บทที่ 493 แข็งแกร่งและอันตราย

เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此]

ตอนที่ 493 แข็งแกร่งและอันตราย

นักพรตหญิงชินยังคงมีสีหน้าเยือกเย็นเช่นเดิม

“เพื่อนของเจ้าว่าอย่างไรบ้าง? นี่ก็ได้เวลาแล้ว ทำไมเขาถึงยังไม่มาอีก?”

นางเปลี่ยนเรื่องอย่างกะทันหันและมองหน้าหลินเป่ยเฉินด้วยแววตาแปลกประหลาด

หลินเป่ยเฉินรู้สึกผิดขึ้นมาทันทีและต้องรีบยิ้มอธิบายกลบเกลื่อน “สงสัยการจราจรอาจจะติดขัดขอรับ… แต่ท่านนักพรตหญิงชินไม่ต้องเป็นห่วง ในเมื่อเขาสัญญากับข้าแล้ว วันนี้เขาจะต้องปรากฏตัวออกมาแน่นอน… ไม่ทราบว่าท่านนักพรตหญิงชินอยากให้วีรบุรุษหน้ากากแดง เป็นคู่ต่อสู้กับเจียงฟานหรือขอรับ?”

นักพรตหญิงชินตอบว่า “มิใช่ เจียงฟานมีคู่ต่อสู้อยู่แล้ว”

“ว่าไงนะขอรับ?”

หลินเป่ยเฉินขมวดคิ้วด้วยความสงสัย “ใครหรือขอรับ?”

“เดี๋ยวเจ้าก็รู้”

นักพรตหญิงชินตอบ

สิ้นเสียงของนาง

วูบ!

ลำแสงกระบี่พุ่งขึ้นมาจากส่วนลึกของผืนป่าบนภูเขาซึ่งเป็นที่ตั้งของวิหารเทพกระบี่

ลำแสงกระบี่พุ่งขึ้นไปบนท้องฟ้า

มันมีพลังไอเย็นเหมือนลมฝนเดือนกันยา

ไม่ว่าลำแสงกระบี่นั้นจะพุ่งผ่านไปที่ใด ทุกๆ บริเวณก็จะบังเกิดเกล็ดหิมะและเกล็ดน้ำแข็งปลิวไสวในอากาศ ก่อเกิดเป็นภาพที่งดงามจับใจ โดยเฉพาะยามที่สายลมโชยพัดเกล็ดหิมะและเกล็ดน้ำแข็งเหล่านั้น พวกมันก็ม้วนตัวหมุนไปด้วยกัน ราวกับเป็นมังกรน้ำแข็งที่กำลังโผบินอยู่ในอากาศ

จากนั้น ลำแสงกระบี่จึงพุ่งตรงไปในค่ายอาคมของสนามรบศักดิ์สิทธิ์จุดที่สอง

เจียงฟานสวมเสื้อคลุมตัวใหญ่ บนศีรษะมีมงกุฎทองคำ ยืนอยู่ในค่ายอาคมด้วยความเงียบงัน

นี่คือสนามรบที่จะเปิดปิดได้ก็ด้วยพลังศักดิ์สิทธิ์เท่านั้น

คนนอกมองเข้าไปอาจจะเห็นว่าพื้นที่ซึ่งเป็นจุดต่อสู้นั้นมีขนาดไม่เล็กไม่ใหญ่

แต่สำหรับผู้ที่อยู่ในค่ายอาคม พื้นที่รอบตัวในขณะนี้เต็มไปด้วยภูเขาใหญ่เขียวขจี ต้นหญ้าเขียวชอุ่ม รวมไปถึงทุ่งกว้างที่รายล้อมอยู่รอบกายยาวไกลสุดลูกหูลูกตา

เจียงฟานแลบลิ้นเลียริมฝีปากด้วยความตื่นเต้น

บัดนี้ เขาเป็นเพียงหนึ่งเดียวจากมือกระบี่สี่องครักษ์ของเว่ยหมิงเฉินที่เหลือรอดอยู่ในสภาพยังจับกระบี่ต่อสู้ได้

