันเจอคนมามาก แต่ไม่เคยเจอใครที่มีพลังวิญญาณขนาดนี้เลย ยิ่งเจ้าเสือที่เดิมที่หวาดกลัวเกว็นและเอมิลอยู่แล้ว พอสัมผัสได้ถึงพลังของจูล่งมันก็ถึงกับวิ่งหนีออกไปจากห้องทันทีด้วยความกลัวสุดขีด ทำเอาชายหนุ่มที่พึ่งถามถึงความสามารถในการคุ้มกันของยี่เจินได้แต่มองภาพตรงหน้าอึ้งๆ

“นะ นายท่าน”ผู้คุ้มกันของชายหนุ่มเดินเข้ามาพลางกระซิบที่ข้างหูชายหนุ่มอย่างช้าๆ พวกมันสั่นอย่างเห็นได้ชัด แถมพอชายหนุ่มได้ทราบว่าระดับพลังของจูล่งนั้นสูงส่งแค่ไหน มันก็มีท่าทีเปลี่ยนไปทันที

“นายท่าน ร้านค้าของเรายินดีอย่างยิ่งที่จะให้ท่านกู้ยืมในครั้งนี้ หวังว่าการค้าของท่านจะเจริญรุ่งเรืองยิ่งขึ้น”ชายหนุ่มว่าพลางลุกขึ้นก้มหัวให้ยี่เจินทันที ทำเอายี่เจินที่หวังมาลักไก่เล็กๆน้อยๆได้แต่อึ้งไปเช่นกัน อยู่ๆอีกฝ่ายก็เปลี่ยนท่าทีไปเสียอย่างนั้น ไหนจะเจ้าอสูรรูปร่างเสือก่อนหน้านี้อีกต่างหาก อยู่ๆมันหนีออกไปทำไมกัน ตัวยี่เจินที่สัมผัสไม่ได้ทั้งพลังวิญญาณและพลังอสูรได้แต่มองตาปริบๆเท่านั้น