SD:บทที่ 12 : หยาน ฉีเสีย
ให้ตายสิ นี่พวกเขาอยู่ที่ไหนกัน
เขาชะโงกดูเข้าไปในหน้าต่างของรถแท็กซี่ ทว่ากลับไม่พบผู้ใดอยู่ในนั้น เขารู้สึกราวกับว่าถูกราดด้วยถังน้ำแข็งเย็นจัด
เขาพลันรู้ตัวว่าภารกิจนี้คงไม่ง่ายอย่างที่หวังไว้ นี่มันเป็นภารกิจอันโชคดีเสียที่ไหนกัน*!*
เป็นไปได้ไหมที่ หนิง ไฉ่เฉิน จะถูก เหนีย เสี่ยวเชียนฆ่าไปแล้ว
ซู ฉิวไป่พลันมีลางสังหรณ์ประหลาดขึ้นมา เมื่อตระหนักได้ว่ามีความเป็นไปได้มากทีเดียวที่นางจะทำเช่นนั้น เพราะจะอย่างไรก็ตาม เหนีย เสี่ยวเชียนก็เป็นวิญญาณหญิงสาวที่ถูกควบคุมโดยปีศาจ
เขาพลันรู้สึกกระวนกระวายใจ ถ้าหากว่า หนิง ไฉ่เฉิน ตายไปแล้ว ถ้าอย่างนั้น ระบบการนำทางก็ต้องแจ้งเตือนว่าเขาทำภารกิจผิดพลาด พร้อมกับแช่แข็งช่องทางการข้ามเวลาไว้สิ
ซู ฉิวไป่ตระหนักได้ว่าการอยู่ ณ ที่เดิมคงไม่เกิดประโยชน์อันใด โดยที่เขายังไม่คิดถึงว่าตนเองตกอยู่ในอันตรายที่ใหญ่หลวงมากแค่ไหน และแม้ภายในใจเขาก็รู้สึกกลัวมากยิ่งกว่า ถึงอย่างนั้น เขากลับเริ่มโห่ร้องออกมาเสียงดังเป็นเวลานานเพื่อระบายความขัดข้องใจให้ได้ซักทางหนึ่ง
แล้วเขาก็โล่งอกเมื่อได้ยินเสียงสั่นของการเคลื่อนไหวบางอย่างจากไกล ๆ
เขารีบวิ่งไปที่ต้นกำเนิดเสียงโดยไม่ลังเล พร้อมกับเปิดไฟฉายของโทรศัพท์ เขาชูมันสูงขึ้นไปบนฟ้าให้เป็นแสงนำทางในป่าอันมืดสนิท
“หนิง ไฉ่เฉิน! เหนีย เสี่ยวเชียน! อยู่ที่ไหนกัน”
ซู ฉิวไป่มั่นใจมากว่าตราบใดที่เขายังวิ่งตรงไปข้างหน้า ระยะห่างระหว่างเขากับทั้งสองจะต้องสั้นลงแน่นอน
เมื่อเขาตามทันในที่สุด เขากลับได้ยินเสียงของ หนิง ไฉ่เฉิน
“ไม่ต้องกลัวไป เสี่ยวเชียน ข้าจักปกป้องเจ้า!”
ซู ฉิวไป่กังวลขึ้นมาทันที นี่พวกเขาตกอยู่ในอันตรายรึเปล่าเนี่ย
“หนิง ไฉ่เฉิน เกิดอะไรขึ้น ใครคิดจะทำร้ายนายรึ”
ซู ฉิวไป่เดาว่าพวกเขาคงจะอยู่ตรงหน้าเขาแน่นอน จึงตะโกนเสียงดังลั่น พร้อมกับเคลื่อนที่ไปข้างหน้าอย่างร้อนรน หรือว่าหญิงชราผู้ชั่วร้ายจะเจ้าพวกเค้าแล้ว
ทว่า วิสัยทัศน์ของเขาพลันมืดสนิท เขาถูกทุบด้วยอะไรบางอย่าง แล้วทั้งร่างของเขากร่วงลงกระแทกพื้นดิน
“เสี่ยวเชียน ข้าตีมันได้แล้ว!”
