ตอนที่ 803 สองสมรภูมิ

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler

หนึ่งในใต้หล้า 大主宰

บทที่ 803 สองสมรภูมิ

ตู้ม**!**

เสาปีศาจราชันพระสุเมรุเปล่งแสงสีทองพร่างพราว ประหนึ่งหลอมมาจากทองคำทำให้ท้องฟ้าแตกออกเป็นเสี่ยงๆ ขณะที่ก่อร่างเงาขนาดใหญ่ซึ่งมาพร้อมกับพลังน่าตกใจ ภายใต้ความอุทานตกใจนับไม่ถ้วนก็ฟาดใส่โยวหมิงราวกับสายฟ้าฟาดไม่ยั้ง

กระทั่งมิติยังบิดเบี้ยวใต้เสาปีศาจ ดังนั้นจึงบอกได้ว่าคลื่นสองตะวันของร่างเทพสุริยะยิ่งใหญ่เพียงใด

ทว่าเผชิญหน้ากับการโจมตีเต็มกำลังของมู่เฉิน กลับไม่ปรากฏริ้วใดๆ บนใบสีหน้าขาวโพลนของโยวหมิง ง้าวเทพใต้พิภพในมือยกขึ้นช้าๆ อึดใจต่อมาไอโหดเหี้ยมก็วาบไหวในดวงตา

ในที่สุดเขาก็ลงมือแล้ว

วาบ!

ทุกคนมองเห็นแสงสีดำสลัวลางฉีกผ่านขอบฟ้าก่อนเสียงโลหะกระทบกันจะดังก้อง เสาปีศาจที่ฟาดลงมาอย่างแรงก็หยุดชะงักราวกับพลังยิ่งใหญ่ที่อยู่เบื้องหลังหายไปจนหมดสิ้น

สายตานับไม่ถ้วนพุ่งไปที่ด้านหน้าเสาปีศาจก็เห็นง้าวสีดำหยุดเสาเอาไว้ แม้เทียบกันแล้ว ง้าวสีดำจะดูเล็กมากจนเหมือนสามารถถูกเสาปีศาจหักลงได้อย่างง่ายดาย แต่ง้าวที่บอบบางนี้กลับหยุดเสายักษ์ได้ ไม่ให้เคลื่อนเข้าอีกแม้แต่นิดเดียว

จอมยุทธ์นับไม่ถ้วนที่อยู่บริเวณนี้ก็แอบเดาะลิ้นเมื่อเห็น นี่เหรอพลังของอันดับสองบนบันทึกมังกรหงส์? น่าสะพรึงเหลือเกิน เพียงแค่พลังที่แสดงออกภายนอกก็เหนือกว่าหลิ่วเหยียนไปไม่รู้เท่าไรแล้ว

มู่เฉินที่เป็นม้ามืดพุ่งแรงในศึกมังกรหงส์ครั้งนี้ราวกับขุมพลังที่ไม่สามารถต้านทานได้ ในที่สุดก็ได้พบกับคู่ต่อสู้สมน้ำสมเนื้อ เว้นแต่ไม่มีใครรู้ว่าเขาจะยังผ่านไปได้หรือไม่

มู่เฉินยืนอยู่บนศีรษะของร่างเทพสุริยะขณะมองโยวหมิงที่ถือง้าวด้วยมือข้างเดียวสกัดเสาปีศาจเอาไว้ด้วยสีหน้าเคร่งเครียด เขาสูดหายใจลึกพร้อมกับแววตาเปลี่ยนเป็นคมกล้า

เขารู้ว่าศึกครั้งนี้ไม่ใช่ง่ายเลย

ขณะที่มู่เฉินกับโยวหมิงพุ่งเข้าโรมรันกัน อากาศอีกส่วนก็ถูกแช่แข็ง แม้จะไม่มีคลื่นหลิงป่าเถื่อนกวาดอาละวาด แต่ก็ยังดึงดูดสายตาของคนนับไม่ถ้วน

นั่นเพราะพวกเขารู้ดีว่าไม่ว่าการต่อสู้ระหว่างมู่เฉินกับโยวหมิงจะดุเดือดเพียงใด แต่ที่นั่นคือจุดสำคัญที่สุด เนื่องจากทั้งคู่เป็นจอมยุทธ์ที่แข็งแกร่งที่สุดของศึกมังกรหงส์ครั้งนี้

