ตอนที่ 604 เยี่ยมคุก

นายน้อยเจ้าสำราญ

ตอนที่ 604 เยี่ยมคุก

ซูชานเยวี่ยมิได้กล่าวอันใดออกมาอีก

เขาได้เรียกผู้คุมเข้ามา 1 คน จากนั้นก็สั่งให้พาฟู่เสี่ยวกวนเดินเข้าไปในศาลต้าหลี่

โหลวสืออู่ เฉาชิงแห่งศาลต้าหลี่เดินเข้ามาด้านในแล้วนั่งลงฝั่งตรงข้ามกับซูชานเยวี่ย

“ใต้เท้าขอรับ คนผู้นี้คือ…”

คิ้วของซูชานเยวี่ยเลิกขึ้นเล็กน้อยแล้วกล่าวว่า “ท่านผู้นี้ได้รับพระราชโองการมาจากฝ่าบาทว่าให้เข้าเยี่ยมคุกได้”

“อ่า…” โหลวสืออู่พยักหน้าเบา ๆ จากนั้นก็หยิบแก้วชาขึ้นมาหนึ่งแก้วแล้วรินน้ำชาลงไป “ข้าน้อยเพิ่งได้ยินมาว่า ในการออกว่าราชการเช้านี้ฝ่าบาททรงประทานตำแหน่งติ้งอันป๋อให้แก่ท่านผู้นี้ อีกทั้งตำแหน่งเก้ามิ่งแก่ฮูหยินทั้งสาม ป้ายจวนฟู่จะถูกเปลี่ยนเป็นโล่ทองคำเพื่อแสดงสัญลักษณ์จวนติ้งอันป๋อ”

ซูชานเยวี่ยชะงักลงเล็กน้อย โหลวสืออู่จึงยกยิ้มขึ้นแล้วยกมือลูบไปยังเครายาวของตน “ตระกูลใหญ่ทั้งหกของเมืองจินหลิง นับแต่ท่านผู้นี้มาเยือนก็ได้ล้มลงถึง 5 ตระกูลแล้ว…อย่ามองว่าท่านผู้นี้อายุน้อย แต่ละก้าวที่ก้าวมานั้น ได้เหยียบย่ำก้าวข้ามศพทั้งห้าตระกูลนี้มาเชียว ! ”

ซูชานเยวี่ยขมวดคิ้วเข้าหากันแน่น “อย่าได้กล่าวพล่อย ๆ ไป เรื่องของติ้งอันป๋อนั้นทุกคนต่างก็รู้ดี อีกอย่าง…เดิมทีเขาควรได้เป็นจักรพรรดิแห่งราชวงศ์อู๋เสียด้วยซ้ำ ดังนั้นการที่เขาได้เป็นตระกูลที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในเมืองจินหลิงก็นับว่าเป็นเรื่องที่สมเหตุสมผลแล้ว”

โหลวสืออู่จิบน้ำชาจนหมดถ้วย “สิ่งที่ท่านกล่าวมานั้น ถูกต้องเป็นอย่างยิ่ง คำเอ่ยเหล่านั้นข้าน้อยมิได้กล่าว แต่ได้ยินมาต่างหาก”

“ผู้ใดกันที่กล้ากล่าวเรื่องไร้สาระเช่นนี้ ? ”

“ฝ่ายลงทัณฑ์ขอรับ ขุนนางชราเหล่านี้เคยถูกติ้งอันป๋อเล่นงานมาก่อน บัดนี้เริ่มฉลาดขึ้นมาบ้างแล้ว พวกเขาขาดผู้หนุนหลังเยี่ยงฉินฮุ่ยจือและเซวี๋ยไคเหลียนไป ดังนั้นจึงมิกล้าเขียนหนังสือร้องเรียนติ้งอันป๋อต่อฝ่าบาท พวกเขาจึงทำได้เพียงแค่กล่าวเรื่องไร้สาระเหล่านี้เพื่อต้องการทำให้ชื่อเสียงของติ้งอันป๋อเสื่อมเสีย จิตใจช่างเลวทรามเสียจริง ! ”

