“นางเจินมีโชควาสนาย่อมไม่มีทางเกิดเรื่องอันใดแน่!” ฮูหยินผู้เฒ่าเอ่ยอย่างมั่นใจ แต่ในใจกลับหวาดหวั่นไม่น้อย
ครรภ์แรกเดิมก็คลอดยากอยู่แล้ว ทั้งยังเป็นแฝดอีก หากบอกว่าไม่หวั่นใจเลยคงเป็นเรื่องโกหก แต่ดูท่าทางหลานชายแล้ว หากนางเผยความไม่มั่นใจออกไปแม้เพียงนิดเดียว เกรงว่าเขาคงพุ่งเข้าไปทันทีแน่
“แต่เหตุใดนางจึงยังไม่คลอดอีกเล่า ผ่านมาหนึ่งราตรีแล้ว” นัยน์ตาที่มีเส้นเลือดฝอยสีแดงกระจายไปทั่วของหลัวเทียนเฉิงนั้นคอยจ้องที่ประตูตลอดเวลา
ฮูหยินผู้เฒ่าจึงเอ่ยปลอบว่า “แค่ราตรีเดียวปกติยิ่ง บางคนยังต้องทนไปอีกสามวันสามคืน เจ้าไม่ต้องร้อนใจไป”
“ได้ๆ ข้าจะใจเย็น ไม่ใจร้อน” หลัวเทียนเฉิงพูดไปพลางเดินวนไปพลาง
ฮูหยินผู้เฒ่าเห็นแล้วก็ถอนหายใจ แล้วเรียกหงฝูมากำชับว่า “ส่งสาสน์ไปที่จวนเจี้ยนอานปั๋วบอกว่าต้าไหน่ไหน่ปวดท้องจะคลอดแล้ว แต่ยังมิคลอด”
“เจ้าค่ะ”
เมื่อวานหลังจากเจินปิงกลับถึงจวนปั๋วก็ได้เล่าเรื่องที่เจินเมี่ยวจะคลอดให้ทุกคนฟังแล้ว คนในจวนต่างรอให้จวนกั๋วกงส่งสารมาแจ้งมาเจินเมี่ยวคลอดแล้ว แต่เมื่อได้ยินว่านางยังไม่คลอด นางเวินก็หน้าเสียไปทันที
นางลุกขึ้นแล้วเดินออกไปด้านนอกทันทีจนฮูหยินผู้เฒ่าจวนเจี้ยนอานปั๋วร้องเรียก “นางเวิน เจ้ารอก่อน เอาโสมแก่ร้อนปีของข้าไปด้วย”
เวลานี้นางเวินไม่มีสติพอจะปฏิเสธอันใดได้ เมื่อเห็นอาโฉวสาวใช้ของฮูหยินผู้เฒ่าถือกล่องใส่โสมมาให้ นางก็รับไว้แล้วเดินตามคนส่งสารของจวนกั๋วกงออกไปด้านนอกทันที
“น้องสะใภ้สาม จะไปไหนหรือ เหตุใดรีบร้อนถึงเพียงนี้”
ตอนที่เดินเลี้ยวผ่านประตูเย่ว์ต้งนั้นนางเวินก็เกือบจะชนกับนางหลี่แล้ว หากเป็นเมื่อก่อนนางหลี่คงต้องเอ่ยประชดประชันนางแน่ แต่ยามนี้บุตรสาวของนางมีตำแหน่งสูงขึ้นเรื่อยๆ นางหลี่จึงมิกล้าพูดอันใดตามปากอีก
“เมี่ยวเอ๋อร์ยังไม่คลอด ข้าจะไปดูสักหน่อย” นางเวินไม่พูดอันใดมากนางยกเท้าก้าวเดินต่อไปทันที
“เอ๊ะ น้องสะใภ้สามให้ข้าไปด้วยดีกว่ากระมัง” นางหลี่รีบเดินตามไปทันที ทั้งยังดึงเอาเจินปิงที่อยู่ด้านหลังตามไปด้วย
“ท่านแม่…” เจินปิงตกใจ
นางหลี่จ้องนางเขม็ง “พูดมากอันใด ยังไม่รีบตามมาอีก”
“แต่ว่า…” เจินปิงรู้สึกลังเลอยู่บ้าง
แม้นางจะห่วงความปลอดภัยของพี่สี่ แต่อย่างไรก็เป็นสตรีที่ยังมิออกเรือน การติดตามไปด้วยเช่นนี้ออกจะไม่เหมาะสมสักเท่าใดกระมัง
เห็นชัดว่านางหลี่มิได้คิดถึงตรงนั้น เมื่อเห็นเจินปิงมิขยับก็กระชากนางให้เดินตามทันที “ยังมัวอึ้งอันใดอยู่เรา ยังไม่รีบเดินตามมาอีก!”