ซู ฉิวไป่ได้ยินเสียงของ หนิง ไฉ่เฉิน ขณะที่เขายังนอนใกล้อยู่บนพื้น โดยที่สติยังคงเลือนราง
ไอ้บ้านี่ยังไม่รู้ตัวว่าตีผิดคน*!*
ซู ฉิวไป่พยายามตะเบ็งเสียงของตัวเองเพื่ออธิบายสถานการณ์ ขณะที่ยังกระเสือกกระสนที่จะลุกขึ้นยืน แต่กลับถูกตีเข้าที่หัวอีกครั้ง
“ใช่ ก็กำลังตีเจ้าอยู่นี่ไง คิดเยี่ยงไรถึงได้มาก่ออาชญากรรมตอนกลางวันแสก ๆ เยี่ยงนี้”
ก่อนที่จะตระหนักได้ว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ซู ฉิวไป่กลับเหวอด้วยคำพูดของ หนิง ไฉ่เฉิน
เขาพลันเข้าใจในสถานการณ์ตรงหน้าทันที พวกเขาคงเข้าใจผิดว่าเขาเป็นคนไม่ดีแน่!
ด้วยความที่เวลาที่มีนั้นจำกัดเหลือเกิน ซู ฉิวไป่ลุกขึ้นยืน แสงไฟจากไฟฉายของมือถือเขาส่องไปเห็น หนิง ไฉ่เฉิน จ้องเขม็งมาที่เขา แขนของเขาอ้ากว้างเพื่อปกป้อง เหนีย เสี่ยวเชียน ที่ยืนอยู่เบื้องหลัง
คนขับรถทำตัวให้ใจเย็นลง ก่อนที่จะมองไปที่ทั้งสองอย่างมืดมน “ให้ผมบอกอีกครั้งกัน ผมเนี่ยเป็นคนดีนะ และผมมาเพื่อจะพาพวกคุณทั้งสองมาเจอกันอีกครั้ง พร้อมส่งพวกคุณกลับบ้านโดยสวัสดิภาพ… ช่างเถอะ เอาเป็นว่าผมรู้ล่ะกันว่า คุณเสี่ยวเชียนแท้จริงเป็นวิญญาณของหญิงสาวที่ตอนนี้กำลังถูกคุกคามโดยยายผู้ชั่วร้าย อันที่จริง ร่างของคุณถูกฝังไว้ใต้ต้นป็อปลาร์สีขาวที่มีรังอีกาอยู่บนกิ่ง…”
ซู ฉิวไป่พยายามเล่าเรื่องราวที่เขาจำได้ทั้งหมดเกี่ยวกับเรื่องราวของพวกเขาโดยไม่หยุดพักหายใจ ทั้งที่รู้จากในหนังที่เค้าเคยดูผ่าน ๆ และหนังสือที่เคยอ่านบ้าง เขาต้องการยืนยันให้ทั้งสองเชื่อใจเขาอย่างที่สุด มิฉะนั้นเขาคงทำภารกิจนี้ไม่สำเร็จ
หลังจากที่ ซู ฉิวไป่สาธยายจบ หนิง ไฉ่เฉิน ดูท่าว่าจะสับสนมากจริง ๆ ในขณะที่ เหนีย เสี่ยวเขียน เปลี่ยนท่าทีไปอย่างมาก
“เจ้า…เป็นเทวดา ใช่หรือไม่”
นางเอ่ยถามด้วยความกังวลใจ ปากของเธออ้าค้างเล็กน้อย แต่นั่นก็หมายถึงว่าเธอรับรู้เรื่องทั้งที่เขากล่าวมาบ้าง
เทวดารึ
ซู ฉิวไป่งงงันมากไปอีกหลังจากได้ยิน เหนีย เสี่ยวเชียน เอ่ยปากพูด
