เยี่ยเม่ยควบม้าถึงเมืองชายแดน ไม่ฝืนออกทางประตูใหญ่ อย่างไรเสียชายแดนยังมีทหารจำนวนไม่น้อยไล่ตามนาง 

 

 

นางตัดสินใจไปยังริมกำแพงเมือง จากนั้นทิ้งม้า ดีดกายขึ้นหลายครั้งปีนข้ามกำแพงเมืองไปยังด้านนอกด้วยความเร็วคล้ายลมพายุ 

 

 

จนกระทั่งระหว่างทางซื้อยอดอาชาตัวใหม่ สอบถามทางไปต้ามั่วจากคนสัญจรไปมา ค่อยควบม้าไป 

 

 

ตลอดการเดินทางนี้ นางใคร่ครวญอยู่พักหนึ่ง เจ้าเด็กจิ่วหุนนั่นไปทำอะไรกัน คงไม่เกิดเรื่องหรอกนะ 

 

 

   …… 

 

 

ตีนเขาฉงซาน 

 

 

ชายชราสวมชุดดำผู้หนึ่งยืนอยู่ตีนเขา 

 

 

บุรุษหนุ่มสวมอาภรณ์สีขาวเดินมาอย่างช้าๆ ใบหน้าของเขาไร้เดียงสา ดวงตาคู่งดงามกลับเหมือนสายน้ำนิ่งสงบ เขาเดินมายังข้างกายชายชราอย่างเงียบเชียบ 

 

 

นั่นก็คือจิ่วหุน หลังจากเดินมาถึงข้างกายชายชรา ก็นิ่งไม่พูดไม่จา 

 

 

ชายชราคุ้นเคยกับนิสัยเขามานานแล้ว รู้ว่าอีกฝ่ายไม่ชอบพูด จึงเอ่ยว่า “ข้าตามตัวเจ้า หวังว่าเจ้าจะช่วยสังหารคนผู้หนึ่ง ข้าคิดว่าเจ้าจะรู้ดี การแก่งแย่งระหว่างองค์ชายใหญ่กับองค์ชายสี่ ยามนี้เปิดเผยแล้ว องค์ชายสี่เป็นเหมือนปีศาจอย่างแท้จริง ไม่มีใครทำอะไรเขาได้ องค์ชายใหญ่หายอดฝีมือไม่น้อยไปลอบสังหาร ล้วนพ่ายแพ้กลับมา เขาฝากความหวังสุดท้ายไว้กับเจ้าแล้ว” 

 

 

จิ่วหุนฟังคำพูด เขาก้มหน้าไม่เอ่ยอะไร 

 

 

ชายชราเห็นเขาไม่พูดจา ทั้งไม่คัดค้าน เอ่ยปากต่อไปว่า “นี่เป็นการค้ารายใหญ่ หากทำสำเร็จ เงินทองใช้ไม่หมดสิ้น รอจนองค์ชายใหญ่ขึ้นครองราชย์ ภายหน้าเจ้าเป็นอ๋อง ก็หาใช่เรื่องเป็นไปไม่ได้” 

 

 

จิ่วหุนฟังแล้ว ยังคงไม่ตอบ 

 

 

ถัดมา ชายชรามองจิ่วหุนอย่างไม่เห็นด้วย เอ่ยปาก “เรื่องที่เกิดขึ้นสองวันก่อน ข้ารับรู้แล้ว เจ้ายุ่งเรื่องชาวบ้านไปช่วยคนอื่น ผลคือตกหลุมพราง ถูกวางยาปลุกกำหนัด ไม่อาจใช้วรยุทธ์ได้ ซ้ำยังเกือบถูกจับไปหอนางโลม จิ่วหุน เจ้าเป็นนักฆ่าอันดับหนึ่งของใต้หล้า เรื่องโง่งมเช่นนี้เกิดขึ้นกับเจ้า พูดออกไปคงไม่มีใครเชื่อ เจ้าสมควรเข้าใจความเลวร้ายของยุทธภพมากกว่าคนทั่วไป” 

 

 

คำพูดนี้ จิ่วหุนตอบกลับแล้ว “ข้ารู้ เพียงแต่…” 

