ส่วนราชาวิมานหนูผู้นี้ก็เป็นคนของเผ่าหนูหยก เดิมก็เป็นตัวแปรสำคัญของเผ่าที่ยิ่งใหญ่ มิเช่นนั้นราชาหนูผู้นี้ก็ไม่อาจครองบัลลังก์ราชาปีศาจแล้ว

ถึงอย่างไรเสียเผ่าปีศาจและเผ่ามนุษย์ก็ไม่เหมือนกัน

พวกเขาย่อมเป็นสิ่งมีชีวิตระดับสุดยอดของเผ่าปีศาจ ในเวลาเดียวกันย่อมต้องมีขุมอำนาจที่ยิ่งใหญ่คอยสนับสนุนถึงจะได้

ไม่เหมือนกับอำนาจของสามจักรพรรดิเผ่ามนุษย์ ส่วนใหญ่ล้วนเป็นขุมอำนาจที่ได้รับการสืบทอดกันมา

แม้ว่าหานลี่จะอยากพบหน้าราชาหนู แต่เมื่อเห็นอีกฝ่ายมีท่าทีไม่อยากพบหน้าผู้ใด ก็ทำได้เพียงล้มเลิกความคิดนี้

ดังนั้นเวลาที่เหลือหานลี่จึงออกไปทำความรู้จักกับสิ่งมีชีวิตระดับผสานอินทรีย์ แต่ทุกๆ สองสามวันจะต้องเสียเวลาศึกษาเรื่องรากวิญญาณที่หายไปของไห่ต้าเซ่า

ด้วยเหตุนี้เขาไม่เพียงต้องอ่านตำราจำนวนมาก แม้กระทั่งต้องเสียโลหิตบริสุทธิ์ให้ไห่ต้าเซ่าเพื่อศึกษาคุณสมบัติของเขา

ไม่ต้องพูดถึงการพลิกไปพลิกมา ก็ทำให้เขาหาความเป็นไปได้สองสามชนิดเจอ

แต่หากจะยืนยันเป้าหมายที่แท้จริงของรากวิญญาณเรื่องเล็กๆ แค่นี้กลับต้องใช้เวลาตรวจสอบอีกสองสามวัน

และในช่วงเวลานี้หานลี่ก็ปฏิบัติกับทั้งสองคนไม่เลว

ไม่เพียงจะปล่อยให้ให่ต้าเซ่าและชี่หลิงจื่อเข้าออกตำหนักได้อย่างอิสระ บางครั้งก็ยังชี้แนะการฝึกฝนจนทำให้พวกเขาได้รับประโยชน์ไม่น้อย!

วันนี้หานลี่อธิบายปัญหาของเคล็ดวิชาให้กับไห่ต้าเซ่าและชี่หลิงจื่อ ยามที่เขากำลังชงชาหมายจะลิ้มรสสักอึก ก็หน้าเปลี่ยนสีเผยสีหน้าประหลาดใจออกมา

“ท่านอาวุโส เกิดเรื่องอันใดขึ้นหรือขอรับ?” ชี่หลิงจื่อกลับมีปฏิกิริยาตอบสนองรวดเร็วเอ่ยถามตามจิตสำนึก

“อีกเดี๋ยวพวกเจ้าก็จะรู้เอง” หานลี่เอ่ยพร้อมกับขมวดคิ้ว

เมื่อได้ยินหานลี่กล่าวเช่นนี้ ไห่ต้าเซ่าและชี่หลิงจื่อกลับรู้สึกว่าทุกอย่างปกติ ไม่ได้รู้สึกผิดปกติอันใด มองสบตากันแวบหนึ่งก็อดที่จะตกตะลึงระคนสงสัยไม่ได้

ทั้งสองคนไม่กล้าซักถามหานลี่ให้ละเอียด จึงทำได้เพียงรออย่างเงียบๆ

เวลาผ่านไปหนึ่งถ้วยน้ำชา เสียงอึกทึกก็ดังแว่วมาจากด้านนอกตำหนัก จากนั้นทั้งตำหนักก็สั่นคลอน กำแพงทั้งสี่ด้านสั่นสะเทือน

ไห่ต้าเซ่าและชี่หลิงจื่อตกใจจนสะดุ้งโหยง หันไปมองนอกตำหนักด้วยความตกตะลึง

แต่หานลี่ก็ยังคงนั่งนิ่งอยู่บนเก้าอี้ด้วยสีหน้าเคร่งขรึม

เสียงอึกทึกดังขึ้นตามแรงสั่นของตำหนักไม่หยุด ราวกับว่ามีสัตว์ตัวมหึมากำลังเดินมาที่วังเซียน