นางเวินเห็นเช่นนั้นก็มิได้คิดอันใดมาก คนทั้งสามขึ้นไปนั่งบนรถม้า ผ่านไปครึ่งชั่วยามก็มาถึงจวนกั๋วกง
“ฮูหยินผู้เฒ่า ซื่อจื่อ ต้าไหน่ไหน่ตอนนี้มิใคร่สู้ดีนัก จะเก็บทารกไว้หรือเก็บมารดาไว้หรือ”
นางเวินเดินพ้นประตูเข้ามาก็ได้ยินวาจานี้เข้าพอดี นางถึงกับเข่าอ่อนล้มลงตรงนั้นเลยทีเดียว
หลัวเทียนเฉิงได้ยินเช่นนี้ก็รู้สึกดั่งมีมือข้างหนึ่งมาบีบหัวใจเขาไว้ ทำให้เขาหายใจไม่ออกคล้ายหัวใจจะระเบิดออกมาเป็นเสี่ยงๆ กระนั้น
เขาสูดหายใจเข้าอย่างแรงจึงดึงแรงทั้งร่างตนออกมาได้ หลัวเทียนเฉิงผลักหญิงรับใช้ที่ถามคำถามนั้นออกแล้วเดินเข้าไปด้านในทันที
“ซื่อจื่อเข้าไม่ได้เจ้าค่ะ ห้องคลอดเป็นที่สกปรก…” เมื่อบ่าวไพร่ทั้งหลายเห็นเช่นนั้นก็ตกใจจนหน้าซีดแล้วเข้ามาขวางเขาไว้ทันที
หน้าหลัวเทียนเฉิงเย็นเยียบดุจน้ำแข็ง โทสะที่แผ่ออกจากกายคล้ายก่อเป็นรูปร่างขึ้นจนคนมองเห็นได้ ทำให้ทุกคนหวาดกลัวยิ่ง
“หลีกไป!” เขาเอ่ยเสียงเย็นออกมา
“ต้าหลัง” ฮูหยินผู้เฒ่าเอ่ยปากขึ้น
หลัวเทียนเฉิงหันไปเอ่ยโดยมิรอให้ฮูหยินผู้เฒ่าพูดต่อ “ท่านย่า หลานต้องเข้าไป หลานอยากเห็นกับตาว่าเจี๋ยวเจี่ยวยังปลอดภัยดี”
เขาพูดจบก็เดินเข้าไปโดยไม่มีผู้ใดกล้าห้ามไว้อีก
ฮูหยินผู้เฒ่าขยับริมฝีปากตนเล็กน้อยแต่สุดท้ายก็ถอนหายใจออกมา เมื่อเห็นนางหลี่ประคองนางเวินเดินมาก็เอ่ยว่า “ไท่ไท่มาแล้วหรือ”
นางเวินมิอาจส่งยิ้มตามมารยาทอันใดได้แล้ว แต่นางยังคงฝืนยกมุมปากขึ้นก่อนถามว่า “ฮูหยินผู้เฒ่า ตอนนี้เป็นอย่างไรกันแน่หรือ”
ฮูหยินผู้เฒ่าถอนหายใจ “คลอดยาก ทารกไม่ยอมกลับหัว”
นางเวินหน้าซีดขาวไปทันที ปากนางสั่นไม่หยุดเลย “แล้วจะทำเช่นไรดี”
“หมอตำแยที่เก่งที่สุดในเมืองหลวงต่างอยู่ที่นี่แล้ว…” ขณะฮูหยินผู้เฒ่ากำลังพูดอยู่นั้นก็พลันหน้ามืด ร่างกายโงนเงน
“ท่านย่า ท่านไปพักผ่อนก่อนเถิดเจ้าค่ะ” เถียนเสวี่ยที่ประคองฮูหยินผู้เฒ่าอยู่เอ่ยอย่างร้อนใจ
ฮูหยินผู้เฒ่าส่ายหน้า “ข้าไหนเลยจะนั่งติดที่ได้ หลานสะใภ้ใหญ่กับทารกอีกสองคนยังไม่รู้ว่าเป็นตายร้ายดีเลย”
นางเวินยกผ้าปิดปากตน น้ำตาเอ่อไหลออกมาแต่กลับไม่กล้าส่งเสียงด้วยกลัวจะไม่เป็นมงคล
นางหลี่ยืนอยู่ข้างนางเวินแล้วกวาดตามองเถียนเสวี่ยคราหนึ่ง ในใจพลันคิดบางอย่างขึ้นมา
