บทที่ 5 บทที่ 22-1 ท่าทางการทำงานที่แท้จริงของภูตดำ

สมาคมแลกเปลี่ยนทราฟฟอร์ด

บทที่ 22-1 ท่าทางการทำงานที่แท้จริงของภูตดำ โดย Ink Stone_Fantasy

 

ท้องฟ้ายามนี้มืดหม่น…เช่นเดียวกับอารมณ์เขาในตอนนี้

ติงตงเซิงเอาแต่นั่งถอนหายใจ เหม่อมองบันไดหลังห้องเรียน ซึ่งเขาไม่ได้อยู่ที่นี่เพียงลำพัง

ด้วยเป็นสถานที่พอจะหลบพ้นสายตาของพวกอาจารย์ได้เป็นอย่างดี ที่นี่เลยมักมีคนแวะเวียนมาเสมอ

ตอนนี้เป็นเวลาเข้าเรียนของระดับชั้นม.สี่ทั้งหมดในโรงเรียนประจำเมืองแห่งนี้ ทว่านักเรียนชายสองคนกลับแอบย่องมาที่นี่เพื่อสูบบุหรี่และพูดคุยไร้สาระกัน

แต่พอหนึ่งในนั้นเห็นติงตงเซิงนั่งอยู่ข้างล่างแล้วก็ชะงักไปเล็กน้อย

 “ทำไม นายรู้จักหมอนี่ด้วยเหรอ?” เพื่อนถามอย่างแปลกใจ

เขายักไหล่ตอบว่า “ก็เด็กหัวกะทิของห้องเราไง”

เวลานี้เด็กหัวกะทิควรนั่งตั้งใจเรียนในห้องไม่ใช่เหรอ?” เพื่อนพูดเยาะเย้ย “เด็กหัวกะทิเลยนะนั่น!”

 “คงจะอารมณ์ไม่ดีล่ะมั้ง” เขาพูดส่งๆ “เดือนที่แล้วนี่เองไม่ใช่เหรอ เรื่องนักเรียนหญิงคนหนึ่งในห้องเรียนของพวกเรากระโดดลงมาจากตึก? ได้ยินว่าติงตงเซิงแอบชอบเธอด้วยนะ”

 “ที่แท้ก็เมียตายนี่เอง”

แล้วเพื่อนก็พูดขึ้นมาทันทีว่า “มิน่าล่ะถึงได้เป็นแบบนี้…ว่าแต่ เมื่อไม่กี่วันมานี้ก็มีคนโดดตึกอีกคนแล้วไม่ใช่เหรอ? เห็นในทีวีบอกว่าเป็นนักเรียนชายโรงเรียนติดกันคนหนึ่ง ช่วงนี้แรงกดดันเยอะจริงๆ เลยนะ เด็กเรียนเก่งถึงได้อยากโดดตึกกันทั้งนั้น อย่างพวกเรานี่ควรปรับปรุงตัวหรือเปล่า?”

 “อย่าพูดเรื่องนี้เลย เซ็ง! พวกเรามาคิดกันดีกว่าว่า เลิกเรียนแล้วจะไปเที่ยวไหนดี?” เขาถือโอกาสเปลี่ยนเรื่องอย่างรวดเร็ว

ทั้งสองคนเริ่มหารือกันอย่างออกรส จนไม่รู้ว่าติงตงเซิงเดินจากไปตั้งแต่ตอนไหน

พวกเขายิ่งไม่รู้ว่า ก่อนหน้าติงตงเซิงไปได้ยังพึมพำกับตัวเองว่า ‘หรงหรงไม่ได้ฆ่าตัวตายสักหน่อย ต้องมีใครบังคับเธอแน่’

ตงตงเซิงก็ไม่ได้รีบกลับไปเข้าเรียนในทันที ตอนแรกเขาไปนั่งด้านหลังบันไดก็แค่ไม่อยากให้ใครมารบกวนเท่านั้นเอง พอมีคนมา จึงเปลี่ยนมาด้านหลังห้องสมุดโรงเรียนอันแสนเงียบสงบแทน

เขาวิ่งมาที่นี่ตลอดทาง

แต่แล้วติงตงเชิงก็หยุดวิ่ง

ที่ด้านหน้าต้นไม้สีเขียวต้นหนึ่ง เขาออกแรงชกไปที่ลำต้นนี้แรงๆ หมัดหนึ่ง

ผ่านไปตั้งเดือนกว่าแล้ว ถึงแม้ว่าช่วงปิดเทอมหน้าร้อนยังไม่สิ้นสุดลง แต่ด้วยเป็นนักเรียนม.หก จึงเริ่มเรียนติวเข้มมาตั้งนานแล้ว

แต่ก็เพิ่งผ่านไปแค่เดือนกว่าๆ เท่านั้นๆ กลับไม่เคยมีใครพูดถึงนักเรียนหญิงคนหนึ่งในชั้นเรียนที่ชื่อหรงหรงเลย