“ท่านอาวุโสหาน นี่คือ…” ไห่ต้าเซ่าทนไม่ไหวอีกต่อไป จึงเอ่ยถามหานลี่ด้วยความสงสัย

“ที่นี่ข้าสัมผัสอันใดไม่ได้ ข้าจะพาพวกเจ้าไปเปิดโลกก็แล้วกัน” หานลี่กลับถอนหายใจขณะเอ่ย จากนั้นพลันยืนขึ้น แล้วสะบัดแขนเสื้อไปทางทั้งสองคน

ชั่วขณะนั้นหมอกลำแสงสีเขียวพลันบินออกมาห่อหุ้มทั้งสองคนเอาไว้ กลายเป็นสายรุ้งสีเขียวเปล่งแสงสว่างวาบ

ครู่ต่อมาหานลี่และพวกทั้งสามก็มาปรากฏตัวในเขตอาคม และเปล่งแสงสว่างวาบส่งตัวออกไป

เมื่อออกมาจากเขตอาคมส่งตัว ลำแสงสีเขียวพลันม้วนวน หานลี่กลายเป็นสายรุ้งสีเขียวกะพริบวาบๆ แล้วมาปรากฏตัวที่ชั้นหนึ่งของวังต้อนรับเซียน จากนั้นก็พุ่งขึ้นไปกลางอากาศ

หลังจากกะพริบวาบๆ ลำแสงหลีกหนีที่อยู่ห่างออกไปสองสามจั้งก็หม่นแสงลง ทั้งสามคนปรากฏตัวขึ้นบนยอดเขา พอมองลงมาด้านล่างก็จะเห็นทุกอย่างในรัศมีสองสามพันลี้

เมื่อไม่มีเขตอาคมวังต้อนรับเซียนมาขัดขวาง ไกลออกไปพลันมีเสียงอึกทึกดังขึ้น ราวกับว่าฟ้ากำลังถล่มดินกำลังทลาย

เทือกเขาของภูเขาเก้าเซียนสั่นสะเทือนอย่างรุนแรงตามสัตว์มหึมาที่เข้ามาใกล้

“นั่นคืออันใด ดูเหมือนว่าข้าจะเห็นแผ่นดินขยับ มันกำลังเดินเข้ามา!” เมื่อมองเห็นสถานการณ์ที่อยู่ไกลออกไปอย่างชัดเจน นักพรตน้อยชี่หลิงจื่อก็อ้าปากค้าง

ไห่ต้าเซ่ากะพริบตาปริบๆ อย่างตกตะลึง แทบจะคิดว่าตนตาพร่ามัวไปชั่วขณะ

มิน่าล่ะพวกเขาถึงได้ตกตะลึงเพียงนี้!

เห็นเพียงระหว่างเทือกเขาที่อยู่ไกลออกไป แผ่นดินสีดำความกว้างตั้งไม่รู้เท่าไหร่กำลังปูดนูนขึ้น กำลังขยับเข้ามาใกล้เทือกเขาของพวกเขาทีละก้าวๆ

เสียงดังสนั่นจนทำให้ภูเขาสั่นสะเทือน กำลังส่งมาจากใต้ดินสีดำ

แผ่นดินที่ปูดโปนออกมาดูเหมือนจะแห้งแล้งเป็นอย่างมาก ผิวของมันปริแตกออกเป็นหลุมหลายบ่อ กลายเป็นร่องลึกเป็นสายๆ ตัดสลับกันไปมา

สิ่งที่ทำให้ตกตะลึงยิ่งกว่าเดิมก็คือใจกลางของผืนดินนี้ คาดไม่ถึงว่าจะมีกำแพงเมืองสีดำขนาดใหญ่อยู่ด้วย รอบด้านของกำแพงเมืองมีนักรบชุดเกราะสีดำยืนอยู่เต็มไปหมด

พวกเขาไม่ขยับเขยื้อน มือถือขวานยาว ขวานยักษ์ ต่างๆ นานาด้วยสีหน้าเย็นชา

ส่วนด้านบนของกำแพงเมืองก็มีนักรบชุดเกราะกระดูกที่ขี่อยู่บนหมาป่ายักษ์สีฟ้านับพันคน กำลังบินไปมาอยู่กลางอากาศ

นั่นก็คือผู้พิทักษ์อัสนีที่หานลี่เคยพบ!