ฟังยี่อันดับหนึ่งของบันทึกมังกรหงส์ ในหมู่จอมยุทธ์รุ่นใหม่ของภูมิภาคทางเหนือไม่มีใครไม่รู้จักชื่อเสียงของเขา เมื่อเทียบกับชื่อเขาแล้ว ความเจิดจรัสของอัจฉริยชนคนอื่นๆ ก็ดูด้อยลงไปทันที ทุกคนรู้ว่าบางทีในอนาคตเขาอาจเป็นประมุขหมู่ตึกเทวะคนต่อไป จนกลายเป็นผู้มีอิทธิพลในภูมิภาคทางเหนือนี้

ส่วนไฉ่เซียวก็ลึกลับจนน่ากลัว ตลอดทางนี้นับได้ว่ากวาดล้างไปหมด แม้แต่อัจฉริยะอย่างโยวหมิงกับฟังยี่ยังไม่ได้เปรียบในมือนาง

ดังนั้นการต่อสู้ระหว่างทั้งสองจึงมีความสำคัญมากที่สุดสำหรับการสืบทอดมรดกมังกรหงส์นี้

ฝ่าเท้าของไฉ่เซียวก้าวเดินบนอากาศอย่างนุ่มนวล ดวงตายั่วยุของนางจับจ้องฟังยี่ด้วยความเย็นชา มีแสงหลิงสีรุ้งแล่นแปลบปลาบในมือของนาง

แม้ว่าสีหน้าของฟังยี่จะดูไม่แยแส แต่ลึกลงไปในดวงตากลับปรากฏแววเคร่งขรึม เผชิญกับไฉ่เซียวผู้ลึกลับ แม้แต่คนที่มีความมั่นใจอย่างเขายังไม่รู้สึกว่าจะคว้าชัยชนะได้ แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่มีทางที่เขาจะถอยในตอนนี้แล้ว

ฟังยี่กำมือเบาๆ ขณะคลื่นหลิงม้วนตัวแผ่ซ่านไปทั่วบริเวณ มิติกระเพื่อมไหวที่เบื้องหลัง คลื่นหลิงมหาศาลกวาดออกมาราวกับคลื่นยักษ์

“งั้นขอข้าแลกเปลี่ยนประสบการณ์กับแม่นางหน่อยแล้วกัน” ฟังยี่ยิ้มบาง อึดใจก็ชี้นิ้วลง ทันใดนั้นคลื่นหลิงก็ครางกระหึ่มที่เบื้องหลัง เมื่อแสงหลิงสว่างวาบ กระบี่สีม่วงใหญ่โตจำนวนมากที่มีขนาดราวร้อยจั้งก็ปรากฏขึ้น รัศมีกระบี่เชี่ยวกรากกระจายออกมาจากใบมีดยักษ์มากมายดูราวกับว่าสามารถผ่าฟ้าดินได้

จอมยุทธ์จำนวนมากรู้สึกหนังหัวขนลุกชันจากความคมของรัศมีกระบี่ เพียงแค่เล่มเดียวก็เพียงพอจะทำให้จอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นสี่ตกอยู่ในสถานการณ์น่าสมเพชแล้ว การมีพวกมันมารวมกันเป็นห่าฝนเช่นนี้ พลังอำนาจก็ยิ่งน่าตกใจมากขึ้น

เห็นได้ว่าฟังยี่รู้ว่าหากออมมือเมื่อเผชิญหน้ากับคู่ต่อสู้อย่างไฉ่เซียว ก็รังแต่จะสร้างความอับอายขายหน้าให้ตัวเอง

“ฮึ่ม!”

ฟังยี่ดีดนิ้วเบาๆ ทำให้เกิดเสียงครางกระหึ่มของกระบี่ดังไปทั่วสารทิศ ความผันผวนที่แผ่ออกมากินวงกว้างพันลี้ ทุกคนมองเห็นกระแสกระบี่เชี่ยวกรากบินฉวัดเฉวียน ราวกับพายุปกคลุมไฉ่เซียวทุกทิศทาง

ช่างเป็นภาพน่าตกใจอย่างยิ่ง

แต่เผชิญหน้ากับการโจมตีนี้ ไฉ่เซียวทำเพียงชี้นิ้ววาดไปบนอากาศ พริบตารอยแยกมิติสีดำก็ปรากฏที่เบื้องหน้านาง

ชี่! ชี่!

