บทที่ 5 บทที่ 23 แผ่นทองสัมฤทธิ์และผู้คนกลางสายฝน

สมาคมแลกเปลี่ยนทราฟฟอร์ด

บทที่ 23 แผ่นทองสัมฤทธิ์และผู้คนกลางสายฝน โดย Ink Stone_Fantasy

 

วันนี้ครึ้มฝนมาทั้งวัน สุดท้ายน้ำฝนก็เทลงมาตอนเวลาเกือบสามทุ่ม

ฝนตกไม่ได้ตกหนักมากนัก เป็นฝนตกธรรมดาทั่วไป

ลั่วชิวเปิดประตูสมาคมออก ตอนฝนตกคนบนถนนก็บางตา อีกทั้งถนนยังเย็นขึ้น นับเป็นเวลาดีในการสังเกตเมืองแห่งนี้

ความจริงเขาเตรียมกลับบ้านแล้ว ขอเพียงแค่อยู่ในเมืองนี้ โดยปกติแล้วเขาจะเลือกกลับบ้านเวลานี้ ด้วยเพราะไปกลับสะดวกดี

แต่ในเมื่อฝนตกลงมาแล้ว วันนี้เขาจึงต้องเปลี่ยนแผนจากเดิมที่คิดจะเดินกลับไปดีๆ

ทว่ากลับมีคนผู้หนึ่งมายืนตากฝนอยู่หน้าประตูของสมาคม…เขาเป็นเด็กหนุ่มอายุประมาณสิบเจ็ดสิบแปดปี

น้ำฝนชำระล้างเสียงดังบนถนน แต่กลับไม่สามารถชำระล้างกลิ่นของภูตดำบนตัวเด็กหนุ่มคนนี้ไปได้ ลั่วชิวแยกแยะที่มาของกลิ่นนี้ได้ทันที

เขาได้กลิ่นของภูตดำหมายเลขสิบแปด

‘เป็นทูตที่ขยันจริงๆ’ ลั่วชิวคิด

ลั่วชิวค่อยๆ เดินกลับไปในห้องโถงของสมาคม เขารู้ว่าผู้ชายคนนี้กำลังจะเดินเข้ามา …เพราะเขาน่าจะเห็นประตูของสมาคมแล้ว

“ขอชาขิงแก้วหนึ่ง”

ลั่วชิวมองคุณสาวใช้ พร้อมพูดสั่งเบาๆ

“…ตอนที่เข้าเรียนวันนั้น ผมเขียนตัวอักษรไว้บนยางลบ ตั้งใจจะส่งให้เธอ แต่เผลอโยนเลยไปตกบนพื้น แล้วก็ถูกอาจารย์เหยียบเข้าเต็มๆ รองเท้าส้นสูงของคนวัยเท่าแม่เกือบจะพลิกจนหกล้ม ผมกับเธอต่างก็เห็นเรื่องที่เกิดขึ้น เกือบหลุดหัวเราะออกมาแน่ะ”

เขากำลังเล่าเหตุการณ์ที่มีร่วมกับเด็กสาวทีละฉากๆ เหมือนเป็นเรื่องที่เพิ่งเคยเกิดขึ้นเมื่อวาน

ติงตงเซิงและเฉียวหรงหรง

ดูเหมือนว่าชาขิงอุ่นๆ แก้วหนึ่งไม่ได้ช่วยคลายความหนาวเย็นจากน้ำฝนบนตัวของเขาเลย ทว่าความทรงจำพวกนี้กลับนำความอบอุ่นมาให้เขา

ลั่วชิวชินกับการฟังเรื่องราวของคนอื่นแล้ว

เขาไม่ได้ใส่ใจกับเวลากลับบ้านแล้ว เขามักจะเป็นผู้ฟังที่ดีตอนที่ลูกค้าต้องการผู้ฟังสักคน

ทุกเรื่องล้วนเป็นความทรงจำที่ติงตงเซิงหวนนึกถึงได้ …จนกระทั่งเขาไม่มีอะไรจะพูด เมื่อเขาเล่าความทรงจำเล็กน้อยที่ซ่อนอยู่ในใจพวกนั้นจนหมด เขาก็เริ่มเลิ่กลั่กทันที

“ยังมี ยังมี …ยังมีอะไรอีก?” สองมือของติงตงเซิงกำผมเอาไว้ แล้วหลับตาแน่นสนิท “น่าจะยังมีอีก น่าจะยังมีอีก …ผมขอคิดดูหน่อย ต้องยังมีอีกแน่นอน!”