นี่เธอเคยเห็นเทวดาที่ไหนยอมทุ่มเทพลังที่มีทั้งหมด เพื่อเดินทางข้ามเวลาเป็นระยะทางไกลเกินจะกล่าวเพื่อมาส่งผู้โดยสาร แต่กลับถูกโจมดีสองครั้งติดต่อกันบ้างล่ะ
ตำนานที่ว่า หนิง ไฉ่เฉิน เป็นชายผู้มีเมตตา พร้อมทั้งยังเป็นผู้ที่แสวงหาในรักแท้นั้นเป็นความจริงเสียทีเดียว เมื่อค้นพบว่า เหนีย เสี่ยวเชียน แท้จริงแล้วเป็นวิญญาณของหญิงสาว เขาดันไม่กลัว แต่กลับต้องการช่วยให้นางพ้นทุกข์แทน
ซู ฉิวไป่แทบจะหมดคำพูดเลยทีเดียวที่ในเวลาเพียงไม่นาน ทั้งสองกลับสนิทสนมเร็วมากขนาดนี้
“เร็ว ตามผมมา และ…อย่าเรียกว่าผมว่าเทวดาล่ะ เรียกว่าเป็นคนขับแท็กซี่ก็พอ” ซู ฉิวไป่ถือวิสาสะพูดขัดคอพวกเขาอย่างห้วน ๆ แล้วเร่งเร้าให้ตามมาโดยเร็ว
ทั้งหมดต่างรีบวิ่งไปในทิศที่มีรถแท็กซี่ โดยมีแสงไฟฉายของโทรศัพท์มือถือของ ซู ฉิวไป่นำทาง กองไฟที่พวกเขาก่อไว้ที่อารามยังคงมองเห็นได้ แต่พวกเขาก็ไม่แน่ใจนักว่าหญิงชรายังคงอยู่ที่นั่นด้วยหรือไม่ แต่ช่างนาง เขาต้องรีบส่งพวกเขากลับบ้านเพื่อทำภารกิจให้ลุล่วง
อย่างไรก็ตาม เหนีย เสี่ยวเชียน กลับร้องออกมา ณ ตรงนั้น “ข้ายังไปไม่ได้ ยายของข้าคงไม่เห็นด้วย ท่านจงตามคนขับรถแท็กซี่แล้วจากที่แห่งนี้ไปเสีย ให้เราได้เป็นสามีภรรยาในชาติภพหน้าเถิด”
โอ้ย ให้ตาย นี่พวกเขาพึ่งจะเจอกันแค่ไม่ถึงชั่วโมงเลยเสียด้วยซ้ำ แต่กลับรักกันปานจะกลืนกิน คงจะเป็นรักพรหมลิขิตข้ามชาติภพมนุษย์-วิญญาณที่กำหนดมาโดยโชคชะตะ หรืออะไรเทือกนั้นเป็นแน่แท้
ซู ฉิวไป่ไม่มีทางเลือกอื่น หาก เหนีย เสี่ยวเชียน ตัดสินใจจะอยู่ หนิง ไฉ่เฉิน ก็คงอยู่ตาม พวกเขาก็คงไม่ได้ขึ้นแท็กซี่ ภารกิจนี้ก็คงจะล้มเหลวแน่นอน
เขาพลันเข้าใจได้ในทันทีว่าภารกิจนี้ต้องการให้เขาทำอะไร มันต้องการให้เขาฆ่ายายเฒ่าผู้ชั่วร้าย
แต่เขาไม่รู้เวทมนตร์อะไรเลยนะ ผีชราชั่วร้ายนั่นเป็นที่รู้กันว่าทรงพลังมากนัก ขณะที่เขาทำได้แค่คร่ำครวญ เขาพลันนึกได้ถึงใครบางคน!