แสงกระบี่สีม่วงทะยานเข้ามากลับถูกดูดกลืนลงไปในรอยแยกมิติ ไฉ่เซียวที่อยู่เบื้องหลังไม่ได้รับอันตรายใดๆ เลย

เมื่อผู้คนเห็นว่าไฉ่เซียวรับมือกับการโจมตีของฟังยี่ได้อย่างง่ายดาย สายตาพวกเขาก็อดหดลงไม่ได้ ไฉ่เซียวน่าสะพรึงแท้จริง ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมฟังยี่ถึงหวาดผวานางนัก

“ทำไมต้องทำให้ตัวเองอับอายด้วยลูกไม้อ่อนๆ แบบนี้ด้วยล่ะ?” ไฉ่เซียวแค่นเสียง จากนั้นนางก็แตะฝ่าเท้า เมื่อเกิดระลอกคลื่นในมิตินางก็หายตัวไป

นางกำลังจะปล่อยกระบวนท่าจู่โจมแล้ว

ขณะที่ไฉ่เซียวหายตัวไป ม่านตาฟังยี่ก็หดเกร็ง มิติรอบตัวผันผวน ตัวเขาก็หายไปเช่นกัน

เมื่อทุกคนเห็นทั้งคู่หายตัวไป พวกเขาก็อดไม่ได้ที่จะเบิกตากว้าง เรื่องนี้สายตาไปไม่ได้จริงๆ เทียบกับจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นสี่แล้ว จอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นห้าทรงพลังมากกว่าจริงๆ

บึ้ม!

ในพื้นที่ห่างออกไปพันจั้ง คลื่นหลิงรุนแรงกวาดอาละวาดฉับพลัน มิติบิดเบี้ยวขณะที่ร่างคนสองคนปรากฏขึ้น ฝ่ามือทั้งสองปะทะกันสนั่นหวั่นไหว

คลื่นกระแทกกวาดออก ร่างทั้งสองก็กระตุกถูกผลักกลับไป ทว่าฟังยี่กระเด็นกลับไปไกลกว่าอย่างเห็นชัด…

ฟังยี่ทรงตัวได้ก็ขมวดคิ้ว จากนั้นก็กำมือกระบี่ยาวสีม่วงปรากฏขึ้น รัศมีแผ่ออกมาจากใบมีดซึ่งคมกริบอย่างยิ่งสามารถผ่ามิติจากกันได้ เห็นชัดว่านี่เป็นอาวุธพบสวรรค์ขั้นสูง

วาบ!

โดยไม่ลังเลฟังยี่ระเบิดคลื่นหลิงออกจากร่าง มิติบิดเบือนร่างเขาก็หายไป มีเพียงรัศมีกระบี่คมกริบที่ยังทะยานขึ้นสู่ขอบฟ้า

ไม่มีความปั่นปวนน่าตกใจเกิดขึ้นจากการปะทะกัน กลับมีแต่ความเงียบงันผิดปกติ จอมยุทธ์ทั้งสองเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ววูบไหวไปทั่วท้องฟ้า แม้แต่เหล่าผู้ชมยังไม่สามารถมองตามความเร็วของพวกเขาได้ทัน ทำได้เพียงอุทานด้วยความตกใจ

บนท้องฟ้า ซูปี้เยี่ย หงหยูและติงเฉวียนมองการต่อสู้สองสมรภูมิก็ส่ายหน้าอย่างขมขื่น ศึกมังกรหงส์ครั้งนี้คือเวทีให้คนเหล่านั้นได้แสดงฝีมือ ขณะที่พวกเขาเป็นแค่คนดูเท่านั้น

“ไม่รู้ว่าใครจะเป็นผู้ชนะ” ติงเฉวียนเอ่ยเสียงเบา เขาหลงใหลการต่อสู้ แต่ก็ไม่กล้าบุ่มบ่ามในสถานการณ์ตอนนี้ ไม่อย่างนั้นเขาอาจจะอับโชคโดนหางเลขจากการโจมตีของทั้งสองสมรภูมิเข้า

“เรายังตัดสินคู่ระหว่างไฉ่เซียวกับฟังยี่ตอนนี้ไม่ได้หรอก แต่สำหรับคู่มู่เฉินกับโยวหมิงแล้ว โยวหมิงถือว่าได้เปรียบอย่างขาดลอย แต่เจตนาของมู่เฉินก็คือขัดขวางโยวหมิง ดังนั้นหากพูดเจาะจงลงไปเขาทำงานสำเร็จแล้ว เว้นแต่ว่าโยวหมิงอาจไม่ปล่อยให้เป็นไปตามที่เขาต้องการ” ซูปี้เยี่ยเอ่ยเบาๆ นางเป็นจอมยุทธ์ชั้นสูงคนหนึ่งในหมู่จอมยุทธ์รุ่นใหม่แห่งภูมิภาคทางเหนือ นางจึงมองเห็นการต่อสู้ของทั้งสองสมรภูมิได้อย่างชัดเจน