ปัง

สองมือของเขาทุบลงบนโต๊ะทันที  หน้าตาดุร้ายปนเศร้าโศก “พวกเราสร้างความทรงจำร่วมกันไว้ตั้งเยอะ! มันต้องมีอีกสิ! เป็นเพราะผู้ชายคนนั้น! เป็นเพราะหมอนั่น ตั้งแต่หมอนั่นโผล่มา หรงหรงก็จากผมไป! จากไปตลอดกาล!! ผมอยากให้ผู้ชายคนนี้ลิ้มรสผลกรรม! ผมอยากให้เขาชดใช้กับเรื่องที่เขาเคยทำ! ผมไม่อยากให้เขาได้ใช้ชีวิตสุขสบาย!!”

ติงตงเซิงมองตาเจ้าของสมาคมตรงหน้าคนนี้

ในตาของติงตงเซิงไม่มีความหวาดหวั่น…ด้วยเพราะถูกความแค้นครอบคลุมดวงตาของเขา อีกทั้งความโกรธยังบดบังสติสัมปชัญญะของเขาจนสิ้นซาก

“รู้ไหมครับ ถ้าคุณพูดความต้องการออกมาแล้ว จะแก้ไขภายหลังไม่ได้นะครับ” ลั่วชิวพูดเตือนอย่างเฉยชา “เพราะงั้นก่อนที่คุณจะพูดความต้องการออกมา พวกเราอยากให้ลูกค้าคิดให้ดีนะครับ”

“จำเป็นด้วยเหรอครับ?” ติงตงเซิงพูดย้อนถาม

ลั่วชิวเงียบไปสักพักก็พูดว่า “ตามที่ผมรู้ ตำรวจประจำเมืองเริ่มสืบสวนเรื่องของสถาบันสอนพิเศษแล้ว   สวีจ้าวที่คุณจงเกลียดจงชังก็จะหนีพ้นเงื้อมมือของกฎหมายไปได้ยาก ซึ่งก็หมายความว่า การที่คุณอยากให้เขาได้รับโทษเป็นเรื่องที่จะเกิดขึ้นไม่ช้าก็เร็ว …คุณลูกค้าต้องการแบบนี้จริงๆ ใช่ไหมครับ?”

“ผมรอไม่ไหวหรอก” ติงตงเซิงพูดเสียงหนักแน่น “สวรรค์ถึงจะรู้ว่าตำรวจพวกนั้นจะสืบสวนไปถึงเมื่อไร? หนึ่งเดือน? สองเดือน? หรือว่าครึ่งปี? แต่ผมรอไม่ได้แม้เพียงวันเดียว!! แม้เพียงผมสมมุติว่าเขาทำเรื่องผิดกฎหมายอะไร แต่จะทำอะไรเขาได้? อีกอย่าง ถึงแม้เขาถูกจับไปแล้วจะยังไง มากสุดก็แค่ติดคุก! แต่หรงหรง…หรงหรงล่ะ…ผมยอมให้เขาได้เสพสุขไม่ได้หรอก!”

ลั่วชิวมองเข้าไปในตาทั้งสองของติงตงเซิง เขาเหมือนถูกมองทะลุร่างไป ราวกับถูกฉีกทึ้งร่างกาย แต่เขากลับไม่ได้หลบเลี่ยง

“ผมเข้าใจแล้ว” ลั่วชิวพยักหน้า “แต่ว่าคุณลูกค้า ขอถามหน่อยครับ คุณคิดจะใช้อะไรมาจ่ายครับ?”

ติงตงเซิงสูดหายใจเข้าไปลึกๆ เขาล้วงกล่องใบหนึ่งออกมาจากกระเป๋าเสื้อผ้าของเขา

เป็นกล่องขนาดเท่าฝ่ามือ

วินาทีที่เปิดกล่อง  แผ่นทองสัมฤทธิ์แผ่นหนึ่งก็ปรากฏตรงหน้าลั่วชิว แล้วก็ได้ยินติงตงเซิงพูดว่า “ผมใช้อันนี้! นี่เป็นของที่ตกทอดมาจากตระกูลผมหลายชั่วอายุคน ได้ยินว่าเป็นของล้ำค่ามีราคาสูงมาก! แค่นี้พอไหมครับ?”