นี่ดันลืม หยาน ฉีเสีย (นักบวชลัทธิเต๋า)ไปได้ยังไง จากนวนิยายฉบับดั้งเดิม เขาก็ควรจะอยู่แถว ๆ นี้ แต่ไม่เป็นไร ยังไงฉันก็ตามหาเค้าได้อยู่แล้ว
“รออยู่ตรงนี้นะทั้งคู่ เดี๋ยวผมจะไปตามใครซักคน อีกไม่นานก็กลับมา”
ซู ฉิวไป่กระโดดเข้าไปในรถเพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลาอีกต่อไป จากนั้นเขาเปิดระบบการนำทาง
“ระบุตำแหน่งของ หยาน ฉีเสีย เริ่มต้นการเดินทาง…”
หลังจากที่เขาเปิดไฟหน้ารถ พร้อมเหยียบคันเร่ง รถแท็กซี่ก็อันตรธานหายไปในทันที
เมื่อเห็นฉากตรงหน้า คู่รักดังกล่าวพลันเชื่อไปอีกว่า ซู ฉิวไป่เป็นเทวดาจริง ๆ เมื่อพวกเขาเชื่อว่าจะสามารถขจัดความทุกข์ของนางจนได้ เหนีย เสี่ยวเชียน และ หนิง ไฉ่เฉิน จึงพลอดรักกันเสียซะตรงนั้น
แน่นอนว่าคนขับรถไม่รู้เรื่องนั้น เขาเพียงรู้สึกได้ถึงแสงสว่างที่วาบผ่านตัวของเขาไป ก่อนที่เขาจะพบนักบวชลัทธิเต๋ากำลังถือถุงในใหญ่ มาปรากฏตัวข้างรถของเขา
“เจ้าเป็นใคร” นักบวชเองก็ประหลาดใจไม่ต่างกัน เหตุใดถึงมีสัตว์ประหลาดปรากฏตัวส่งเดชท่ามกลางหุบเขาเยี่ยงนี้กัน
“ท่านคือ หยาน ฉีเสีย ใช่มั้ย ผมต้องการให้คุณไปทำลายปีศาจ”
ซู ไป่ กล่าวกับนักบวชอย่างเร่งรีบ ขณะที่เขาลดหน้าต่างรถลง
“เจ้ารู้จักข้าได้อย่างไร ปีศาจตนไหนกัน” หยาน ฉีเสีย พยายามจะถามอีกเพื่อทำความเข้าใจสถานการณ์ที่แปลกประหลาดเช่นนี้ แต่ ซู ฉิวไป่กระโดดลงมาจากรถเสียก่อน พร้อมเอาแต่ดันนักบวชเข้าไปในรถพร้อมกับเขา
“ไม่มีเวลาจะอธิบายแล้วท่าน เชิญขึ้นรถอย่างเร็วเลย”
ประโยคสุดท้ายนั้นดังก้องไปทั่วป่า ขณะที่รถแท็กซี่พลันหายไปอีกครั้ง ราวกับว่ามันไม่เคยโผล่มาที่นี่
กลับมาที่อาราม เหนีย เสี่ยวเชียน และ หนิง ไฉ่เฉิน ก็ตกอยู่ในอันตรายเสียแล้ว ไม่นานหลังจากที่ ซู ฉิวไป่จากไป ยายเฒ่าชั่วร้ายกลับออกมาจากอารามหลานหรัว
“เสี่ยวเชียน จะให้ข้าบอกอีกกี่ครั้ง ทำไมเจ้าไม่ส่งคนที่ข้าขอเข้าไปในอารามเสียที นี่ข้าต้องทำทุกอย่างเองรึอย่างไรกัน”
เมื่อได้ยินเสียงเช่นนั้น เสี่ยวเชียน ตัวซีดเผือดด้วยความกลัว นางขอให้ หนิง ไฉ่เฉิน รีบหนีไปโดยเร็ว
ทว่าเขากลับปฏิเสธ บัณฑิตหนุ่มขอให้นางหนีไปกับเขา สุดท้ายพวกเขาจึงหันและเตรียมที่จะหนีไปด้วยกัน