สถานการณ์ของผู้พิทักษ์สองชนิดกลับมีท่าทางที่อธิบายเป็นคำพูดไม่ถูกแผ่ออกมา!

หานลี่มองจนมาถึงตรงนี้ ก็หรี่ตาทั้งสองข้างลงมา รูม่านตาเปล่งแสงสีฟ้าสว่างวาบไม่หยุด

ฉับพลันนั้นเขาพลันหน้าเปลี่ยนสี แล้วเอ่ยอย่างราบเรียบ

“สหายผู้ใดอยู่ที่นี่ เหตุใดถึงไม่ออกมาพบ!”

“สหายหานช่างมีอิทธิฤทธิ์จริงๆ วิธีของข้าปิดบังพี่หานไม่ได้จริงๆ จุ๊ๆ อสูรวิญญาณที่จักรพรรดิป้าขี่อยู่ตัวใหญ่เสียจริง แปดเก้าส่วนคงเป็นเกี่ยวข้องกับ ‘อาชาวิญญาณ’ ในตำนาน” เสียงไม่คุ้นหูของสตรีพลันดังขึ้นจากด้านหลัง มันไพเราะเป็นอย่างยิ่ง

ใบหน้าของหานลี่ฟื้นฟูกลับมาเป็นปกติ แต่ในใจกลับรู้สึกตกตะลึงไปเล็กน้อย!

จากความแข็งแกร่งของจิตสัมผัสของเขา เข้ามาประชิดขนาดนี้เพิ่งจะรู้สึก ช่างน่าเหลือเชื่อจริงๆ

เขาพ่นลมหายใจออกมา หันกายมาอย่างช้าๆ แล้วมองไปยังคนพูด

เห็นเพียงหญิงงามสวมชุดชาววังห้าสีกำลังมองเขาด้วยรอยยิ้มบางๆ เธออยู่ห่างออกไปสิบจั้งเศษ

แต่เมื่อหานลี่กวาดจิตสัมผัสผ่านไป ก็อดที่จะร้อง ‘เอ๋’ ออกมาอย่างประหลาดใจไม่ได้

“หลิวชิงคารวะสหาย คิดดูแล้วสหายคงมองออกแล้ว ร่างนี้ไม่ใช่ร่างเดิมของข้า ทว่าเป็นแค่หุ่นเชิดร่างแยกเท่านั้น” หญิงสาวคารวะกับหานลี่ แล้วเอ่ยอย่างใจกว้างเป็นอย่างมากออกมา

“หลิวชิง! ข้าน้อยเพิ่งเคยได้ยิน ก่อนหน้านี้ผู้ใต้บังคับบัญชาของจักรพรรดิวิญญาณเทียนเมี่ยวมีอยู่สองคนที่มีฝีมือ หนึ่งในนั้นคือผู้ที่เชี่ยวชาญเคล็ดวิชาหุ่นเชิด อีกคนหนึ่งเชี่ยวชาญเคล็ดวิชาลวงตา ผู้ที่เชี่ยวชาญเคล็ดวิชาหุ่นเชิดได้สมญานามว่าเซียนเชียนหลิง มีนามว่าหลิวชิง หรือว่าจะเป็นสหาย” หานลี่คารวะกลับด้วยสีหน้าราบเรียบ แล้วเอ่ยถามอย่างมีความคิด

“คิดไม่ถึงว่าชื่อเสียงของข้าแม้แต่สหายหานก็รู้จัก ช่างทำให้ข้าปลื้มใจจริงๆ ที่แท้งานชุมนุมที่พันปีมีครั้ง ข้าก็ควรจะมาด้วยตนเอง แต่ช่วงนี้ฝึกฝนเคล็ดวิชาลับจนถึงจุดสำคัญ จึงไม่อาจออกจากห้องลับได้ จึงทำได้เพียงให้หุ่นเชิดร่างแยกมาเท่านั้น โชคดีที่ร่างแยกของข้าค่อนข้างมีชื่อเสียง จึงมั่นใจว่าสหายที่นี่จะรู้จัก ถึงได้เข้ามาที่นี่ได้” หญิงสาวพ่นคำพูดสบายๆ ออกมา ให้ความรู้สึกสง่างามไม่ธรรมดา

