หลี่ซื่อหมินและอวิ๋นเยี่ย คนหนึ่งฟังคำประจบสอพลอจนเคลิบเคลิ้มเป็นที่สุด อีกคนหนึ่งในใจแฝงไว้ด้วยเป้าหมาย เตรียมพร้อมที่จะร้องขอจากฮ่องเต้ทุกเวลา ใครจะรู้ว่าในเวลาเข้าด้ายเข้าเข็มเช่นนี้ กลับมีพวกไม่รู้กาละเทศะเข้ามาขัดคอ แล้วจะไม่ให้หลี่ซื่อหมินและอวิ๋นเยี่ยโกรธได้อย่างไร จะไม่ให้เห็นเป็นศัตรูได้อย่างไร
คนประเภทรนหาที่ทั้งยังน่ารังเกียจ นอกจากเว่ยเจิงแล้วยังจะมีใครอีก ความโกลาหลเมื่อวานนี้ทำให้ผู้คนใต้หล้าต่างอกสั่นขวัญแขวน เหล่าขุนนางบุ๋นบู๊พากันวิตกกังวลอยู่ไม่เป็นสุข กว่าจะปลอบขวัญให้ประชาชนฉางอันสงบลงได้ไม่ใช่ง่าย บ้านตระกูลโต้วกลายเป็นซากปรักหักพัง โต้วหวยเอินถูกชาวบ้านตีจนตายทั้งเป็น โต้วหวยอี้เห็นสถานการณ์ไม่ดีจึงได้แขวนคอตาย เจ้าบ้านตระกูลโต้วตายด้วยความหวาดกลัว ยิ่งไม่ต้องพูดถึงสาวใช้และคนรับใช้ที่ตายไปอีกนับไม่ถ้วน เวลาสั้นๆ เพียงสองชั่วยามก็มีคดีข่มขืนสามสิบเอ็ดคดีและคดีฆาตกรรมเกิดขึ้นสิบเจ็ดคดี ส่วนการปล้นนั้นมีอีกนับไม่ถ้วน ไม่เพียงแต่ตระกูลโต้วต้องพบกับภัยพิบัติ แม้แต่เพื่อนบ้านละแวกใกล้ๆ อีกสามครอบครัวก็ถูกปล้นด้วย นายหญิงของเพื่อนบ้านถูกขืนใจ หากไม่ใช่เพราะจินอู๋เว่ยลงมือได้ทันการณ์ การจลาจลจะกระจายไปทั่วเมือง ความโหดร้ายของมนุษย์ปรากฏออกมาท่ามกลางความโกลาหลจนหมดสิ้น
ในฐานะเก่ยซื่อจง[1] จะไม่ให้เว่ยเจิงโกรธได้อย่างไร ระบบระเบียบที่เหล่าขุนนางต้าถังพยายามรักษาเอาไว้อย่างเต็มที่กลับถูกทำลายลงจนไม่เหลือชิ้นดีภายในวันเดียว ทั้งยังสร้างแบบอย่างอันเลวร้ายอย่างยิ่งสำหรับชนรุ่นหลัง ซึ่งก็คือหากมีความไม่พอใจ ก็จะรวมตัวกันเพื่อก่อความโกลาหล
ฝางเสวียนหลิงปิดปากนิ่งเงียบเกี่ยวกับเรื่องนี้ ตู้หรูฮุ่ยหลีกเลี่ยงที่จะพูดถึงเรื่องนี้ เหล่าตระกูลใหญ่เก็บตัวเงียบเหมือนจักจั่นไม่ร้องในฤดูหนาว ปิดประตูไม่ต้อนรับแขก อวี้ฉือกงตะโกนเสียงดังว่าเยี่ยม ปรบมืออย่างสะใจ เรื่องตระกูลโต้วถือว่าเป็นการรนหาที่เอง เว่ยเจิงยังไม่โง่พอที่จะกระตุกหนวดเสือของฮ่องเต้ แต่เพื่อนบ้านเหล่านั้นที่ติดร่างแหรับเคราะห์ไปด้วยมีความผิดอันใด นายหญิงของเพื่อนบ้านที่ถูกขืนใจได้พยายามฆ่าตัวตายถึงสองครั้งแล้ว แม้ว่าเพื่อนบ้านจะเป็นเพียงเฉิงซื่อกวน[2]ตัวเล็กๆ แต่ก็เป็นขุนนางเช่นกัน อาศัยในบ้านที่สืบทอดจากบรรพบุรุษ แต่คราวนี้บ้านก็ถูกไฟเผาไปกว่าครึ่งหนึ่ง เสียหายอย่างหนัก แต่ไม่รู้จะไปร้องทุกข์ที่ใด ทั้งครอบครัวได้แต่กุมศีรษะร้องไห้อยู่ในกองซากปรักหักพังเท่านั้น
เว่ยเจิงผู้ซึ่งมาตรวจสถานที่เกิดเหตุย่อมต้องรู้สึกโกรธจนเลือดขึ้นหน้า ความโกรธแค้นแน่นอกอย่างแน่นอน ตัดสินใจไปที่ต้าหลี่ซื่อเพื่อฟ้องร้องอวิ๋นเยี่ยที่เป็นตัวการใหญ่ เพื่อบรรเทาความโกรธแค้นในใจ อีกทั้งจะถือโอกาสดูว่าจะได้รับค่าชดเชยจากอวิ๋นเยี่ยหรือไม่ เพื่อจะได้ไปปลอบใจเหยื่อผู้บริสุทธิ์เหล่านั้น
ใครจะคิดว่าอวิ๋นเยี่ยอยู่ในคุกก็ยังคงหาได้สำนึกผิดไม่ ทั้งยังพูดฉะฉานหว่านล้อมประจบประแจงให้หลงเชื่อ ซึ่งไม่ควรให้อภัยอย่างเด็ดขาด
“ฝ่าบาททรงมีพระวรกายอันล้ำค่า แต่ทรงลดตัวมาถึงเรือนจำซึ่งเป็นสถานที่สกปรก กระหม่อมยังคิดว่าจะทรงเสด็จมาเพื่อสั่งสอนพวกที่กลับกลอก ไหนเลยจะคิดถึงว่านายบ่าวจะเสวนากันอย่างสนุกสนาน เห็นชีวิตคนไร้ค่า มนุษย์เล่าเป็นอะไร เห็นขุนนางสับปลับที่เห็นชีวิตคนเป็นผักปลาเป็นคนรู้ใจ กระหม่อมรู้สึกไม่คู่ควรแทนฝ่าบาทยิ่งนัก”
เว่ยเจิงที่มีผิวสีแสดงท่าทียอมรับไม่ได้ นิ้วชี้และนิ้วกลางยื่นตรงชี้ไปที่อวิ๋นเยี่ยพร้อมทั้งต่อว่าว่าเป็นขุนนางขี้ประจบ ซึ่งพฤติกรรมนี้ไหนเลยทำให้หลี่ซื่อหมินที่เมื่อครู่กำลังพูดคุยกับอวิ๋นเยี่ยอย่างถูกคอรู้สึกดี จึงตะโกนว่า “เว่ยเจิง เจ้าบังอาจ เราจะพูดเล่นกับขุนนางบ้าง มีอะไรไม่ได้กัน”
“หากปกติฝ่าบาททรงหยอกล้อเล่นกับอวิ๋นเยี่ย กระหม่อมย่อมไม่กล้ายุ่งวุ่นวายอย่างแน่นอน แต่เสียงร่ำไห้ที่ตรอกซิ่งฮว่าฟางนั้นเป็นที่น่าสังเวชมาก หรือว่าฝ่าบาทจะไม่ทรงไยดีต่อความทุกข์ร้อนของประชาชนและขุนนางแม้แต่น้อยนิดเลยหรือพ่ะย่ะค่ะ” ในที่สุดก็ได้มีโอกาสเห็นความแข็งกร้าวของเว่ยเจิงต่อหน้าพระพักตร์แล้ว ได้ยินว่าเขาไม่เคยใส่ใจต่อสีหน้าของฮ่องเต้ เมื่อมีโอกาสก็จะทำเรื่องเล็กให้เป็นเรื่องใหญ่ บางครั้งก็ยังบั่นทอนบารมีของฮ่องเต้อีกด้วย ตอนนี้ดูไปแล้วเขาก็ทำสำเร็จจริงดังว่า