บนแผ่นสัมฤทธิ์สลักตัวอักษรบางอย่างเอาไว้ ทั้งแผ่นนั้นหมองคล้ำมาก

ลั่วชิวไม่ได้ของล้ำค่าประเภทนี้มานานแล้ว

เขายื่นมือวาดผ่านไปบนแผ่นทองสัมฤทธิ์นี้ พยักหน้าแล้วพูดเนิบๆ ว่า “แน่นอน เชิญบอกความต้องการของคุณเลยครับ ผมจะลองประเมินมูลค่าของมันดูก่อน”

ติงตงเซิงพูดโดยไม่ลังเล “ผมอยากเห็น ชื่อเสียงของสวีจ้าวป่นปี้ไม่มีชิ้นดี!”

“ตกลงครับ”

ท่ามกลางสายฝนพรำๆ ติงตงเซิงวิ่งไปบนถนนอย่างบ้าคลั่ง บนใบหน้ามีรอยยิ้มพิลึก…ด้วยเพราะตื่นเต้นดีใจที่จะได้เห็นเรื่องเป็นอย่างใจหวัง

ราวกับคนจนตรอกก็มิปาน

“นายท่านดูไม่สนใจเลยนะคะ” โยวเย่ที่กำลังเก็บอุปกรณ์ชงชาอยู่มองใบหน้าเฉยชาของลั่วชิวหลังถอดหน้ากากออก

“ไม่ใช่อย่างนั้น ฉันสนใจของโบราณมาตั้งแต่แรกแล้วต่างหาก” ลั่วชิวตอบเสียงเบา

แต่แล้วเขาก็ส่ายหัวเบาๆ “แผ่นทองสัมฤทธิ์น่าสนใจก็จริง แต่วิธีการใช้ของล้ำค่าของคนรุ่นหลังกลับน่าสนใจกว่า”

ลั่วชิวหมุนหน้ากากตัวตลกที่อยู่ในมือเล่น “ทำให้ฉันนึกถึงข่าวหนึ่ง ลูกในครอบครัวฐานะธรรมดาเอาเงินค่าเลี้ยงดูคนชราของคุณยายไปใช้ผลาญกับผู้หญิงจนหมด แต่สุดท้ายก็ยังไปปล้นอีก”

คุณสาวใช้ฟังแล้วก็เอ่ยถามเสียงเบา “นายท่านอยากจะบอกว่านารีเป็นเหตุหรือคะ?”

ลั่วชิวได้แต่ยิ้มๆ

เขาพลิกฝ่ามือ แล้วสมุดบัญชีในใต้ดินชั้นที่หนึ่งของสมาคมก็มาปรากฏอยู่ในมือของเขาทันที สมุดบัญชีเปิดออก  พลิกไปมาอยู่ในมือเขาอย่างรวดเร็ว

เขากำลังดูข้อมูล …ลูกค้าที่ภูตดำหมายเลขสิบแปดเลือกมาทั้งหมด

“ดูท่าคุณแม่มดของพวกเรานี่ ชอบใช้ความแค้นกระตุ้นการมาเยือนของลูกค้าจริงๆ นะ”

หลังจากผ่านไปหลายนาที ลั่วชิวก็ส่งสมุดบัญชีกลับไปที่เดิม

“ภูตดำหมายเลขสิบแปดค่อนข้างชำนาญด้านนี้ค่ะ” โยวเย่พยักหน้าแล้วพูดต่อ “ตลอดมานี้ จำนวนลูกค้าที่ภูตดำหมายเลขสิบแปดพามา ทำให้เธอเป็นภูตดำสามอันดับแรกมาโดยตลอด ความแค้นเป็นสิ่งที่กระตุ้นความปรารถนาของลูกค้าได้ดีจริงๆ”

“เข้าใจแล้วล่ะ”

ลั่วชิวยิ้มๆ ‘ภูตดำหมายเลขสิบแปดเพิ่งเข้าพบไม่กี่วันก็หาลูกค้าใหม่ได้แล้วเหรอ’