หลังจากที่หานลี่ได้ยินฐานะของอีกฝ่าย ใบหน้ากลับเผยสีหน้าเปลี่ยนสีออกมา

อย่ามองว่าเซียนเชียนหลิงผู้นี้เป็นแค่ผู้ใต้บังคับบัญชาของจักรพรรดิวิญญาณเทียนเมี่ยว แต่ได้ยินว่าเดิมก็เป็นผู้ที่มีพรสวรรค์ในเรื่องเคล็ดวิชาหุ่นเชิด หลังจากที่เป็นลูกน้องของจักรพรรดิวิญญาณเทียนเมี่ยว เคล็ดวิชานี้ก็ยิ่งพัฒนามากขึ้น เลื่องชื่อว่าเป็นอันดับสองในเรื่องเคล็ดวิชาหุ่นเชิดของเผ่ามนุษย์ ส่วนอันดับหนึ่งนั้นย่อมเป็นจักรพรรดิวิญญาณเทียนเมี่ยวที่เชี่ยวชาญเคล็ดวิชาหุ่นเชิดและเคล็ดวิชาลวงตาไปพร้อมๆ กัน ปีนั้นเซียนเชียนหลิงผู้นี้และอีกคนหนึ่งถูกจักรพรรดิเทียนเมี่ยวทำให้อ่อนแอลง ถึงได้ยอมติดตามด้วยฐานะผู้บำเพ็ญเพียรระดับผสานอินทรีย์

แม้ว่าอีกฝ่ายจะเป็นแค่หุ่นเชิด แต่ในสายตาของหานลี่กลับมองพลังของหุ่นเชิดตัวนั้นออก เกรงว่าคงไม่ด้อยไปกว่าสิ่งมีชีวิตระดับหลอมสุญตาขั้นปลาย

ดังนั้นแม้ว่าอีกฝ่ายจะดูเหมือนรู้จักตน แต่ก็ไม่กล้าดูแคลน ประสานมือคารวะขณะเอ่ย

“ที่แท้ก็เป็นเซียนเชียนหลิง ผู้แซ่หานเสียมารยาทแล้วจริงๆ ทว่า ‘อาชาวิญญาณ’ ที่ท่านเซียนพูดถึงเมื่อครู่ หรือว่าจะหมายถึงเต่าเทวะโบราณที่รองรับเมืองเสวียนอู่ไว้ได้ตัวนั้น?”

“ไม่ผิด ข้าหมายถึงอสูรยักษ์ที่ถ่ายทอดโลหิตมาจากจิตวิญญาณเที่ยงแท้เสวียนอู่ ปีนั้นข้าโชคดีมีโอกาสได้เห็นเต่าตัวนั้นด้วยตัวเอง ขนาดของมันทำให้ผู้คนไม่กล้าลุกขึ้นสู้กับมัน และยิ่งไปกว่านั้นอสูรยักษ์ตัวนั้นก็เชี่ยวชาญอิทธิฤทธิ์ธาตุน้ำแข็งและธรณี การป้องกันตัวแข็งแกร่ง ต่อให้เป็นสมบัติสะท้านฟ้าก็ทำอันตรายมันได้ยาก ส่วนตัวที่จักรพรรดิป้าแห่งเสวียนอู่พามา เดาว่าน่าจะเป็นชนรุ่นหลังของเต่าตัวนั้นเท่านั้น” หลิวชิงเอ่ยพร้อมกับหัวเราะน้อยๆ ออกมา

“ชนรุ่นหลัง?” หานลี่หันกลับไปมองแผ่นดินใหญ่ที่ยังคงติดกันในจุดที่ไกลออกไป กล้ามเนื้อบนใบหน้ากระตุกเล็กน้อย อดที่จะสูดลมหายใจอันเย็นยะเยือกเข้าไปไม่ได้

“ไม่เลว ความใหญ่ที่แท้จริงของอาชาวิญญาณ ตรงหน้าก็เป็นเรื่องที่พบเห็นได้ยากแล้ว” หญิงสาวพยักหน้าอย่างจริงจัง

“เมื่อได้ยินเซียนหลิวเอ่ยเช่นนี้ ผู้แซ่หานกลับอยากเปิดประสบการณ์เกี่ยวกับอาชาวิญญาณเต่ายักษ์ตัวนี้สักหน่อย” หานลี่มองไปยังจุดที่ไกลออกไป อดที่จะเอ่ยพึมพำกับตัวเองไม่ได้