มือของหลี่ซื่อหมินกำสลับแบไม่หยุด ไม่ต้องคิดก็รู้ว่าฮ่องเต้ผู้ยิ่งใหญ่จะต้องโกรธมากในตอนนี้ อวิ๋นเยี่ยมองดูชุดชั้นในของตัวเองพลางครุ่นคิดว่า เขาควรเรียนรู้จากจั่งซุนหรือไม่ ที่เปลี่ยนมาสวมชุดขุนนางแล้วแสดงความยินดีกับฮ่องเต้ที่มีขุนนางดีที่พร้อมจะทำให้หงุดหงิดใจอีกคนหนึ่ง
เขาทำให้ฮ่องเต้พูดอะไรไม่ออกแล้ว แน่นอนว่าพุ่งเป้าไปที่อวิ๋นเยี่ย การที่ชอบกระตุกหนวดเสืออยู่บ่อยๆ นั้นวันหนึ่งจะต้องเกิดเรื่อง
“ห้าร้อยก้วน!” อวิ๋นเยี่ยยื่นมือออกไปแล้วแบมือแสดงเลขห้า จนจะไม่ทะเลาะกับเว่ยเจิงอย่างเด็ดขาด เพราะเขานั้นหากินอยู่กับการด่าว่าผู้อื่น การทะเลาะกับเขาต้องถูกเขาด่าไม่เหลือชิ้นดีแน่ คนฉลาดจะไม่พึงกระทำ ไม่ว่าเขาจะโกรธแค้นเท่าไร เขาเพียงแค่ต้องการจะชดเชยให้กับผู้ที่ได้รับผลกระทบบ้างเท่านั้น เรื่องที่สามารถแก้ปัญหาได้ด้วยเงิน อวิ๋นเยี่ยจะไม่รนหาเรื่องอย่างเด็ดขาด ไม่เห็นหรือว่าเขาทำให้ฮ่องเต้โกรธจนแทบชักแล้ว
“ฮึ! เจ้าเป็นคนที่มีโทษติดตัว เจ้าไม่มีสิทธิจะได้พูด อายุน้อยๆ แต่กลับลงมืออย่างโหดเ**้ยม ปลุกระดมชาวบ้านเพื่อทำงานให้ตนเอง ใจดำอำมหิต!” พูดด้วยความเจ็บแค้นใจเช่นเดิม พูดตำหนิด้วยวาทะที่เถรตรงมากด้วยเหตุผลเช่นเดิม แต่ทว่าคำว่าขุนนางขี้ประจบหายไปไหนเสียแล้ว
“หนึ่งพันก้วน!” ไม่มีคำว่าขุนนางขี้ประจบนี่ถือเป็นเรื่องที่ดี อวิ๋นเยี่ยตัดสินใจขึ้นราคา เพื่อดูว่าจะสามารถลบคำว่าใจดำอำมหิตออกไปได้หรือไม่
“เพื่อให้บรรลุเป้าหมายแล้วเจ้าไม่เลือกวิธีการ ท่ามกลางการจลาจล มีคดีข่มขืนเกิดขึ้นสามสิบเอ็ดคดี ตายไปสิบเจ็ดชีวิต นี่คือบาปกรรมที่เจ้าสร้างขึ้นในสองชั่วยาม เจ้ายังจะมีหน้าไปพบพ่อแม่พี่น้องชาวฉางอัน มีหน้าเข้าไปยืนในราชสำนักในฐานะขุนนางที่สร้างความชอบด้วยความภาคภูมิใจอีกหรือ”