ซูชานเยวี่ยครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ ก่อนจะเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาว่า “ส่งคนไปจับตาดูขุนนางชราเหล่านั้นเสีย หากพบว่าพวกเขาได้เผยแพร่เรื่องเท็จออกไป จงพาตัวมาให้ข้า ! ”

โหลวสืออู่ยกมือขึ้นคารวะแล้วตอบว่า “ขอรับ ! ข้าน้อยจะไปปฏิบัติเดี๋ยวนี้”

……

……

คุกที่มีความคุ้มกันแน่นหนาของศาลต้าหลี่ เป็นคุกที่ดีที่สุดในเมืองจินหลิง

ตามปกติแล้ว ผู้ต้องโทษทั่วไปจะถูกขังไว้ในคุกศาลจินหลิง หากเกี่ยวข้องกับขุนนางของราชวงศ์หยูหรือคดีต้องโทษที่ค่อนข้างหนักจะถูกขังไว้ในคุกของกรมราชทัณฑ์

สวนผู้ที่ถูกขังไว้ในศาลต้าหลี่ โดยมากคือผู้ที่ต้องโทษประหารชีวิตทั้งสิ้น

สีฉวินเหมยกำลังนั่งอยู่ในคุก มุมหนึ่งของห้องขังมีกองฟางปูทับด้วยเสื่อสำหรับรองนอน

ส่วนอีกมุมหนึ่งมีถังไม้ส่งกลิ่นเหม็นคละคลุ้ง ตรงกลางของห้องขังมีโต๊ะเล็ก ๆ อยู่ 1 ตัว แสงสุริยาจากช่องหน้าต่างส่องเข้ามา เขานั่งอยู่ท่ามกลางแสงสุริยานั้นโดยชันขาทั้งสองข้างขึ้นแล้วหรี่ตามองออกไปยังท้องนภานอกหน้าต่าง ใบหน้าไม่ปรากฏอารมณ์ใด ๆ ออกมา

ภายใต้การนำทางของผู้คุม ฟู่เสี่ยวกวนจึงได้เดินมาถึงหน้าประตูห้องขัง

“ฟู่เจวี๋ยเยขอรับ ด้านในกลิ่นค่อนข้างจะ…เหม็นสาบเสียหน่อย ท่านยืนมองเขาอยู่ที่ทางเข้าประตูนี้มิดีกว่าหรือขอรับ ? ”

“มิเป็นไร… เปิดประตูเถอะ ข้าต้องการสนทนากับเขาสักหน่อย”

ผู้คุมมองฟู่เสี่ยวกวนแล้วโบกมือให้ทหารเฝ้าคุกมาเปิดประตู ฟู่เสี่ยวกวนก้าวเดินเข้าไปด้านใน สายตาจับจ้องไปยังสีฉวินเหมย

อาภรณ์ที่อีกฝ่ายสวมใส่ขาดวิ่นเสียจนมิน่ามอง ใบหน้ามิสดใสเลยสักนิด แม้จะดูซึมกระทือแต่ทว่าผมเผ้าก็ถูกหวีอย่างเป็นระเบียบ

เสนาบดีแห่งกรมขุนนางผู้ยิ่งใหญ่ในอดีต บัดนี้มีสภาพมิต่างจากชาวนาชราที่กำลังใกล้ตายอย่างไรอย่างนั้น

เมื่อได้ยินเสียงประตูคุกถูกเปิดออก สีฉวินเหมยจึงหันศีรษะกลับมาอย่างช้า ๆ อาจเพราะเมื่อครู่ได้จ้องมองแสงสุริยาเป็นเวลานาน พอหันสายตากลับมามองยังที่มืดจึงทำให้ต้องหรี่ตาลงจนดวงตาเล็กแทบจะเป็นเส้นตรง

คล้ายมองเห็นว่ามีคนเดินเข้ามา จากนั้นดวงตาของเขาก็เบิกกว้างขึ้นทันใด พลางเผยอริมฝีปากขึ้นยิ้ม

“คาดมิถึงอย่างแท้จริงว่าเจ้าจะมาหาข้า”