“หากอยากพบกับอสูรยักษ์จริงๆ นั้นไม่ง่าย ปีนั้นข้าติดตามจักรพรรดิวิญญาณเสวียนอู่ไปเป็นแขก แล้วบังเอิญได้พบกับอสูรตัวนี้ที่สามพันปีจะมีวันที่ออกมากลืนแสงตะวันจันทราครั้งหนึ่ง ถึงได้มีโอกาสเห็นโฉมหน้าที่แท้จริงของเต่าตัวนั้นแวบหนึ่ง”

มิเช่นนั้นยามปกติเต่ายักษ์ตัวนี้คงมุดร่างกว่าครึ่งเอาไว้ใต้ดิน แขนขาทั้งสี่และหัวหดอยู่ในกระดองพลางหลับสนิท

“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้นี่เอง ผู้แซ่หานได้รับการสั่งสอนแล้ว!” หานลี่เผยสีหน้าเสียดายออกมา แล้วประสานมือคารวะหญิงสาว

ไห่ต้าเซ่าและชี่หลิงจื่อที่อยู่ด้านข้างได้ยินหานลี่และพวกทั้งสองคุยกัน กลับฟังจนเหม่อลอย สีหน้าเพ้อฝัน

อสูรยักษ์ที่อยู่ไกลออกไปกลายเป็นแผ่นดินสีดำ ยามที่อยู่ห่างจากยอดเขาไปยี่สิบสามสิบลี้ ในที่สุดก็หยุดเคลื่อนไหว พื้นที่สั่นสะเทือนพลันหยุดลง

แต่ในยามนี้แผ่นดินผืนนั้นกลับค่อยๆ ยกสูงขึ้นจากพื้นดิน ชั่วครู่ก็กลายเป็นภูเขายักษ์สีดำสูงพันจั้งเศษ ส่วนยอดเขาและตีนเขาของยอดเขาสีดำก็สั่นสะเทือนอีกครั้ง ส่วนหัวขนาดยักษ์ยื่นออกมาจากพื้นดิน ลำแสงสีเขียวสองสายกวาดมองความคึกคักของผู้บำเพ็ญเพียรที่อยู่บริเวณรอบทั้งหมด

หานลี่และหญิงสาวย่อมตกอยู่ในนั้น

แต่แววตาของหานลี่พลันเคร่งขรึม แล้วมองเห็นโฉมหน้าที่แท้จริงของอีกฝ่ายอย่างชัดเจน

เห็นเพียงอสูรยักษ์มีหน้าตาโหดเหี้ยมเป็นอย่างยิ่ง บนหัวมีเขาประหลาดหงิกงออยู่สิบกว่าเขา ตรงคอมีเกล็ดสีดำหนาๆ ปกคลุมจุดอันตรายเอาไว้อย่างแน่นหนา

ในเวลาเดียวกันอสูรตัวนั้นพลันอ้าปากยาวๆ ออก พายุเหม็นคละคลุ้งโชยมา แต่ก็มองเห็นฟันยักษ์ที่แหลมคมเต็มปาก

หานลี่มองฟันที่แหลมคมของอสูรน้อย แล้วอดที่จะถอนหายใจออกมาเฮือกหนึ่งไม่ได้

เมื่อครู่เขาเปรียบเทียบเล็กน้อย ก็รู้สึกว่าร่างกายของคนธรรมดาๆ ของตน อย่างน้อยก็ต้องรวมตัวกันร้อยกว่าคน ถึงจะพอให้อสูรยักษ์ตัวนั้นกลืนลงไปในคำเดียว

ชี่หลิงจื่อเห็นท่าทางน่ากลัวของอสูรยักษ์ แม้ว่าจะอาจหาญไม่น้อย แต่ก็หน้าซีดเผือดไปสองสามส่วน

ส่วนไห่ต้าเซ่ากลับใช้นิ้ววาดไปยังจุดที่อยู่ไกลออกไป จากนั้นก็วัดกับขนาดของตน

ชี่หลิงจื่อเห็นเช่นนี้ ก็อดที่จะเอ่ยถามด้วยความประหลาดใจไม่ได้

“ต้าเซ่า เจ้าทำอันใด!”

“ไม่ได้ทำอันใด ข้าแค่กำลังวัด ว่าข้าตัวใหญ่กว่าหรือว่าฟันของสัตว์ประหลาดนั้นใหญ่กว่า”

ไห่ต้าเซ่าเองก็เอ่ยโดยไม่หันกลับมา ทำให้ชี่หลิงจื่อหมดคำพูด