และนี่คือสิ่งที่เจียงฟานหวังมาตลอด

โดยเฉพาะความตายของจูปี้ฉี

เจ้านั่นตายได้เสียก็ดี

เมื่อไม่มีจูปี้ฉีคอยขวางทาง เจียงฟานก็สามารถฆ่าคนที่เขาอยากฆ่าได้ทุกเวลา ไม่ว่าเขาอยากอาละวาดเมื่อไหร่ ก็สามารถทำได้เต็มที่โดยไม่ต้องเกรงใจผู้ใด โดยเฉพาะนายท่านเว่ยหมิงเฉินไม่คิดจะห้ามปรามเขาอยู่แล้ว มีแต่เพียงตาแก่นั่นคนเดียวเท่านั้นที่ทำตัวเป็นเจ้านาย และสร้างความเกลียดชังเอาไว้ในหัวใจของเจียงฟานโดยไม่รู้ตัว…

บัดนี้ แม้แต่เจ้าเมืองคนใหม่ของเมืองหยุนเมิ่งก็ถูกเขาฆ่าตายไปแล้ว ดังนั้น จึงไม่มีอะไรที่เจียงฟานจะทำไม่ได้อีกต่อไป

ฮ่าฮ่าฮ่า

มือกระบี่เหินหาวรู้สึกเพียงแต่ว่าเลือดลมในร่างกายของตนเองกำลังร้อนระอุ

ผู้ใดจะเป็นตัวแทนของฝ่ายวิหารเมืองหยุนเมิ่งมาสู้กับเขากันนะ?

ถ้าจะให้ดีก็ควรต้องเป็นหลินเป่ยเฉิน

หนี้แค้นที่เกิดขึ้นบนภูเขาเสี่ยวซีจะได้ชำระกันไปในวันนี้เสียเลย

เมื่อมีคุณชายเหลียนซานคอยช่วยเหลืออยู่ทั้งคน หลินเป่ยเฉินก็คงทำอะไรเขาไม่ได้อีกแล้ว

มือกระบี่เหินหาวคิดมาถึงตรงนี้…

วูบ!

ลำแสงกระบี่ปรากฏขึ้นในอากาศ

เกล็ดหิมะโปรยปรายลงมา

ลำแสงกระบี่หนาวเย็น

อุณหภูมิในค่ายอาคมพลันลดลงมาอย่างกะทันหัน จนเจียงฟานรู้สึกว่าตนเองกำลังยืนอยู่กลางภูเขาหิมะในฤดูหนาว

แล้วร่างของบุคคลผู้หนึ่งก็ปรากฏกายขึ้นเบื้องหน้าเขา

เมื่อเจียงฟานเห็นหน้าของคนผู้นั้นถนัดตาก็ถึงกับชะงักกึก

“เป็นเจ้าได้อย่างไร?”

มือกระบี่เหินหาวอุทานด้วยความเหลือเชื่อ

ฝ่ายตรงข้ามสวมใส่ชุดเสื้อคลุมสีน้ำเงินเข้ม ร่างกายสูงโปร่ง ใบหน้าหล่อเหลา ลักษณะสุภาพอ่อนน้อม ไม่ใช่ใครที่ไหน แต่เป็นท่านเจ้าเมืองคนใหม่ฉุยเฮาเฟิงนั่นเอง ดวงตาของเขากำลังเป็นประกายวาวโรจน์ ส่งเสริมให้ใบหน้ามีความหล่อเหลามากยิ่งขึ้น มือข้างหนึ่งกุมด้ามจับกระบี่แนบแน่น รอยยิ้มปรากฏขึ้นเล็กน้อย ก่อนพูดว่า “การต่อสู้เมื่อวันนั้น เรายังไม่รู้ผลแพ้ชนะ วันนี้ข้าจึงคิดมาขอรับคำแนะนำจากกระบี่เหินหาวอีกสักหลายกระบวนท่า!”

เจียงฟานใบหน้าบิดเบี้ยวด้วยความเดือดดาล

“คิดไม่ถึงจริงๆ ว่าเจ้าเจอกระบวนท่ากระบี่สลายโลหิตของข้าไปแล้ว ยังจะสามารถรอดชีวิตมาได้อีก ฮ่าฮ่าฮ่า ช่างเป็นเรื่องที่น่าประหลาดใจเหลือเกิน…ดูเหมือนว่าเทพีจอมปลอมของวิหารพวกเจ้า จะช่วยเหลือเจ้าเอาไว้เพื่อให้มาตายในวันนี้แทนสินะ”