อีกทั้งยังให้ติงตงเซิงมาถึงสมาคมในเมืองเดียวกันนี้ได้ โดยไม่ผ่านการส่งการ์ดดำซะด้วย

“พรุ่งนี้ก่อนนายท่านตื่น โยวเย่จะสืบข้อมูลทั้งหมดของสวีจ้าวให้ชัดเจนค่ะ” คุณสาวใช้พลันเอ่ยขึ้นทันที

เรื่องพวกนั้นใช้ความสามารถติดตัวก็พอได้ ไม่จำเป็นต้องให้นายท่านซื้อผ่านแท่นบูชาเลย ยังไงวิธีบริหารของนายท่านคนใหม่ก็ต่างกับเจ้าของคนก่อนอยู่บ้าง

เจ้าของร้านคนที่แล้วยุ่งมาก การหาข้อมูลเกือบทั้งหมดถึงได้แต่พึ่งแท่นบูชาเท่านั้น

ส่วนนายท่านคนใหม่…มีเวลาว่างเยอะกว่ามาก

“ไม่ต้อง” ลั่วชิวโบกมือ “ให้เขาทำเถอะ”

พูดจบ ลั่วชิวก็ดีดนิ้วทีหนึ่ง จากนั้นบนฝ้าเพดานของสมาคมก็ค่อยๆ ปรากฏเงาหนึ่งออกมา เป็นเงาของไท่อินจื่อนั่นเอง

จะพูดให้ถูกก็คือ ไท่อินจื่อถูกแขวนอยู่บนเพดานตั้งแต่วันที่ลั่วชิวกลับมาจากรัสเซียแล้ว

ตอนที่ลูกค้ามาก็ถูกเจ้าของร้านซ่อนไว้ พอลูกค้าจากไปก็ไม่ต้องซ่อนอีก …แน่นอนว่าลั่วชิวไม่ได้คิดว่านี่เป็นความชื่นชอบของไท่อินจื่อจริงๆ

ในที่สุดเชือกดำที่มัดไท่อินจื่อเอาไว้ก็ขาดสะบั้น ภูตดำมือใหม่ที่ได้รับการปลดปล่อยคุกเข่าอยู่บนพื้นอย่างสำนึกในบุญคุณทันที ในฐานะที่เป็นคนโบราณคนหนึ่ง ใช้วิธีนี้เพื่อมาขอบคุณก็ไม่ได้แปลกอะไร

“ไท่อินจื่อ ทางตำรวจสืบสวนเรื่องในสถาบันสอนพิเศษแล้ว แต่เหมือนยังไม่คืบหน้าสักที นายไปช่วยพวกเขาหน่อยแล้วกัน” ลั่วชิวพูดอย่างเฉยชา “ในเมื่อลูกค้าต้องการเร็วที่สุด งั้นพวกเราก็ให้สวีจ้าวชื่อเสียงป่นปี้ก่อนแล้วกัน”

“ขอรับนายท่าน! ข้าน้อยจะไม่ทำให้ผิดหวังแน่นอน!!”

ไท่อินจื่อคิดว่าครั้งนี้ตัวเองต้องเอาจริงแล้ว…ผีเท่านั้นที่รู้ว่าครั้งหน้าถ้าถูกแขวนอีก จะต้องถูกแขวนไปถึงตอนไหน?

ติงตงเซิงหยุดเดินท่ามกลางสายฝน  ก่อนหลบไปร้องไห้อยู่ใต้ชายคาบ้านหลังหนึ่ง

ท่ามกลางสายฝน เฉินเหมยห่วนและลูกชายของตัวเองกำลังดูทีวีเงียบๆ ในอะพาร์ตเมนต์เช่าห้องใหม่

ท่ามกลางสายฝน เขาที่ใส่ผ้าปิดปากและหมวกเอาไว้ ตามมาถึงด้านล่างของอะพาร์ตเมนต์ และกำลังเงยหน้ามองแสงไฟจากชั้นที่สองแม่ลูกเช่าอยู่ตอนนี้

ลั่วชิวออกจากสมาคมมาแล้ว ก็กางร่มคันหนึ่งเดินอยู่ท่ามกลางสายฝนนี้เช่นกัน

หลังเที่ยงคืน จากที่ฝนตกธรรมดาก็กลายเป็นห่าฝน

ฝนเริ่มตกหนักแล้ว