ภาคที่ 4 บทที่ 89 เทพอสูรบรรพกาลลืมตาตื่น

ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座)

บทที่ 89 เทพอสูรบรรพกาลลืมตาตื่น

คลื่นพลังอันทรงพลังและหนาแน่นอย่างน่าตกใจพลันกระเพื่อมออกจากร่างกู่ชิงลั่ว

กู่ชิงลั่วที่เดิมทีนอนราบอยู่บนเตียงพลันลอยขึ้นมา

พลังงานที่รุนแรงอย่างเห็นได้ชัดเริ่มแผ่ออกจากร่าง ส่งผลให้อุณหภูมิสูงขึ้น พวกข้ารับใช้ในห้องทนไม่ได้จนต้องถอยออกมา เหลือเพียงซูเฉินและกู่เหยาเยี่ยอยู่ภายใน เสื้อผ้าของกู่ชิงลั่วสะบัดปลิวไปทั่วยามพลังหลั่งไหลออกจากร่าง ราวกับนางเป็นต้นหลิ่วที่ตั้งตระหง่านอยู่ริมผาก็มิปาน

“นี่นางตื่นขึ้น…… จริงหรือนี่” กู่เหยาเยี่ยเอ่ยเสียงสั่น

ไม่มีใครรู้ดีไปมากกว่าเขาแล้วว่าตอนนี้สายเลือดกู่ชิงลั่วกำลังตื่นขึ้น

สายเลือดเทพอสูรบรรพกาลของนางตื่นแล้ว !

เขาจ้องซูเฉิน “เจ้าทำได้ยังไง ?”

สายตาซูเฉินเต็มไปด้วยแววโศก “ตอนข้าอยู่ในเมืองฉางผาน ข้าทำวิศวกรรมย้อนรอยจากสูตรยาปลุกสายเลือดชั้นยอดและปรุงยานี่ขึ้นมา แต่เพราะมันไร้ความจำเป็นต้องใช้ ข้าจึงพกติดตัวไปเท่านั้น……”

ซูเฉินมักค้นคว้าเรื่องต่าง ๆ มากขึ้นเรื่อย ๆ ยาปลุกสายเลือดนั้นเป็นเพียงงานเสริมเท่านั้น เพราะมันเป็นยาที่มีอยู่ก่อนแล้ว การย้อนสูตรจึงไม่ยากนัก เขาเลยไม่คิดจริงจังกับมัน จนกระทั่งได้ใช้มันในวันนี้

ทำวิศวกรรมย้อนรอยจากสูตรยาปลุกสายเลือดชั้นยอดหรือ ?

กู่เหยาเยี่ยอึ้งไป

ต่อซูเฉินนั้นอาจไม่ใช่เรื่องล้ำค่าอะไร การคิดค้นในสิ่งที่ไม่เคยเห็นมาก่อนเช่นนี้อาจไม่ใช่เรื่องล้ำหน้าอันใด แต่สำหรับกู่เหยาเยี่ยนั้นนับว่าเป็นเรื่องมหัศจรรย์นัก

กระนั้น แม้เขาจะทำสิ่งมหัศจรรย์เช่นนี้สำเร็จ แต่แววตากลับไร้แววสุข สีหน้ามีแต่ความหนักหน่วงโศกเศร้า

ใช่แล้ว เขารู้สึกได้แต่ความเศร้าเท่านั้น

ซูเฉินรู้ดีว่าสายเลือดนางตื่นขึ้นจะหมายความว่าอะไร

หมายความว่าทั้งสองต้องถูกแยกจากกัน !

ทุกอย่างจบลงแล้ว ตั้งแต่พริบตาที่สายเลือดกู่ชิงลั่วตื่นขึ้นมา

ถึงอย่างนั้นซูเฉินก็ไร้ทางเลือก

เขาได้แต่มองกู่ชิงลั่วตายไป หรือไม่ก็กระตุ้นสายเลือดของนางให้ตื่นขึ้นเท่านั้น

ซึ่งคำตอบมันก็แน่นอนอยู่แล้ว

แรงกดดันจากกู่ชิงลั่วเริ่มจางลง

นางค่อย ๆ ลอยลงมาบนเตียง จากนั้นก็ลืมตาขึ้น

ดวงตานางแต้มสีแดง

นางมองซูเฉิน หยาดน้ำตาไหลรินออกมา

ซูเฉินจึงรู้ว่านางเข้าใจทุกอย่างแล้ว

เมื่อสายเลือดนางตื่นขึ้น นางก็รู้แล้วว่ามันเกิดอะไรขึ้นบ้าง

“ชิงลั่ว !” ซูเฉินเอ่ยขึ้นเสียงสั่น

กู่ชิงลั่วส่ายหน้าน้อย ๆ

ซูเฉินพยายามเอื้อมมือคว้านางไว้ ทว่ากู่ชิงลั่วพลันกระโดดหลบมือเขาไปด้านข้าง

จากนั้นก็กระโจนผ่านซูเฉินและออกนอกประตูไป

“ชิงลั่ว !” กู่เหยาเยี่ยรู้ว่ากู่ชิงลั่วคิดทำอะไร พยายามเอื้อมมือคว้าร่างนางไว้เช่นกัน