มีเพียงเขาที่จำได้ว่ามีเด็กสาวคนนี้…รอยยิ้มของเธอ คำพูดของเธอ ท่าทางของเธอ…ทุกสิ่งทุกอย่างของเธอ

“เราคุยกันเรียบร้อยแล้วแท้ๆ ว่าจะไปเรียนมหาวิทยาลัยเจียวถง*ด้วยกัน แต่ทำไมเธอถึง…”

ติงตงเชิงพิงต้นไม้อย่างไร้เรี่ยวแรง แล้วมองดูท้องฟ้ามืดสลัวๆ คล้ายฝนจะใกล้ตกเต็มที “แต่ทำไมเธอถึงเปลี่ยนไป…”

เขาและเธอเข้าออกห้องสมุดด้วยกัน อยู่ติวแบบฝึกหัดที่นี่ด้วยกันหลังเลิกเรียน เคยเที่ยวชมงานราตรีศิลปวรรณคดีด้วยกัน เคยทะเลาะกันด้วยเรื่องรายการแสดง และเพราะทะเลาะกันจึงใส่ใจอีกฝ่ายมากขึ้น

ทำไมถึงเปลี่ยนไปล่ะ…เปลี่ยนไปจนเริ่มเย็นชาและห่างเหิน?

เพราะการปรากฏตัวของผู้ชายคนนั้นเหรอ?

ติงตงเซิงไม่ใช่แค่แอบยืนดูเธออยู่ที่ชั้นล่างของบ้านเธอเงียบๆ แต่ยังเห็นเธอขึ้นลงรถเก๋งของผู้ชายคนหนึ่งหลายครั้งด้วย

“อย่ายุ่งกับฉันเลย โลกของเรามันต่างกัน เธอตั้งใจเรียนให้เต็มที่เถอะ…ฉันไม่อยากไปมหาวิทยาลัยเจียวถงแล้ว”

จำได้ว่าปิดเทอมหน้าร้อนเพิ่งเริ่มไปได้ไม่นาน แต่คำพูดสุดท้ายที่เฉียวหรงหรงพูดกับเขา กลับทำให้เขาสูญเสียเป้าหมายที่มีทั้งหมดไป เขาหลบอยู่ในบ้านไม่ออกไปไหนหนึ่งสัปดาห์เต็มๆ …แต่เขานึกไม่ถึงว่า หลังจากพบกันครั้งนั้น จะเหมือนอย่างที่เฉียวหรงหรงพูดไว้จริงๆ

พวกเขากลายเป็นคนที่อยู่ต่างโลกกันโดยสิ้นเชิง ในที่สุดเธอก็กลายเป็น ‘ผู้ฆ่าตัวตายรายที่สาม’ ไปเสียแล้ว

สวีจ้าว

ชื่อของผู้ชายคนนี้ที่ทำให้เฉียวหรงหรงเปลี่ยนแปลงไป หลังจากข่าวการเสียชีวิตไม่นาน ติงตงเซิงก็ยังทำใจลืมเธอไม่ได้…ถึงแม้ว่าทางตำรวจจะยืนยันว่าหรงหรงตกลงมาจากตึกเอง แต่ติงตงเซิงไม่เชื่อเรื่องนี้เลยสักนิดเดียว

การตายของหรงหรง จะต้องเกี่ยวกับสวีจ้าวแน่ๆ!

“เธออยากแก้แค้นผู้ชายคนนี้ไหม?”

ทันใดนั้นเอง ก็มีเสียงหนึ่งดังขึ้นข้างๆ หูของติงตงเซิง ราวกับเป็นความคิดที่ดังอยู่ในใจเขาก็ไม่ปาน…เสียงสูงแหลมแหบพร่า ไม่น่าฟัง ราวกับเสียงแม่มด

ที่เขาไม่รู้ก็คือ มีบางอย่างสีดำสนิทกำลังลอยวนเวียนอยู่ในเงาของเขา และเงานั้นก็ค่อยๆ แยกตัวออกมา

นั่นเป็นเสียงของภูตดำหมายเลขสิบแปด

“ฉันก็หลบไปเข้าห้องน้ำเป็นระยะๆ เหมือนกันนะ? ทำไมฉันไม่เคยได้ยินอะไรแบบนี้เลย?”

เริ่นจื่อหลิงจ้องหลีจื่อเหมือนไอ้ขี้แพ้…หรือว่านี่เป็นโชคดีที่มาจากมือใหม่ ก็เหมือนคนที่แต่ไหนแต่ไรไม่เล่นไพ่นกกระจอก แต่พอเล่นกลับกินเรียบได้อย่างน่าประหลาดใจ??

“พี่เริ่น พี่มองฉันแบบนี้ ฉันกดดันมากนะคะ!”