เจียงฟานชักกระบี่ออกมาอย่างแช่มช้า

ฉุยเฮาเฟิงพูดเสียงดังว่า “เจียงฟาน หัวหน้าหน่วยลอบสังหารประจำตัวเว่ยหมิงเฉิน เจ้ากล้าดูถูกวิหารประจำเมืองผู้อื่น และมีพฤติกรรมเป็นอันตรายต่อชีวิตผู้บริสุทธิ์ เพราะฉะนั้น วันนี้ข้าต้องกำจัดเจ้าให้ได้”

กระบี่ในมือของเขาตวัดไปมา

ทันใดนั้น

หิมะที่โปรยปรายลงมาจากท้องฟ้าก็เปลี่ยนสภาพกลายเป็นคมมีดพุ่งเข้าใส่เจียงฟานจำนวนนับไม่ถ้วน

“ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า…”

เจียงฟานเงยหน้ามองท้องฟ้าและระเบิดเสียงหัวเราะเหมือนคนเสียสติ

“ภายใต้กระบี่เล่มนี้ เจ้ารอดตายไปได้หนึ่งครั้งถือว่าบุญหนักหนาแล้ว แต่ในเมื่อเจ้ากลับมาหาที่ตายเองก็ช่วยไม่ได้ ข้าเคยฆ่าเจ้าแล้วครั้งหนึ่ง ข้าก็สามารถฆ่าเจ้าได้เป็นครั้งที่สองเหมือนกัน”

เจียงฟานสะบัดกระบี่ขึ้นไปบนท้องฟ้า

คมกระบี่ในมือของเขาสาดประกายวูบวาบในอากาศ

เกิดการระเบิดตัวของคลื่นพลังบนท้องฟ้า ไม่ต่างไปจากการระเบิดของดวงดาวในจักรวาล

เปรี้ยง! เปรี้ยง! เปรี้ยง! เปรี้ยง!

คลื่นแรงระเบิดเหล่านั้นทำให้ม่านพลังที่ห้อมล้อมสนามรบถึงกับสั่นสะเทือน

เกล็ดหิมะกระจัดกระจาย

กระบี่ในมือของฉุยเฮาเฟิงถูกตวัดออกไปข้างหน้าอีกครั้ง และทุกตำแหน่งที่คมกระบี่เคลื่อนผ่าน พื้นที่ตรงนั้นไม่ว่าจะเป็นต้นไม้หรือต้นหญ้า ต่างก็ถูกน้ำแข็งเกาะกุมขึ้นมาทันที

ในขณะนี้ กระบี่ของเจียงฟานทำงานไม่ต่างไปจากเครื่องตัดหญ้า มันกวาดตัดต้นไม้ใบหญ้าในรัศมีหลายสิบวารอบกาย ทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่ในค่ายอาคมแตกกระจายเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย ไม่ว่าจะเป็นผิวดิน ก้อนหิน หรือว่าท่อนไม้…

แล้วร่างของคู่ต่อสู้ทั้งสองคนก็ผละออกจากกัน

“ทำไมเจ้าถึงมีพลังแข็งแกร่งมากขึ้น?”

สีหน้าของเจียงฟานแปรเปลี่ยนไปเล็กน้อย

เขาเคยต่อสู้กับฉุยเฮาเฟิงมาแล้วครั้งหนึ่ง

เปรียบเทียบกับในคืนนั้น ฉุยเฮาเฟิงที่ยืนอยู่เบื้องหน้าเขาบัดนี้ มีความแข็งแกร่งมากกว่าเดิมหลายเท่า

“เวลาเปลี่ยน เรื่องราวย่อมเปลี่ยน ในเมื่อวันนี้ไม่ใช่วันนั้น เจ้าจึงไม่สามารถรอดชีวิตได้อีกแล้ว” ฉุยเฮาเฟิงยกกระบี่ขึ้นมาเตรียมจู่โจม พลังลมปราณแผ่ออกมาจากร่างกายหนาแน่นรุนแรง รอยยิ้มเริ่มขยายใหญ่ขึ้นบนริมฝีปากของเขา “ไม่ทราบว่าเจ้าเตรียมตัวตายแล้วหรือยัง?”