“ทันทีที่โยวหมิงเอาชนะมู่เฉินได้ก็จะร่วมมือกับฟังยี่ ไฉ่เซียวจะไร้หนทางเผชิญหน้ากับวิกฤตนี้”

ได้ยินคำพูดนั่น หงหยูก็หัวเราะ “ดูเหมือนพี่สาวจะเข้าข้างว่าโยวหมิงจะชนะนะ? แต่ข้ารู้สึกว่าไม่ง่ายหรอกที่โยวหมิงจะเอาชนะมู่เฉินได้”

“มู่เฉินไม่ใช่คู่ต่อสู้ที่โค่นได้ง่ายๆ แต่โยวหมิงก็เช่นกัน” ซูปี้เยี่ยยิ้มบาง นางไม่ได้เข้าข้างใครเพียงเอ่ยสิ่งที่รู้เห็นเท่านั้น

“งั้นหรือ? ถ้างั้นก็ดูต่อไปเถอะ” หงหยูยิ้ม จริงๆ แล้วนางจะไม่รู้ได้อย่างไรว่าซูปี้เยี่ยกำลังพูดข้อเท็จจริง แต่ด้วยนิสัยที่ชอบขัดกับซูปี้เยี่ยเสมอ นางจึงไม่เต็มใจที่จะเห็นด้วยในสิ่งที่อีกฝ่ายพูด

ขณะที่พวกเขากำลังพูดคุยกัน สองสมรภูมิก็ทวีความดุเดือดมากขึ้นขณะที่คลื่นหลิงน่าตกใจฉีกผ่านชั้นเมฆภายในรัศมีหมื่นจั้ง ลมพัดกระจัดกระจายบนท้องฟ้า

ตู้ม!

เสาปีศาจมาพร้อมกับพลังน่ากลัวฟาดลงมาอย่างต่อเนื่อง แต่ไม่ว่าเสาปีศาจจะดุดันเพียงใด ก็ไม่สามารถเขย่าง้าวในมือของโยวหมิงได้

แม้มู่เฉินจะปล่อยการโจมตีดุเดอืดในครั้งนี้ แต่ใครๆ ก็บอกได้ว่าเขาเสียเปรียบ ทว่ามู่เฉินไม่อนาทรร้อนใจกับเรื่องนี้ เนื่องจากเขารู้ดีถึงช่องว่างพลังระหว่างตนเองกับโยวหมิง หากไม่ใช่ร่างเทพสุริยะและกายามังกรหงส์แล้วละก็ เขาคงไม่สามารถปะทะกับโยวหมิงแบบตัวต่อตัวได้เลยหรอก

ยิ่งไปกว่านั้นเขาเต็มใจอย่างยิ่งที่จะเห็นสถานการณ์เป็นไปอย่างที่ควร เพราะจุดเริ่มต้นของความตั้งใจไม่ใช่การเอาชนะโยวหมิง แต่เป็นการซื้อเวลาให้ไฉ่เซียว

ก็เหมือนกันกับความคิดของฟังยี่กับโยวหมิง ฟังยี่หวังว่าโยวหมิงจะเอาชนะมู่เฉินได้อย่างรวดเร็ว เพื่อที่พวกเขาทั้งสองจะรวมพลังจัดการไฉ่เซียว แต่ว่ามู่เฉินเองก็กำลังรอคอยให้ไฉ่เซียวเอาชนะฟังยี่ให้ได้เช่นกัน…

ตราบใดที่ผลลัพธ์สมรภูมิใดสมรภุมิหนึ่งถูกกำหนด ผลของการต่อสู้ก็จะถูกตัดสิน

เมื่อเวลาผ่านไป สายตาสี่คู่ก็กะพริบเบาๆ เพราะพวกเขารู้สึกว่าถึงเวลาที่จะแสดงผลลัพธ์แล้ว

ดวงตาของไฉ่เซียวกับโยวหมิงเปลี่ยนเป็นคมกริบ เวลาเดียวกันบรรยากาศรอบตัวทั้งคู่ก็เปลี่ยนไป

เมื่อสัมผัสได้ถึงความเปลี่ยนแปลงบรรยากาศรอบตัวพวกเขา ม่านตามู่เฉินกับฟังยี่ก็หดลงขณะที่พวกเขาเกร็งร่าง

“พวกเขาจะจบศึกแล้ว!” สีหน้าของซูปี้เยี่ยกับหงหยูเปลี่ยนไปพร้อมกับท่าทางตึงเครียด

สองสมรภูมิกำลังจะจบลงในเวลาเดียวกัน!