ฟู่เสี่ยวกวนเองก็ยิ้มกลับเช่นกัน “ข้าเพิ่งเดินทางกลับมาถึงเมื่อวานนี้ มาช้าไปหน่อย จึงลำบากท่านเสียแล้ว”

สีฉวินเหมยส่ายหน้าแล้วกล่าวว่า “แท้ที่จริงแล้วเจ้ามิควรมาในสถานที่เช่นนี้ รัชสมัยเซวียนลี่ปีที่แปด คราที่เจ้าเดินทางมายังเมืองหลวง ท่านฉินปิ่งจงคาดหวังว่าข้าจะดูแลและชี้แนะเจ้าได้ ข้าคือศิษย์ของท่านอาจารย์ฉิน คำสั่งสอนของอาจารย์ข้าย่อมเชื่อฟังเสมอ… เอาล่ะ ! เชิญนั่งก่อน”

เขาชี้ไปยังเก้าอี้ตัวเล็ก ๆ ที่วางอยู่ ฟู่เสี่ยวกวนเดินเข้าไปนั่งลงตรงข้ามกับเขา

“เดิมที ข้าคิดว่าจะสามารถชี้นำเจ้าได้ แต่คาดมิถึงว่าเจ้าจะเก่งกาจถึงเพียงนี้ สามารถใช้นโยบายบรรเทาสาธารณภัยเพียงแผ่นเดียวก็ทำให้ฝ่าบาทชื่นชมเจ้าได้แล้ว… แต่พอข้าลองมาคิดตริตรองดูดี ๆ แล้ว ต่อให้มิมีนโยบายแผ่นนั้น ฝ่าบาทก็ยังชื่นชมเจ้าอยู่ดี”

“เจ้าเป็นถึงองค์ชายแห่งราชวงศ์อู๋ มิว่าจะเป็นจักรพรรดิเหวินหรือจักรพรรดิอู๋องค์ปัจจุบันก็ล้วนมีความสัมพันธ์อันดีต่อฝ่าบาทด้วยกันทั้งสิ้น ส่วนองค์ฮ่องเต้และฮองเฮาซั่งก็รู้ตัวตนที่แท้จริงของเจ้าเป็นอย่างดี แต่ข้าและขุนนางท่านอื่นหรือแม้แต่ตระกูลใหญ่ทั้งหกแห่งจินหลิงกลับจมอยู่ในปลัก”

“ดังนั้น ข้าจึงมิอาจช่วยอันใดเจ้าได้เลย เจ้าเพิ่งเดินทางกลับถึงเมืองจินหลิงเมื่อวานนี้ แต่วันนี้ก็เดินทางมาเยี่ยมข้าแล้ว… ข้ายังคงยืนยันประโยคเดิมว่า เจ้ามิควรมาที่นี่”

ฟู่เสี่ยวกวนยกยิ้มเล็กน้อย “แต่ข้าก็เดินทางมาแล้ว มิใช่ด้วยเหตุผลที่ว่าท่านช่วยเหลือข้าได้หรือไม่ แต่เป็นเพราะข้าต้องการถามท่านว่า ตระกูลสีได้อพยพไปตั้งแต่ตอนปีใหม่ จากหลักการแล้วท่านน่าจะรู้ว่าสีฮวากำลังร่วมก่อกบฏกับเซวี๋ยติ้งชาน เหตุใดท่านถึงมิกราบทูลเรื่องนี้ต่อฝ่าบาท ? หรือ…เหตุใดท่านถึงมิหนีไปด้วยกัน ? ”

สีฉวินเหมยก้มหน้าลง ใบหน้าบ่งบอกถึงการเย้ยหยันตนเอง “ฮ่องเต้กับขุนนาง บิดาและบุตร… ด้านหนึ่งคือองค์ฮ่องเต้ อีกด้านหนึ่งคือบิดา หากข้าทูลฝ่าบาทก็เท่ากับข้าสังหารบิดาตนเอง หากข้าปิดบังฝ่าบาทก็เท่ากับทำร้ายพระองค์ ข้าคือเสนาบดีกรมขุนนางย่อมรู้ถึงกฎเกณฑ์ของราชวงศ์หยูดี และรู้ดีว่าสีฮวาจะต้องพ่ายแพ้ แต่ข้าก็มิหวังจะเห็นตระกูลสีถูกกวาดล้างเสียจนสิ้นซาก