แต่แม้จะอยู่ด่านผลาญจิตวิญญาณก็ไม่อาจคว้านางไว้ทันเช่นกัน

กู่ชิงลั่วผลุบออกนอกห้องไปราวกับลมหอบหนึ่ง ผ่านไปได้ทั้งซูเฉินและกู่เหยาเยี่ย

นางอยู่เพียงด่านทะลวงลมปราณ แต่กลับไม่สนความต่างพลัง กระโจนข้ามผ่านออกไปเช่นนั้น

“แย่ล่ะ !” กู่เหยาเยี่ยร้อง ก่อนสะบัดแขนเสื้อ หมุนเอาตัวซูเฉินเข้ามาแล้วพุ่งขึ้นฟ้าไป กู่เซวียนเหมี่ยนเองก็ตามไปด้วย

ไม่เพียงพวกเขา กระทั่งกู่เซวียนอวี่ กู่เซวียนเจาและคนอื่น ๆ ก็รุดเข้ามาเมื่อได้ยินข่าว พลันเห็นกู่ชิงลั่วเหินร่างขึ้นฟ้าไปก็ตกตะลึงแล้วร้องขึ้นพร้อมกัน “สายเลือดตื่นงั้นหรือ ?”

พริบตาต่อมาทั้งหมดก็กระโจนขึ้นไปไล่ตามกู่ชิงลั่วเช่นกัน

กู่ชิงลั่วเหินร่างอยู่ด้านหน้า คนอื่น ๆ ไล่ตามหลังนางมา

หากแต่ในเรื่องความเร็วนั้น ไม่มีใครตามนางได้ทันเลย

กู่ชิงลั่วเดินอยู่บนฟ้าสบาย ๆ เห็นก้อนเมฆราวกับเป็นขั้นบันได ทุกก้าวที่นางออกเดินก็จะมีเมฆขาวขึ้นมา แม้ซูเฉินจะใช้วิชาหอคอยพิสุทธิ์เคลื่อนกายซ้ำ ๆ ก็ไม่อาจมีความเร็วได้เท่านาง

ที่น่าตกใจคือกู่ชิงลั่วเพียงเดินทอดน่องเท่านั้น ยังไม่ได้ออกแรงเต็มกำลัง

เห็นแล้วกู่เหยาเยี่ยก็ส่ายหน้า “เรื่องมันเป็นเช่นนี้นี่เอง เดิมทีนางมีโอกาสจะตื่นขึ้นอยู่แล้ว ดังนั้นมันจึงตื่นขึ้นได้ไม่ยากเย็น และตอนนี้สายเลือดนางตื่นขึ้นมาแล้วจริง ๆ กำลังนางจึงพุ่งทะยานถึงขีดสุด”

ระหว่างกล่าว กู่เหยาเยี่ยก็วาบร่างรุดหน้าไปราวกับสายฟ้าแลบ กลายเป็นสายฟ้าเส้นหนึ่ง ส่งเสียงตะโกนไล่หลังนางไป “ชิงลั่ว เจ้าต้องสงบใจ !”

กู่ชิงลั่วไม่หันกลับมาด้วยซ้ำ “บรรพชน ข้าสงบนัก นี่เป็นการตัดสินใจที่ข้าเลือกยามใจข้าสงบแล้ว”

กู่เหยาเยี่ยไม่สบายใจ “อย่าคิดว่าจ้าไม่รู้ว่าเจ้าจะทำอะไรนะ เจ้าจะไปตระกูลโจวใช่หรือไม่ ?”

“ใช่ ข้าจะไปตระกูลโจว” กู่ชิงลั่วตอบ “โจวชิงขวงหมายเอาชีวิตข้า ข้าก็ต้องไปทวงหนี้จากเขา”

“ไอ้หยา เจ้าจะทำถึงปานนั้นเลยหรือ ? เรื่องโจวชิงขวงพวกข้าจัดการได้……”

“ข้าไม่ต้องการให้พวกท่านจัดการ ข้าจะจัดการเอง” กู่ชิงลั่วตอบเสียงเย็น

หลังจากสายเลือดเทพอสูรบรรพกาลตื่นขึ้นแล้ว ใจนางก็ค่อย ๆ สงบลงเนื่องจากสายเลือด

จริง ๆ แล้วก็คงเรียกว่าความสงบไม่ได้ แต่มันเป็นสภาวะอารมณ์ของคนที่มีกำลังมหาศาลต่างหาก มากเสียจนไม่อาจมีใครมาห้ามนางได้