เถียนเสวี่ยผู้นี้เป็นเพียงบุตรสาวของนักโทษผู้หนึ่ง แค่เพียงอาศัยบารมีของนางเถียนที่อายุแสนสั้นผู้นั้นจึงได้แต่งเข้ามาในจวนกั๋วกง ปิงเอ๋อร์มีอันใดที่ด้อยกว่านางบ้าง เหตุใดถึงหาคู่ครองดีๆ มิได้จนกระทั่งถึงตอนนี้
นางอดนึกถึงเซียวมั่วอวี่ที่เจินเมี่ยวเคยเสนอขึ้นมามิได้
คนผู้นั้นนางมิเคยพบ ไม่รู้ว่าสูงต่ำดำขาว แต่ชาติกำเนิดของเขามันน่าละอาย เป็นบุตรของอนุนอกเรือนยังพอทำเนา แม่ใหญ่ของเขายังมีสัมพันธ์ลับกับญาติอีก หากนางให้บุตรสาวแต่งด้วยจะมิถูกผู้คนหัวเราะเยาะหรือ
นางหลี่มองฮูหยินผู้เฒ่าที่มีท่าทีอ่อนเพลีย นางเวินที่ร้องไห้ไม่หยุดและบ่าวไพร่ที่มีท่าทีหวาดกลัวทั้งหลายแล้วเลื่อนสายตาไปมองเจินปิง สุดท้ายจึงเคลื่อนไปยังห้องที่มีประตูปิดแน่นนั้น
ด้านในมีเสียงร้องแววออกมา แต่เสียงนั้นกลับดูอ่อนแรงลงทุกที
เมื่อคิดถึงความเป็นไปได้อย่างหนึ่งขึ้นมา ใจของนางก็เต้นอย่างบ้าคลั่ง มือสั่นไปหมดด้วยความตื่นเต้น
หรือนี่จะเป็นลิขิตสวรรค์
ปิงเอ๋อร์ต้องลำบากเช่นนี้เพราะเมี่ยวเอ๋อร์ทำให้ไม่เจอคนที่เหมาะสมเสียที แต่ยามนี้เมี่ยวเอ๋อร์คลอดยาก หรือนี่เป็นลิขิตของสวรรค์ที่จะให้ปิงเอ๋อร์มารับตำแหน่งแทนนาง
แน่นอนว่าการแต่งเป็นภรรยาใหม่ย่อมไม่สมศักดิ์ศรีเท่าใด แต่ก็ต้องดูด้วยว่าแต่งให้ใคร
ยามนี้ยังมีผู้ใดที่จะหล่อเหล่าเก่งกาจและมีอนาคตเท่าซื่อจื่อจวนเจิ้นกั๋วกงอีกหรือ
ยิ่งมิต้องพูดถึงความรักที่ซื่อจื่อจวนกั๋วกงมีต่อภรรยาเลย ตั้งแต่เมี่ยวเอ๋อร์แต่งเข้ามา เขาได้ไล่สาวใช้ทงฝังก่อนหน้านั้นออกไปจนหมด กระทั่งยามนี้ในเรือนก็ยังสะอาดไร้ผู้คน การได้ติดตามบุรุษเช่นนี้ นางผู้เป็นมารดายังมีอันใดไม่วางใจอีกหรือ
นางหลี่อดหยักยกมุมปากขึ้นมิได้ แต่ไม่นานก็รีบปิดบังมันไว้ นางคิดในใจว่าเมี่ยวเอ๋อร์มีลูกแฝด ดีที่สุดต้องเป็นบุตรสาว เช่นนี้จะง่ายต่อการเอ่ยปากให้ปิงเอ๋อร์แต่งเข้ามาเพื่อช่วยดูแลทารกน้อย
หากเป็นบุตรชาย…
นางส่ายหน้าทันที คิดดูแล้ว อย่างไรก็มิอาจตัดใจจากคู่ครองที่เหมาะสมเช่นนี้ได้
เป็นบุตรชายก็ช่างเถิด เขายังเล็กนัก ยามนี้ปิงเอ๋อร์อายุสิบเจ็ดแล้วเป็นช่วงเวลาแก่การมีบุตรพอดี หากนางรีบมีบุตรชาย ภายหน้าจะเป็นเช่นไรก็พูดยากแล้ว