แต่โชคไม่ดี ยายแก่ผู้ชั่วร้ายนั้นไม่ปล่อยให้พวกเขาหนีไปโดยง่าย เพียงชั่วกะพริบตา นางก็ตามพวกเขาทันเสียแล้ว และในตอนที่ เหนีย เสี่ยวเชียน รวบรวมความกล้าแล้วหันไปดูอีกครั้ง เพียงไม่กี่สิบก้าว เธอก็จะถึงพวกเขาอยู่แล้ว
ทั้งสองกลับสิ้นหวัง พวกเขาตัดสินใจหันไปเผชิญหน้ากับปีศาจเฒ่าที่ใกล้เข้ามามากเหลือเกิน หนิง ไฉ่เฉิน กอด เหนีย เสี่ยวเชียน ไว้พร้อมกับหลับตา เขาทำได้เพียงแต่เฝ้ารอความตายเท่านั้น
ปัง*!*
มีเสียงหนึ่งดังลั่นมาจากในป่า ปีศาจหญิงชราที่ไล่ตามพวกเขามาก่อนหน้านี้ กลับปลิวกระเด็นถอยหลังไปกระแทกต้นเอลม์เก่าแก่ต้นหนึ่ง ก่อนจะร่วงลงมาสู่พื้นดิน
หนิง ไค่เฉน และ เหนีย เสี่ยวเชียน ลืมตา และพบกับแท็กซี่คันหนึ่งจอดตรงหน้าพวกเขา
ซู ชิวไป่ที่นั่งอยู่บนรถเองก็ตะลึงงันไม่แพ้กัน หัวใจของเขาแทบจะหล่นไปอยู่ที่ตาตุ่มเมื่อเขาพบว่าเขาขับชนอะไรบางอย่าง แต่ด้วยแสงจากไฟหน้ารถ เขาจึงเห็นปีศาจเฒ่านอนแน่นิ่งอยู่บนพื้น เขาถอนหายใจด้วยความโล่งอก
“ขอบคุณสวรรค์ที่ผมขับชนถูกคน!”
ซู ฉิวไป่บ่นพึมพำเบา ๆ เขาหันไปมอง หยาน ฉีเสีย ที่ได้ชักดาบของตนออกมารอเสียแล้ว “อัศวินหยาน ที่เหลือผมยกให้เป็นหน้าที่คุณนะครับ”
ตลอดการเดินทางมาอารามหลานหรัว เขาได้อธิบายสถานการณ์ทั้งหมดให้ หยาน ฉีเสีย ฟังหมดแล้ว
เขาลงจากรถไปเปิดประตูให้นักบวชลงจากรถ ต่อจากนั้น หยาน ฉีเสีย ก็พุ่งทะยานพร้อมกับชักดาบประจำตัวออกมา คนขับรถนั่งอยู่บนพื้น รู้สึกได้ว่าโชคดีมากแค่ไหนว่าพวกเขาโผล่มาทันเวลาพอดี
ไม่มีความจำเป็นอะไรนักที่จะยืดเยื้อสิ่งที่เกิดขึ้นหลังจากนั้น หยาน ฉีเสีย เข้าต่อสู้กับปีศาจเฒ่า และเอาชนะมาได้ เหนีย เสี่ยวเชียน จึงได้รับอิสรภาพของนางคืนมา
แม้ในตอนแรก ซู ฉิวไป่จะทำทุกอย่างเพียงเพราะต้องการทำภารกิจให้ลุล่วงก็เท่านั้น แต่เมื่อเห็น เหนีย เสี่ยวเชียน ร้องไห้ด้วยความปิติยินดีขณะที่เธอกอด หนิง ไฉ่เฉิน เอาไว้ เขาก็รู้สึกว่าทั้งหมดที่ผ่านมามันคุ้มค่า
ใครจะไปสนล่ะว่าไม่มีรางวัลสำหรับการทำภารกิจ แค่ได้ช่วยคนที่กำลังเดือดร้อน แค่นั้นก็พอแล้ว
หลังจากกล่าวขอบคุณ หยาน ฉีเสีย แล้ว ซู ฉิวไป่ก็ส่งเขากลับทันที ก่อนที่จะย้อนกลับมาที่อารามหลานหรัวอีกครั้ง