เจ้าคนสารเลว กัดคนอื่นไม่ยอมปล่อยเลย เงินหนึ่งพันก้วนสามารถสร้างอาคารได้สามหลังทั้งยังมีเหลือ แม้แต่ความตายและการบาดเจ็บของตระกูลโต้วก็นับเป็นความผิดของอวิ๋นเยี่ย นี่มันจะมากเกินไปแล้ว หลี่ซื่อหมินดูเหมือนจะหายโกรธแล้ว เอามือไพล่หลังฟังการสนทนากันระหว่างขุนนางทั้งสองอย่างสนุกสนาน
เว่ยเจิงนั้นล่วงเกินไม่ได้และไม่กล้าด้วย เมื่อมาคิดๆ ดู ในหนังสือประวัติศาสตร์ได้ยกย่องผู้ที่อยู่เบื้องหน้าท่านนี้ว่าเป็นกระจกเงาสะท้อนคนมานานนับพันปี ขอเพียงถูกกระจกบานนี้ส่องเข้าให้ ไม่ว่าจะเป็นเหตุการณ์ใหญ่หรือเล็กล้วนถูกบันทึกไว้หมด อวิ๋นเยี่ยไม่อยากให้หนังสือประวัติศาสตร์บันทึกว่าเว่ยเจิงได้วิพากษ์วิจารณ์คุณชายเสเพลอวิ๋นเยี่ยไว้ จึงได้แต่ต้องทนเจ็บและจ่ายเงิน แต่การชดใช้เงินให้กับตระกูลโต้วทำให้อวิ๋นเยี่ยหงุดหงิดเป็นอย่างมาก
“หนึ่งพันห้าร้อยก้วน อีกหนึ่งชั่วยามให้หลัง เหอเซ่าจะส่งเงินไปยังที่ว่าการของเขตฉางอันและขอให้ใต้เท้าคอยตรวจควบคุมด้วย”
เว่ยเจิงสะบัดแขนเสื้อแล้วหันไปถวายบังคมหลี่ซื่อหมินด้วยความเคารพ พูดเพียงประโยคเดียว “กระหม่อมขอทูลลา ตอนนี้ที่ตรอกซิ่งฮว่าฟางเหลือแต่ซากปรักหักพัง กระหม่อมต้องทำการตรวจสอบสถานที่เกิดเหตุ ขอฝ่าบาททรงอนุญาตด้วย” หลี่ซื่อหมินมองเว่ยเจิงด้วยแววตาประหลาดใจ เดิมคิดว่าวันนี้อวิ๋นเยี่ยจะต้องถูกวิพากษ์วิจารณ์ทั้งคำพูดและลายลักษณ์อักษร คิดไม่ถึงว่าจะแก้ปัญหาได้ด้วยคำพูดเพียงไม่กี่ประโยค เดิมคิดว่าไม่แน่ว่าตนเองอาจจะต้องใช้อำนาจในการทำให้เรื่องนี้จบลง ตอนนี้ดูเหมือนว่าไม่จำเป็นแล้ว
“เว่ยชิง เจ้าไปตรวจดูสถานที่เกิดเหตุที่ตรอกซิ่งฮว่าฟาง เรายังต้องอยู่สั่งสอนเด็กคนนี้ให้เต็มที่เสียหน่อย”
เรื่องนี้ในสายตาของเว่ยเจิงดูเหมือนจะเป็นเรื่องใหญ่มาก แต่ในสายตาของหลี่ซื่อหมินมันไม่ใช่เรื่องใหญ่ สิ่งที่เขาใส่ใจก็คืออวิ๋นเยี่ยถึงกับสามารถปลุกปั่นอารมณ์ของผู้คนด้วยคำพูดเพียงไม่กี่คำ ทักษะนี้ทำให้เขาค่อนข้างกังวลเล็กน้อย เพียงแต่เมื่อคิดถึงว่าอวิ๋นเยี่ยกำลังทำการสอนสิ่งเหล่านี้ในสำนักศึกษาอย่างไม่กังวล ก็ไม่น่ามีอะไรจะต้องคัดค้าน แม้ว่าความสามารถนั้นมหัศจรรย์ แต่ถ้าหากมีผู้คนจำนวนมากใช้เป็นแล้วก็จะไม่มีประสิทธิผลที่อัศจรรย์อะไรแล้ว