 

 

เพียงแต่ยามนั้นเขาเห็นคนตั้งมากมายรุมตีขอทานพิการคนเดียว รู้สึกทนไม่ไหว คล้ายกับตอนตนยังเด็กถูกคนล้อมตี เคยคาดหวังให้มีใครสักคนมาช่วยเหลือ ดังนั้นถึงลงมือไปโดยพลการ เสียดายที่เมื่อลงไปแล้วผลลัพธ์กลับเป็นเช่นนั้น 

 

 

ไม่ใช่ว่าเขาไม่สงสัยว่าในเรื่องนั้นมีปัญหา แต่ว่ายังคงลงมือไปแล้ว 

 

 

เขาไม่เอ่ยอะไรต่อไป 

 

 

ชายชราหาได้ใส่ใจ มองเขาเอ่ยว่า “ข้าไม่พูดมากแล้ว เชื่อว่าภายหน้าเจ้าจะระวังให้ดี ยามนี้องค์ชายสี่อยู่ที่ชายแดน เขามีวรยุทธ์ร้ายกาจ โลกนี้นอกจากคนผู้นั้น…อาจไม่มีคู่ต่อสู้ของเขาอีก หากเจ้าต้องการฆ่าองค์ชายสี่ ย่อมเผชิญอันตราย ต้องอาศัยความเร็วของเจ้าชิงชัย เจ้า…” 

 

 

ชายชราเอ่ยถึงตรงนี้ จิ่วหุนไม่อยากฟังอีก เขาเอ่ยเสียงเบา “ข้าไม่อยากฆ่าคนอีกต่อไปแล้ว” 

 

 

 “อะไรนะ” ชายชราสงสัยว่าเขาฟังผิดไป มองจิ่วหุนด้วยความประหลาดใจ 

 

 

จิ่วหุนเงยหน้า มองอีกฝ่าย “ข้ามาเพื่อบอกท่าน ข้าไม่อยากฆ่าคนอีกแล้ว” 

 

 

น้ำเสียงของเขาน่าฟัง ใบหน้าอ่อนเยาว์แฝงความดื้อรั้น แสดงออกถึงจุดยืนของตน ทั้งยังเผยความดึงดันและจริงจัง 

 

 

แสดงออกว่าเขาไม่อยากฆ่าคนต่อไปอีกแล้วจริงๆ 

 

 

ชายชรามองเขา เสียงเย็นชา “เจ้าอย่าลืมไปว่า ร่างกายเจ้ามีพิษ หากไม่ได้ยาแก้จากข้าทุกครึ่งปี เจ้า…” 

 

 

จิ่วหุนฟัง จากนั้นตอบว่า “ข้าไม่กลัว” 

 

 

 “เจ้า…” ชายชราถูกเขาทำให้โมโห 

 

 

ชายชรายังไม่ทันเอ่ยอะไร จิ่วหุนก็หมุนกายเตรียมจากไปแล้ว 

 

 

ชั่วขณะนั้นชายชราเกิดโทสะ มองแผ่นหลังของนักฆ่าหนุ่ม “จิ่วหุน เจ้าฆ่าคนมากมาย เจ้าคิดว่าตอนนี้เจ้าอยากวางมือก็วางได้หรือ หากคนทั่วหล้ารู้ว่าเจ้าคือจิ่วหุน พวกเขายังยอมปล่อยเจ้าไว้ได้หรือ” 

 

 

ชายหนุ่มหันหลังให้เขา สาวเท้าจากไป คำพูดของเขาไม่เข้าหูชายหนุ่ม ซ้ำยังไม่ใส่ใจ 

 

 

หรือเรียกว่าเขาขังตนอยู่ในโลกส่วนตัวตลอดไป หาได้ใส่ใจสายตาที่คนในโลกมองตัวเขา คนในใต้หล้าจะยอมปล่อยเขาหรือไม่ 

 

 

ชายชราเห็นสถานการณ์ นัยน์ตาพลันฉายแววอำมหิต คิดอะไรขึ้นมาได้ มองแผ่นหลังจิ่วหุน “หรือเพราะสตรีนางนั้น” 

 

 