แต่กู่เหยาเยี่ยยังพยายามโน้มน้าวนาง “ตระกูลโจวอย่างไรก็เป็นตระกูลสายเลือดราชันอสูร มีด่านผลาญจิตวิญญาณที่แกร่งกว่าข้าด้วยซ้ำ เจ้าทำเช่นนี้ไม่สมควร ไยไม่ใช้เวลาตัดสินใจอีกสักหน่อย……”

กู่ชิงลั่วตอกกลับ “ข้ายังมีเวลาตัดสินใจอีกหรือ ?”

กู่เหยาเยี่ยชะงักไป

เขาย่อมรู้ว่ากู่ชิงลั่วไม่มี

หกอาณาจักรจับตามองคนสายเลือดตระกูลกู่อยู่ตลอด หากมีใครสายเลือดตื่นขึ้นก็จะส่งคนมารับมือทันที

ที่กู่ชิงลั่วรีบมุ่งไปตระกูลโจวทันทีที่ฟื้นเป็นเพราะนางรู้ว่านางไร้เวลาให้เสียแล้ว

ดังนั้นนางจึงตรงไปตระกูลโจวทันที

“ซูเฉิน เจ้าลองกล่อมนางดู อย่างไรเจ้าก็เป็นคู่หมั้นนาง นางคงฟังเจ้าบ้าง” กู่เหยาเยี่ยเอ่ยจนใจ

“กล่อมหรือ ?” ซูเฉินว่า “เหตุใดต้องกล่อมนาง ? ใครทำอะไรก็ต้องรับผลการกระทำนั้น ในเมื่อโจวชิงขวงกล้าทำร้ายคู่หมั้นข้า เขาก็ควรได้รับผลจากการกระทำของตนเอง”

“ว่าไงนะ ?” กู่เหยาเยี่ยชะงักไป

ซูเฉินเอ่ยกับกู่ชิงลั่ว “ชิงลั่ว หากเจ้าอยากแก้แค้น เจ้าจะไม่พาข้าที่เป็นคู่หมั้นไปด้วยได้อย่างไรกัน ?”

“ซูเฉิน เจ้า……” กู่ชิงลั่วจ้องซูเฉินด้วยความตกตะลึง

“หรือพอสายเลือดเจ้าตื่นขึ้นเลยมองว่าข้าหมดค่าแล้ว ?” ซูเฉินถาม

กู่ชิงลั่วสองตาปริ่มน้ำตา “เจ้าก็รู้ว่าข้าไม่ได้คิดเช่นนั้น เจ้าพูดออกมาได้อย่างไรกัน ?”

ซูเฉินคลี่ยิ้ม “เช่นนั้นแบบนี้ได้หรือ ? เจ้าสายเลือดตื่นขึ้นแล้วอย่างไร ? ต้องไปอาณาจักรภูผาสูญแล้วอย่างไร ? เจ้าก็ยังเป็นคู่หมั้นข้า กฎหมายเจ็ดอาณาจักรบอกเพียงว่าคนที่สายเลือดเทพอสูรบรรพกาลตื่นขึ้นต้องไปยังอาณาจักรภูผาสูญและถูกจับตามองใกล้ชิด แต่ไม่ได้ห้ามเรื่องแต่งงานนี่ ? ไม่มีกฎข้อใดบอกว่าคนสายเลือดเทพอสูรบรรพกาลแต่งกับคนไร้สายเลือดไม่ได้นี่นา ? สตรีที่ข้าจะแต่งด้วยไปไหนข้าย่อมไปด้วย เรื่องนี้ผิดปกติตรงไหน ?”

ได้ยินดังนั้น กู่ชิงลั่วก็หัวเราะทั้งน้ำตา “คนว่ากันว่า ‘หากแต่งงานกับไก่ย่อมต้องทำตามไก่’ เจ้าเห็นข้าเป็นไก่งั้นหรือ ?”

“นี่เป็นคำขอของข้า บอกมาสิ ว่าเจ้าจะพาข้าไปล้างแค้นด้วยหรือไม่ ?”

กู่ชิงลั่วคว้ามือซูเฉินไว้ “ข้าเต็มใจสิ ! ในเมื่อเจ้าบอกว่าสตรีที่เจ้าจะแต่งด้วยไปไหนเจ้าย่อมไปด้วย เช่นนั้นเจ้าก็ต้องตามมาด้วย !”

“แน่นอน” ซูเฉินตอบ

หากแต่ตอนนั้น เขาอดนึกถึงจูเซียนเหยาขึ้นมาไม่ได้