แววตาของหลี่ซื่อหมินนั้นแปลกประหลาดมาก ไม่ต้องพูดก็รู้ว่า หากอวิ๋นเยี่ยต้องการออกจากห้องขัง ถ้าไม่กระอักเลือดคงไม่ได้ออก ทองคำที่เถียนเซียงจื่อให้มานั้นค่อนข้างร้อนมือ หากภายหน้ามีคนใช้มันมาฟ้องร้องอวิ๋นเยี่ย แม้เขาจะมีหนึ่งพันปากก็แก้ต่างๆ ไม่ได้ อย่างไรเสียเถียนเซียงจื่อก็เป็นอาชญากรที่ต้าถังต้องการตัว ตอนนี้มอบให้หลี่ซื่อหมินก็เท่ากับเติมเต็มหลุมนี้ได้แล้ว ภายหน้าหากแม้ว่ามีใครมาตามสืบเสาะ เขาหรือจะมีความสามารถมากพอจะเอาทองคำจากมือของหลี่ซื่อหมินกลับมาเป็นหลักฐาน
“ฝ่าบาท ขณะที่อยู่ทุ่งหญ้ากระหม่อมได้พบชายคนหนึ่งชื่อเถียนเซียงจื่อ เขาได้มอบ**บทองคำให้กระหม่อมหนึ่ง**บ กระหม่อมไม่กล้านำไปใช้โดยพลการ ขอฝ่าบาททรงโปรดจัดการกับทองคำนี้ด้วย”
“เถียนเซียงจื่อ ในหนังสือโบราณบันทึกไว้ว่าเขาเป็นลูกศิษย์ของมั่วตี๋ ต่อมากลายเป็นผู้นำของตระกูลมั่ว เขามีชีวิตอยู่ยาวนานมากถึงเพียงนี้เชียวหรือ” ความสนใจในทองคำของหลี่ซื่อหมินไม่ได้มากมายอะไร แต่เขาสนใจว่ามีใครบางคนสามารถมีชีวิตอยู่ได้เป็นเวลากว่าพันปี ซึ่งสิ่งนี้ดึงดูดความสนใจเขาเป็นอย่างมาก
“ขอฝ่าบาทอย่าได้ทรงเชื่อข่าวลือ ในผู้นำแต่ละรุ่นของพวกเขาต่างก็จะถูกเรียกว่าเถียนเซียงจื่อ ซึ่งเถียนเซียงจื่อที่กระหม่อมได้เจอไม่รู้ว่าเป็นรุ่นที่เท่าไรแล้ว ซึ่งก็เป็นตาเฒ่าที่ใกล้จะลงโลงคนหนึ่ง ไม่มีความน่าอัศจรรย์แม้แต่น้อย”
เรื่องบางสิ่งสามารถปิดบังได้ แต่เรื่องของเถียนเซียงจื่อไม่ได้เป็นหนึ่งในเรื่องเหล่านั้น จะเป็นภัยมหันต์ตามมาในภายหลัง อวิ๋นเยี่ยจึงเริ่มเล่าเกี่ยวกับเรื่องนั้นโดยเริ่มตั้งแต่เมืองซั่วฟางไปจนถึงเรื่องที่ริมแม่น้ำหวงเหอที่เถียนเซียงจื่อเป็นฝ่ายเอ่ยปากมอบทองคำให้ตั้งแต่ต้นจนจบ