เมื่อเจียงฟานได้ยินถ้อยคำเหล่านั้น ก็เลียริมฝีปาก และหัวเราะเยาะ

“แหม ที่แท้เจ้าก็ปิดบังฝีมือที่แท้จริงเอาไว้อย่างนั้นหรือ? เฮอะ แต่มันจะมีประโยชน์อันใด? ไม่ว่าจะเป็นวันนี้หรือวันนั้น ผลลัพธ์สุดท้ายเจ้าก็ต้องตายเหมือนเดิมอยู่ดี… จงรับรู้รสชาติของกระบวนท่ากระบี่สลายโลหิตของข้าซะ!”

ที่ข้อมือของเจียงฟานบัดนี้ มีพลังลมปราณสีแดงเข้มพวยพุ่งออกมาห่อหุ้มกระบี่เอาไว้ทั้งเล่ม

แล้วพลังลมปราณเหล่านั้นก็ถักทอเป็นเหมือนเส้นเลือดที่เต้นยุบยับตั้งแต่โคนกระบี่ไปจนถึงปลายกระบี่ และที่สำคัญก็คือ เส้นเลือดแต่ละเส้นสามารถเคลื่อนไหวได้เหมือนอสรพิษร้ายขนาดเล็ก

มีรังสีสังหารแผ่ออกมาอย่างหนาแน่น

“เดี๋ยวก่อนนะขอรับ”

หลินเป่ยเฉินอุทานออกมาด้วยความไม่อยากเชื่อ “เป็นท่านเจ้าเมืองฉุยได้อย่างไร?”

ตลอด 3 วันที่ผ่านมา เกิดข่าวลือว่าฉุยเฮาเฟิงได้ถูกลอบสังหารเสียชีวิตไปแล้ว

หลักฐานสำคัญก็คือห้องโถงใหญ่ของจวนผู้ว่าถูกโจมตีพังถล่มลงมาไม่เหลือชิ้นดี

แม้แต่ฉุยหมิงโหลวผู้เป็นบุตรชายของท่านเจ้าเมือง ก็ยังออกตามหาบิดาทั้งวันทั้งคืนจนเจ็บป่วยล้มหมอนนอนเสื่อ จวบจนถึงวันนี้ ชายหนุ่มก็ยังพักรักษาตัวอยู่ในตำหนักไม้ไผ่ มีสภาพอมทุกข์เหมือนคนที่ตายทั้งเป็น

หลินเป่ยเฉินเข้าไปปลอบใจฉุยหมิงโหลวอยู่หลายครั้ง แต่อาการของชายหนุ่มไม่ดีขึ้นเลย ดังนั้น เขาจึงคิดไม่ถึงว่า…

ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา ฉุยเฮาเฟิงเพียงแกล้งตายเท่านั้น

นอกจากข่าวลือที่ว่าฉุยเฮาเฟิงถูกลอบสังหารจนเสียชีวิต ก็ยังมีอีกหนึ่งข่าวลือคือท่านเจ้าเมืองฉุยถูกกระบี่เหินหาวเจียงฟานทำร้ายจนได้รับบาดเจ็บสาหัส แต่ปรากฏว่า…

การต่อสู้ในค่ำคืนนั้น ฉุยเฮาเฟิงตั้งใจเป็นฝ่ายพ่ายแพ้?

“หลายวันที่ผ่านมา ท่านเจ้าเมืองฉุยพักอยู่ในวิหารตลอดเลยหรือขอรับ?”

หลินเป่ยเฉินหันกลับไปถามนักพรตหญิงชินด้วยความสงสัย

นักพรตหญิงชินตอบว่า “มิใช่ ตลอดหลายวันที่ผ่านมา ท่านเจ้าเมืองฉุยอยู่ในตัวเมือง คอยสั่งงานเจ้าหน้าที่ให้ช่วยเหลือชาวบ้านและระบายน้ำ รวมถึงสร้างที่พักให้แก่ผู้ได้รับความเดือดร้อนจากภัยพิบัติ เขาเพิ่งจะเดินทางขึ้นเขามาเมื่อตอนเช้า ครึ่งชั่วยามก่อนพวกคุณชายเหลียนซานจะมาปิดล้อมภูเขา และท่านเจ้าเมืองฉุยก็มีเวลาเตรียมตัวเพียงปรับระดับพลังลมปราณของตนเองเท่านั้น”

“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้นี่เอง…”