เขาเอ่ยประโยคนี้ออกมา ฝีเท้าของชายหนุ่มหยุดชะงักลงที่เดิม หันหลังให้ชายชราไม่พูดจา 

 

 

ชายชรานั้นเห็นฝ่ายตรงข้ามชะงักฝีเท้าเพราะคำพูดของตน พลันรู้สึกว่าตัวเองเอ่ยถึงประเด็นสำคัญแล้ว เขาเอ่ยปากต่อไป “การค้ารายนี้เจ้าอาจไม่รับ แต่ข้าจะบอกเรื่องที่เจ้าวางมือจากการเป็นนักฆ่าเพราะสตรีนางนั้นให้องค์ชายให้ทราบ ให้องค์ชายใหญ่รับรู้ว่า เพราะสตรีนางนั้น การฆ่าองค์ชายสี่ถึงไม่มีใครยอมรับงาน เมื่อถึงเวลานั้นข้าก็ดี องค์ชายใหญ่ก็ดี ล้วนไม่มีใครยอมปล่อยสตรีนางนั้นไป เจ้าคิดให้ดีเถอะ”  

 

 

ชายชราเอ่ย ก้าวเท้าเข้าหาจิ่วหุน ในคำพูดเต็มไปด้วยความข่มขู่ 

 

 

เขายืนอยู่ด้านหลังจิ่วหุน เอ่ยต่อ “เจ้าคงไม่อยากให้นางตายเพราะเจ้าหรอกนะ” 

 

 

จิ่วหุนนิ่งไปชั่วครู่ หันหน้าไปหาชายชรา เสียงเบาคล้ายสัตว์ตัวน้อย “ดังนั้นเมื่อเจ้าตายแล้ว ก็ไม่มีใครรู้ว่าเกี่ยวกับนาง ใช่ไหม” 

 

 

ชายชราตะลึงไป มองบุรุษหนุ่มตรงหน้าอย่างตระหนก เห็นไอสังหารจากดวงตาเขา หลายปีที่พวกเขารู้จักกัน เขาไม่เคยเห็นแววตาเช่นนี้บนใบหน้าเด็กหนุ่มมาก่อน 

 

 

ชายชราใจเต้นกระตุก รู้อยู่แก่ใจว่าตนหาใช่คู่มือเขา รีบเอ่ย “พิษในกายเจ้ามีแต่ข้าที่ถอนได้ เจ้าไม่อาจฆ่าข้า หากเจ้าฆ่าข้าแล้ว ก็เท่ากับเจ้าทำลายโอกาสในการถอนพิษหมดสิ้น ข้า…”  

 

 

จิ่วหุนไม่เอ่ยอีกต่อไป 

 

 

มือของชายหนุ่มคว้าเอากระบี่ยาวที่เอวของชายชราอย่างว่องไว 

 

 

ไม่รอให้ชายชราตอบสนอง ร่างเขาพลิ้วผ่าน กระบี่ฟันออก ศีรษะของชายชราตกกระทบพื้นส่งเสียงดัง ต่อหน้านักฆ่าที่รวดเร็วที่สุด ไม่มีแม้แต่โอกาสดิ้นรน 

 

 

จิ่วหุนก้มหน้า มองชายชราที่ขาดเป็นสองท่อน ศพตายตาไม่หลับด้วยสีหน้าไม่เปลี่ยนแปลง ทั้งไม่ใส่ใจพิษในร่างกายตนเลยสักน้อยว่านับแต่นี้ไม่อาจถอนได้อีก 

 

 

เขาทิ้งกระบี่ยาวในมือลง หันกายสาวเท้ากว้างจากไป คล้ายกำลังบอกผู้อื่น ทั้งยังบอกตัวเอง กดเสียงต่ำเอ่ยอู้อี้ว่า “ใครก็ไม่อาจทำร้ายนาง” 

 

 

   …… 

 

 

โรงเตี๊ยมในเมือง 

 

 

องค์รักษ์ลับคนหนึ่งวิ่งเข้ามาข้างกายเป่ยเฉินเสียงอย่างรีบร้อน เอ่ยรายงาน “องค์ชายใหญ่ พวกเราพบสตรีนางนั้นแล้ว”