เมื่อเขากลับมาที่ทางเข้าอาราม เหนีย เสี่ยวเชียน และ หนิง ไฉ่เฉิน วิ่งมาหาเขา คุกเข่า พร้อมคำนับให้เขาเสียตั้งสามครั้ง โดยที่ปากเอาแต่พร่ำสาบานว่าจะไม่ลืมบุญคุณของ ซู ฉิวไป่ครั้งนี้เลย
นั่นทำให้คนขับรถรู้สึกอับอายไปบ้าง หลังจากที่พยุงคู่รักขึ้น เขาก็เร่งเร้าให้ทั้งสองขึ้นแท็กซี่เสียที ท้ายที่สุดแล้ว สิ่งที่สำคัญที่สุดในตอนนี้ คือการออกจากที่แห่งนี้ให้เร็วที่สุด
ทั้งคู่เลิกปฏิเสธและต่อต้านเขาเสียที พวกเขาแค่นั่งที่เบาะหลังแต่โดยดี
หลังจากที่ส่ง หนิง ไฉ่เฉิน และ เหนีย เสี่ยวเชียนที่จุดหมาย ซู ฉิวไป่ก็ถอนหายใจแรง ก่อนที่จะเปิดช่องทางข้ามเวลา และเดินทางกลับบ้านในที่สุด
ภารกิจที่ในตอนแรกดูเหมือนว่าจะฆ่าเขาตายเสียแล้ว กลับสำเร็จอย่างยอดเยี่ยม!
เขานึกชื่นชมไหวพริบของตัวเอง แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดในตอนนี้ คือการตรวจสอบรางวัลที่ได้!
เขาหมดอาลัยตายอยากในตอนแรกที่ต้องรับภารกิจนี้ เขาจึงไม่ได้ใส่ใจรายละเอียดเกี่ยวกับรางวัลมากนัก เมื่อมาตรวจสอบดู ณ ตอนนี้ รางวัลดูจะเป็นแต้นคะแนนเติบโตหนึ่งร้อยแต้ม และแต้มสะสมวิวัฒนาการอีกเล็กน้อย
หลังจากการศึกษาอย่างถี่ถ้วน ในที่สุดเขาก็เข้าใจมันเสียที
แต้มคะแนนเติบโตทำให้เขาสามารถพัฒนาหลายหลายทักษะที่ต่างก็น่าสนใจ ส่วนแต้มคะแนนวิวัฒนาการทำให้เขาสามารถพัฒนาศักยภาพของระบบการนำทาง!
ยกตัวอย่างเข่น แต้มคะแนนวิวัฒนาการห้าแต้มที่เขาพึ่งจะได้มานั้น ทำให้เขาสามารถผูกมัดระบบการนำทางไว้กับร่างกายของเขาโดยตรงได้ หมายความว่าเขาจะเปิดระบบนำทางได้โดยไม่ต้องนั่งอยู่รถในแท็กซี่
ซึ่งนั่นเป็นเรื่องใหญ่!
เขารู้สึกมีความสุขมาก ในขณะที่เขากำลังจะค้นหาทักษะที่สามารถพัฒนาได้อยู่นั่นเอง เขาก็ได้รับการแจ้งเตือนจากระบบว่าเขาได้รางวัลพิเศษ
ของขวัญขอบคุณจาก เหนีย เสี่ยวเชียน*!*
ซู ฉิวไป่งงงันชั่วครู่เมื่อได้ยินคำพูดเหล่านั้น เขาเปิดมันด้วยความกระวนกระวายใจ และตกตะลึงจนดวงตาของเขาจะถลนออกมาจากเบ้า
เครื่องราวนำโชคดีและโชคร้ายอย่างล่ะสิบเครื่องราง!
ซู ฉิวไป่รู้สึกอยากลองมันโดยทันที เขาจอดรถที่ข้างถนนแล้วรอซักพัก อย่างไรก็ตาม กลับไม่มีคนเดินผ่านเลย
ขณะที่เริ่มจะรู้สึกผิดหวัง เขาพลันสังเกตเห็นชายรูปร่างอ้วนในรถยี่ห้อซานตาน่าสีดำไม่ไกลจากเขามากนัก