หลี่ซื่อหมินอาจไม่คุ้นเคยกับพื้นที่แคบๆ ในห้องขัง คุยกับอวิ๋นเยี่ยพลางเดินออกไปนอก เขาเองก็ไม่ได้รู้สึกสนใจจะคุยกับอวิ๋นเยี่ยเกี่ยวกับเรื่องตระกูลโต้ว การกำจัดตระกูลของท่านลุงตัวเองหมดทั้งตระกูลก็ไม่ใช่เรื่องที่น่าเชิดหน้าชูตาสักเท่าไร แน่นอนว่าเรื่องนี้ต้องให้ฮองเฮาไปคุยกับเขา หลี่ซื่อหมินมองออกว่าเวลาอยู่ต่อหน้าฮองเฮา อวิ๋นเยี่ยยังคุยง่ายกว่าอยู่ต่อหน้าตนเองเสียอีก บางทีอาจเป็นเพราะเด็กคนนี้สูญเสียพ่อแม่ตั้งแต่ยังเป็นเด็ก จึงเกิดมีความผูกพันกับฮองเฮามากขึ้นอีกส่วนกระมัง เมื่อคิดถึงเรื่องนี้จึงหันไปพูดกับอวิ๋นเยี่ยว่า
“เจ้าหนุ่ม นับแต่โบราณมา มนุษย์เรายากนักที่จะกล้าเผชิญหน้ากับความตาย บางทีอาจมีเพียงสวรรค์เท่านั้นที่สามารถคงอยู่ตลอดกาล ใช้ชีวิตที่มีขีดจำกัดไปแสวงหาชีวิตอมตะ แต่เราไม่สนใจ เรายังมีแผ่นดินที่ต้องให้ลูกหลานสืบทอดต่อไป มีประชาชนอีกมากมายที่จะต้องคอยดูแล ชีวิตคนนั้นเป็นช่วงสั้นๆ เพียงร้อยกว่าปี ดั่งแสงที่สาดส่องแล้วก็ผ่านไป เราจะจัดการเรื่องต่างๆ ให้ได้มากที่สุดในช่วงเวลาที่จำกัดเช่นนี้ เรื่องราวมากมายซับซ้อน ความวิตกกังวลต่างๆ นานา ผู้ที่ทำให้แผ่นดินเกิดความโกลาหลนั้นคือตระกูลใหญ่ที่สืบทอดกันมานาน ตระกูลหลี่ของข้าคือตระกูลขุนนางชนชั้นสูงผู้มีความชอบแห่งกวนหล่ง มีหรือที่ข้าจะไม่เข้าใจเหตุผลด้านในนั้น เจ้าอย่าได้มองว่าเราไร้น้ำใจ แท้ที่จริงแล้วเราได้มอบน้ำใจและความรักให้แก่แผ่นดินอันงดงามเสมือนภาพวาดแห่งนี้ เพื่อสิ่งนี้แล้วจึงไม่มีโอกาสใดที่จะให้เราได้มืออ่อน”
เป็นเพราะแสงแดดจ้าที่อยู่ด้านนอกต้าหลี่ซื่อทำให้หลี่ซื่อหมินสับสนหรืออย่างไร อวิ๋นเยี่ยไม่กล้าพูดตอบ ความอ่อนแอของฮ่องเต้จะไม่เปิดเผยต่อหน้าผู้คนได้ง่ายๆ บางทีอาจปลงอนิจจัง บางทีอาจมีความในใจ อวิ๋นเยี่ยไม่คิดว่าหากหลี่ซื่อหมินฆ่าคนคราวหน้า เขาจะมีเมตตาต่อศัตรูเพราะความปลงอนิจจังเช่นในตอนนี้