นางหลี่ค่อยๆ มั่นใจกับความคิดของตนขึ้นทุกที แต่ใจก็ยังหวาดหวั่นอยู่บ้าง แต่ความหวาดหวั่นนี้นั้นตรงกันข้ามกับความหวาดหวั่นของคนทั้งเรือนนี้โดยสิ้นเชิง
หลัวเทียนเฉิงเข้าห้องไป เมื่อเห็นเจินเมี่ยวนอนอยู่บนเตียงทำคลอด ผมเผ้ารุงรัง นางอ้าปากหอบหายใจอย่างคนหมดแรง ผ้าบางที่ห่มท่อนล่างไว้นั้นเต็มไปด้วยโลหิตสีแดง
ชั่วขณะนั้นเขาแทบจะหยุดหายใจไปเลย เขาเพิ่งเข้าใจจริงๆ ว่าอันใดที่เรียกว่าความกลัว
“เจี๋ยวเจี่ยว!” เขาเดินเซถลาเข้าไปหานาง แล้วคุกเข่าลงบนพื้น กุมมือที่เปียกชุ่มของนางไว้
เจินเมี่ยวเหลือบสายตามองหลัวเทียนเฉิง
“ต้าไหน่ไหน่ ท่านห้ามยอมแพ้เด็ดขาด ออกแรงอีกนิด มิเช่นนั้นทารกอาจติดอยู่ในท้องได้!” หมอตำแยตะโกนเสียงดัง
หากทารกตายในท้องก็เป็นไปได้ว่าจะเกิดเหตุการณ์หนึ่งศพสามชีวิต!
นางกลับคล้ายไม่ได้ยินเสียแล้ว ขนตางอนยาวของนางกระเพื่อมไหว สายตามองหลัวเทียนเฉิงนิ่ง ริมฝีปากเผลออ้าขึ้น
“เจี๋ยวเจี่ยว เจ้าจะพูดอันใดหรือ” หลัวเทียนเฉิงขยับเข้าไปใกล้ แนบหูอยู่ข้างแก้มนาง น้ำตากลับไหลออกมาอย่างกลั้นไม่ไหว
“ซื่อจื่อ…ต้อง…ให้พวกเขาช่วยทารกให้ได้ ทารกสองคนนั้นเป็นบุตรของเรา…”
“ไม่ ข้าต้องการแค่เจ้า ไม่มีเจ้า ข้าจะต้องการบุตรไปเพื่อสิ่งใด! พวกเขาทำให้ภรรยาข้าต้องตาย แล้วข้ายังต้องแต่งภรรยาใหม่มาดูแลพวกเขาหรือ ฝันไปเถอะ! เจี๋ยวเจี่ยว เจ้าฟังให้ดี หากเจ้าไม่สู้จนรอดทั้งสามคน ข้าก็จะรักษาแต่ชีวิตของเจ้า ข้าไม่มีพวกเขาก็ได้ แต่เจ้าต้องมีชีวิตอยู่ เจ้าต้องมีชีวิตอยู่เท่านั้น!”
หลัวเทียนเฉิงผุดลุกขึ้น เขากวาดสายตาเย็นเยียบมองคนในห้องแล้วเอ่ยเน้นย้ำทีละคำว่า “พวกเจ้าฟังให้ดี ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องรักษาชีวิตของต้าไหน่ไหน่ไว้ ข้าจะคอยดูอยู่ตรงนี้ หากเกิดเรื่องกับต้าไหน่ไหน่ พวกเจ้าทุกคนก็อย่าหวังว่าจะได้ออกไปจากห้องนี้”
เมื่อเห็นคนทั้งห้องหันมามองเขาด้วยสายตาตกตะลึง เขาก็แค่นยิ้มเย็นเอ่ยว่า “มองข้าทำไมกัน คิดว่าข้าโหดร้ายไม่มีเหตุผลงั้นหรือ พวกเจ้าคิดถูกแล้ว ข้าเป็นคนเช่นนี้เอง สุภาพชนย่อมมิพาลโกรธเคืองผู้อื่นอันใดนั้น ขออภัย มันไม่เกี่ยวอันใดกับข้าเลย ดังนั้นพวกเจ้าจำไว้ให้ดี หากต้าไหน่ไหน่เป็นอันใดไป พวกเจ้าก็อย่าหวังว่าจะรอด!”