เริ่นจื่อหลิงยักไหล่

ตอนนี้พวกเธอนั่งอยู่ในร้านเครื่องดื่มเย็นแห่งหนึ่งแถวๆ สถาบันสอนพิเศษ ซึ่งเป็นเวลาหลังจากเลิกเรียนพิเศษแล้ว

เริ่นจื่อหลิงคิดพลางพูดว่า “จากที่เธอเล่า สวีจ้าวคนนี้เป็นพวกกากเดนที่ชอบแอ้มนักเรียนสาว และพบเจอได้มากในสังคม…แต่ว่า นักเรียนหญิงสองคนนี้ยังพูดถึงเรื่องผู้ตายสี่ห้าคนนั้นด้วยน่ะเหรอ?”

หลีจื่อหยักหน้า “พวกเขาน่าจะเคยทำเรื่องบางอย่างด้วยกัน ฟังจากที่นักเรียนหญิงสองคนนี้พูดคุยกัน เกรงว่าจะไม่ได้มีแค่คนพวกนี้เท่านั้นค่ะ บางทีอาจจะมากกว่านั้น…ไม่รู้ว่าเป็นเรื่องอะไรนะคะ?”

“อืม…” เริ่นจื่อหลิงคิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วก็พยักหน้าพลางพูดว่า “ไปสืบข่าวเรื่องพวกนี้มาได้ก็นับว่าเก่งมากแล้วล่ะ! หลีจื่อ ครั้งนี้เธอช่วยฉันได้มากจริงๆ เดี๋ยวฉันต้องรีบไปบอกหม่าโฮ่วเต๋อสักหน่อยแล้ว เรื่องนี้มันขักจะยิ่งซับซ้อนขึ้นทุกที ลางสังหรณ์ฉันมันบอกว่าจะมีอันตราย…ยังไงก็ให้ทางตำรวจจัดการดีกว่า ส่วนพวกเราแค่หาเบาะแสกันก็พอแล้วล่ะ”

หลีจื่ออึ้ง รีบถามว่า “เดี๋ยวค่ะ พี่เริ่น นิสัยอย่างพี่นี่ น่าจะเข้าถ้ำเสือไม่ใช่เหรอคะ? พี่เป็นอะไรไปคะ?”

เริ่นจื่อหลิงพ่นควันบุหรี่แล้วพูดว่า “ถ้าเป็นหลายปีก่อนก็คงใช่ ตอนนี้ไม่เหมือนกันแล้ว แม้จะบอกว่าหน้าที่ของพวกเราคือรายงานความจริง แต่ตอนที่ล้ำเส้นไม่ได้ก็อย่าไปล้ำเส้นเลย เหมือนอย่างครั้งนี้ สรุปแล้วก็คืออยู่ในขอบเขตการสืบลับๆ ส่วนขั้นตอนต่อไป ก็ยกให้เป็นงานของตำรวจเถอะ”

หลีจื่อได้ยินคำพูดบ้าบอพวกนี้ของเริ่นจื่อหลิง ก็ไม่อยากจะเชื่อหูตัวเอง

เธอกะพริบตา พูดยิ้มๆ ว่า “เพราะลั่วชิวเหรอคะ?”

เริ่นจื่อหลิงตอบกลับอย่างมีเหตุผล “ไม่ทำให้คนในครอบครัวเป็นห่วงจนเกินไป ไม่ใช่สิ่งที่คนในครอบครัวควรทำกันหรอกเหรอ?”

 ถึงแม้วันนั้นลั่วชิวจะบอกให้เธอเป็นตัวเองได้บ้าง ทำเรื่องที่ตัวเองชอบบ้าง แต่จะให้เริ่นจื่อหลิงไม่กังวลเลยได้ยังไง?

ตอนกลับถึงบ้าน ถ้ามีสักคนพูดกับคุณว่า ‘ยินดีต้อนรับกลับบ้าน’ มันก็สำคัญกว่าอะไรทั้งหมดแล้ว

ดังนั้น แม้ว่าจะไม่กล้าบุกน้ำลุยไฟเหมือนเมื่อก่อนอีก แต่ก็ยังสามารถขยายวงสืบหาเบาะแสได้บ้าง ถึงแม้จะเป็นการทำงานของคนใกล้เกษียณ ถึงจะช่วยอะไรไม่ได้มากเหมือนเดิม แต่ไม่ได้ทิ้งเจตนาเดิมของตัวเอง…แค่นี้ก็พอใจมากแล้วล่ะ

“คนในครอบครัวเหรอ…” หลีจื่อตักไอศกรีมก้อนหนึ่งยัดเข้าไปในปาก รู้สึกถึงความเย็นที่ค่อยๆ กระจายไปช้าๆ…คนในครอบครัว คนในครอบครัวจะเป็นยังไงนะ?

เธอไม่รู้เลย

ตั้งแต่เธอจำความได้ ก็ไม่เคยสัมผัสสิ่งที่เรียกว่าครอบครัวเลยแม้แต่น้อย