รถม้าพระที่นั่งจากไปแล้ว ขณะที่หลี่ซื่อหมินขึ้นรถม้ายังได้เกาะไหล่ของอวิ๋นเยี่ยเพื่อส่งตัวขึ้นไป ประตูต้าหลี่ซื่อที่ว่างเปล่านั้นเหลืออวิ๋นเยี่ยที่สวมชุดชั้นในเพียงลำพัง เพื่อการเป็นขุนนางที่ดี อวิ๋นเยี่ยจึงตั้งใจกลับเข้าห้องขังต่อ หลี่ซื่อหมินไม่ได้บอกเขาอย่างชัดเจนว่าเขาสามารถออกมาเดินเพ่นพ่านไปทั่วได้
ไต้โจวนั้นหน้าดำเหมือนก้นหม้อ ดูเหมือนว่าจะมีรอยเท้าที่ก้นของเหอเซ่า ไม่รู้ว่าเขาเป็นคนเตะหรือไม่
“เจ้ายังจะกลับมาทำไมกัน หรือยังคิดว่าทำร้ายข้าไม่มากพอ การปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบเพราะอามิสสินจ้างก็เพียงพอที่จะส่งข้าไปใช้ชีวิตบั้นปลายที่หลิงหนานได้แล้ว เจ้าเป็นมือพิฆาตและยังเป็นศัตรูคู่อาฆาตของเหล่าขุนนาง นับตั้งแต่วันนี้ ข้าจะไม่คบค้าสมาคมกับตระกูลอวิ๋นอย่างเด็ดขาด รังแต่จะอายุสั้น”
ไต้โจวร้องครวญว่าตนเองถูกให้ร้าย ตนเองอำนวยความสะดวกให้แก่ผู้อื่น ใครจะรู้ว่าเพียงชั่วพริบตาก็ถูกหักหลังเสียแล้ว หากไม่เป็นเพราะได้รับประสบการณ์ด้วยตัวเอง ไม่ว่าอย่างไรก็ตามเขาจะไม่เชื่อว่าอวิ๋นเยี่ยและเหอเซ่าทำนี้โดยไม่ได้ตั้งใจ หากเหล่าไต้ไม่อยู่ ตระกูลอวิ๋นมีหวังได้ศัตรูคนนี้เพิ่มเป็นแน่
“เหล่าไต้ นี่มันเป็นความจอมปลอมของเจ้า เหล่าเหอเป็นคนจิตใจดี ขณะที่เขาพูดเรื่องเหล่านั้น ใครจะคิดว่าฝ่าบาทจะยืนอยู่นอกห้องขัง นี่มันเป็นคำพูดไร้สาระระหว่างพี่น้องสองคน แต่ทำให้เจ้าต้องเดือดร้อนมากเพียงนี้ ข้าเองก็รู้สึกผิดด้วยเช่นกัน เอาอย่างนี้ดีไหม ร้านของเจ้านั้นไม่ต้องเปิดแล้ว แล้วมอบเงินต้นทุนให้เหล่าเหอ ให้เขาช่วยเจ้าหาเงินเพื่อเลี้ยงครอบครัว เจ้าคิดว่าอย่างไร”
การตัดหนทางทำมาหากินผู้อื่นเสมือนกับการฆ่าบิดามารดา หากไม่หาหนทางในหาเงินให้กับเหล่าไต้ เขาต้องเก็บเป็นความแค้นแน่นอน การถูกหัวหน้าของหน่วยตุลาการที่สูงที่สุดของประเทศเกลียดชังเข้า ไม่ช้าก็เร็วต้องเป็นฝ่ายเสียเปรียบแน่
——
[1] เก่ยซื่อจง เป็นชื่อตำแหน่งขุนนางโบราณ ทำหน้าที่ทัดทานคำสั่งราชสำนักที่ผิดพลาด
[2] เฉิงซื่อกวน เป็นชื่อตำแหน่งขุนนางฝ่ายบุ๋นที่ไม่ได้กำหนดหน้าที่แน่นอนในสมัยโบราณ