เขาคุกเข่าลงเช่นเดิม แล้วกุมมือเจินเมี่ยวไว้แน่น “เจี๋ยวเจี่ยว เจ้าพยายามอีกนิดเถิด ออกแรงสุดกำลังเหมือนเจ้าได้กินหมั่นโถวมื้อใหญ่มา”
ดวงตาเจินเมี่ยวเป็นประกายขึ้นมา นางพยักหน้าอย่างยากลำบาก
“ซื่อจื่อ ข้าพอจะมีวิชานวดอยู่บ้าง บางทีอาจช่วยให้ทารกกลับหัวได้ แต่หากทำเช่นนั้นก็กลัวว่าทารกจะได้รับบาดเจ็บ…”
ก่อนหน้านี้นางไม่กล้าใช้วิธีนี้เพราะกลัวว่าตระกูลใหญ่เช่นจวนเจิ้นกั๋วกงต้องเลือกเก็บทารกไว้ เพราะหากทำเช่นนั้นแล้วทารกเกิดเป็นอันใดขึ้นมา พวกนางคงยากจะรับผิดชอบได้ ทว่ายามนี้ซื่อจื่อบอกอย่างชัดเจนแล้วว่าทารกไม่รอดนั้นได้ แต่หากต้าไหน่ไหน่เกิดเรื่อง พวกนางก็ไม่รอดเช่นกัน เมื่อเป็นเช่นนี้แล้วนางยังมีอันใดให้ลังเลอีกเล่า
หลัวเทียนเฉิงอยากจะสับแขนหมอตำแยที่มัวแต่ซ่อนวิชาเอาไว้นัก แต่เขาก็รู้ดีว่ามิใช่เวลาที่จะมาคิดเล็กคิดน้อยจึงกัดฟันคำรามออกไปว่า “อย่าพูดมาก ช่วยคนเร็วเข้า!”
หมอตำแยผู้นั้นเป็นคนคล่องแคล่วเมื่อได้ยินก็เอ่ยเสียงสูงขึ้นทันทีว่า “เร็ว ไปเอาแกงโสมมาป้อนต้าไหน่ไหน่ก่อน แล้วเอาท่อนไม้อ่อนให้นางกัดไว้!”
คนทั้งหลายต่างรีบลงมือทำทันที
หมอตำแยกางฝ่ามือใหญ่ออกมาแล้วนวดลงไปบนบริเวณท้องที่นูนใหญ่ของเจินเมี่ยว “อาจจะเจ็บสักหน่อย แต่ก็จำเป็นต้องทำ ต้าไหน่ไหน่อดทนหน่อยนะเจ้าคะ”
สองมือนางยังคงนวดคลึงต่อไป
เจินเมี่ยวที่กัดท่อนไม้อ่อนในปากไว้พลันเบิกตาถลนด้วยความเจ็บปวด เหงื่อไหลออกมาไม่ขาดสายดั่งคนที่เพิ่งถูกช่วยขึ้นมาจากน้ำกระนั้น
หลัวเทียนเฉิงทนดูไม่ได้อีกต่อไป เขาจึงวางมือลงบนแก้มนางแล้วเอ่ยปลอบประโลมว่า “เจี๋ยวเจี่ยว ประเดี๋ยวก็ไม่เป็นไรแล้ว ต่อไปเราจะไม่มีบุตรอีกแล้ว ไม่ต้องตั้งครรภ์อีกแล้ว”
เมื่อพูดจบเขาก็เกิดความรู้สึกสิ้นหวังและเสียใจอย่างที่สุดขึ้นมาในใจ
เจินเมี่ยวเบิกตาถลนมากขึ้นเรื่อยๆ เพราะร่างของนางถูกคนกดไว้จนไม่อาจขยับได้ นางเจ็บจนสั่นไปทั้งตัว ต่อมาจึงได้ยินเสียงแคร่กดังขึ้น ท่อนไม้อ่อนในปากถูกนางกัดจนหักแล้วนั่นเอง
หลัวเทียนเฉิงเห็นแล้วก็ยื่นมือไปให้นางกัดทันทีโดยไม่แม้แต่จะลังเลเลย
เมื่อฟันกัดเข้าไปในเนื้อ เลือดก็ไหลออกมาทันที ความเจ็บปวดนั้นพุ่งเข้าไปในใจ ทำให้ใจของเขาเจ็บปวดมากขึ้นกว่าเดิม
ไม่รู้ว่าทนอยู่เช่นนั้นไปนานเท่าใด แม้แต่หมอตำแยละมือจากนางไปตั้งแต่เมื่อใดก็ไม่รู้ตัว เพียงได้ยินหมอตำแยเอ่ยด้วยความยินดีว่า “คลอดแล้วเจ้าค่ะ!”