หลินเป่ยเฉินพยักหน้าด้วยความประหลาดใจและเคารพเลื่อมใส

ไม่ต้องสงสัยอีกแล้วว่าเพราะเหตุใดพายุฝนในครั้งนี้ เมืองหยุนเมิ่งถึงรับมือได้ดีมาก เจ้าหน้าที่ทุกคนปฏิบัติงานอย่างเป็นระบบระเบียบ ตอนแรกหลินเป่ยเฉินเข้าใจผิดคิดว่าเป็นฝีมือลูกน้องเก่าของหลิงจุนเซวียน แต่ที่ไหนได้ ความยอดเยี่ยมทั้งหมดนี้มีฉุยเฮาเฟิงคอยกำกับดูแลอยู่เบื้องหลังนั่นเอง

เมื่อเผชิญหน้าการลอบสังหารแล้ว ฉุยเฮาเฟิงก็หลบหนีไปซ่อนตัวอยู่ในเงามืด และคอยจับตามองพวกคุณชายเหลียนซานอยู่ไม่ห่าง…

นับว่าท่านเจ้าเมืองฉุย… มีไหวพริบเป็นเลิศทีเดียว!

นอกจากจะมีวิสัยทัศน์แล้ว ยังมีความกล้าหาญอีกด้วย

“งั้นก็หมายความว่า ท่านเจ้าเมืองฉุยเป็นหนึ่งในคนของวิหารใช่ไหมขอรับ?”

หลินเป่ยเฉินถามออกมาอีกครั้ง

แต่นักพรตหญิงชินกลับส่ายหน้าเล็กน้อย “ท่านเจ้าเมืองฉุยมาแจ้งความประสงค์ที่จะเป็นตัวแทนออกไปต่อสู้ แต่เขาสอบไม่ผ่านการเข้าเป็นสมาชิกของวิหาร ถึงแม้ตัวเขาเองจะเป็นผู้ศรัทธาต่อเทพีกระบี่อย่างไม่ต้องสงสัยเลยก็ตาม”

“อ้าว?”

หลินเป่ยเฉินเลิกคิ้วสูงด้วยความประหลาดใจ “ถ้าอย่างนั้นเขาออกไปต่อสู้ในฐานะอะไรเล่าขอรับ?”

“เขาบอกว่า…”

นักพรตหญิงชินมองหน้าหลินเป่ยเฉินไม่วางตา “เขาจะสู้ในฐานะตัวแทนของเจ้า”

หลินเป่ยเฉินพูดอะไรไม่ออก

ฉุยเฮาเฟิงจะสู้ในฐานะตัวแทนของเขาเนี่ยนะ?

ถึงจะรู้สึกแปลกๆ อยู่บ้าง แต่เด็กหนุ่มก็อดรู้สึกดีใจขึ้นมาไม่ได้

นี่คือครั้งแรกเลยกระมังหลังจากหลินเป่ยเฉินทะลุมิติมาอยู่โลกนี้ ที่มีคนยิมยอมสละชีวิตเพื่อเป็นตัวตายตัวแทนให้แก่เขา

ยิ่งไปกว่านั้น ฉุยเฮาเฟิงยังพูดสิ่งนี้ต่อหน้านักพรตหญิงชินอีกด้วย

อุ๊วะฮ่าฮ่าฮ่า

เห็นไหมว่าท่านเจ้าเมืองฉุยเป็นคนที่ยอดเยี่ยมขนาดไหน

เขาก็ได้แต่หวังว่าฉุยเฮาเฟิงจะสามารถเป็นผู้ชนะในการต่อสู้ครั้งนี้ และไม่ถูกกระบี่เหินหาวแทงตายอย่างน่าอนาถก็แล้วกัน

ในจังหวะที่หลินเป่ยเฉินคิดมาถึงตรงนี้ ด้านล่างภูเขาก็เกิดการเคลื่อนไหวขึ้นอีกครั้ง

ลำแสงสีส้มพุ่งขึ้นไปในอากาศ

มวลพลังลมปราณแผ่กระจายครอบคลุมผืนฟ้า กินพื้นที่ยาวไกลหลายร้อยวา ก่อนที่ลำแสงนั้นจะพุ่งลงไปสู่เขตค่ายอาคมสนามรบศักดิ์สิทธิ์จุดที่สาม…

ตัวแทนคนที่สามจากฝ่ายคุณชายเหลียนซานได้ปรากฏตัวออกมาแล้ว