ในช่วงเวลานั้น ข้าลำบากใจมากยิ่งนัก แม้ตำราศักดิ์สิทธิ์จะกล่าวว่า ฟ้า ดิน จักรพรรดิ์ ญาติ อาจารย์ เห็นได้ว่าฮ่องเต้อยู่ในอันดับต้น ๆ แต่ทว่ายามที่ต้องเผชิญหน้า ยามที่ต้องเลือก ข้าจึงค้นพบว่าระหว่างความจงรักภักดีต่อฝ่าบาทและความสัมพันธ์ในครอบครัว ข้ามิอาจเลือกอย่างใดอย่างหนึ่งได้เลย

ดังนั้น ข้าจึงมิกล้าทูลเรื่องนี้ต่อฝ่าบาท และก็มิอาจจากไปไหนด้วยเช่นกัน… ข้ามิสามารถจากไปได้ เนื่องจากข้ายังจงรักภักดีต่อฝ่าบาท ข้าจึงเลือกที่จะอยู่เพื่อถวายชีวิตแก่พระองค์”

ฟู่เสี่ยวกวนตั้งใจฟังอย่างละเอียด ครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ก่อนจะเอ่ยออกมา “จากมุมมองของข้า การตัดสินใจของท่านมิได้ผิดเลย หากเป็นข้า… เกรงว่าก็คงจะเลือกมิต่างจากท่านสักเท่าใดนัก”

สีฉวินเหมยชะงักลงทันพลัน มองไปยังฟู่เสี่ยวกวน “เจ้าอย่าได้กล่าวเช่นนี้อีก”

“บัดนี้มิใช่เวลาสนทนาเรื่องนี้ ข้ายังมีอีกหนึ่งคำถามที่จะเอ่ยถามท่าน กฎของราชวงศ์หยู นอกเหนือจากประมวลกฎหมายที่ออกโดยกรมการค้าแล้ว ท่านทราบกฎหมายอื่นอีกหรือไม่ ? ”

“กฎหมายแห่งราชวงศ์หยู ยึดตามประมวลกฎหมายอาญาหยูเป็นหลัก โดยทั่วไปนั้น การฟ้องร้องทั้งหมดจะถูกตัดสินตามข้อบังคับในประมวลกฎหมายอาญาหยู”

ก่อนหน้านี้ ฟู่เสี่ยวกวนมิเคยได้ทำความเข้าใจเรื่องกฎหมายในราชวงศ์หยูมาก่อน บัดนี้เมื่อได้ยินก็อดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้วเข้าหากันแน่น มองดูแล้วคงมิได้แตกต่างจากประมวลกฎหมายอาญาซ่งของราชวงศ์ซ่งในชาติที่แล้วสักเท่าใดนัก

“บัดนี้ ข้าต้องการคนหนึ่งคนสำหรับการร่างประมวลกฎหมายใหม่ ซึ่งกฎหมายอาญาและกฎหมายแพ่งจะต้องแยกออกจากกัน”

ฟู่เสี่ยวกวนลุกขึ้น ใช้มือตบฝุ่นที่ก้นเบา ๆ “ท่านอาจารย์ฉินมีหนังสือเล่มหนึ่งชื่อว่า ตำราหลี่เสวีย เมื่อท่านออกไปจากที่นี่ได้แล้ว จงไปขอมาอ่านดู ที่นี่กลิ่นแรงไปหน่อย เรื่องอื่นรอให้ท่านออกไป แล้วพวกเราค่อยมาเจรจากันอีกครา”

ฟู่เสี่ยวกวนเดินออกไปจากห้องขัง สีฉวินเหมยหรี่ตาลงอีกครา…

เขากำลังนึกในใจว่า กฎหมายแพ่งและกฎหมายอาญาจะต้องแยกออกจากกัน… เจวี๋ยเยท่านนี้กำลังคิดทำอันใดอยู่กันแน่ ?