ส่วนที่ 5 ตอนที่ 28 ทะเลไร้คลื่น

เจาะเวลาสู่ต้าถัง

จั่งซุนรู้สึกเสพสุขกับความกตัญญูที่ไม่ขาดตกบกพร่องของหลี่ไท่โดยไม่ปฏิเสธหรือให้กำลังใจ เพียงแต่เสพสุขกับช่วงเวลาแห่งความอ่อนโยนที่หาได้ยากนี้อยู่ในใจ นางเองก็ชอบบรรยากาศที่เต็มไปด้วยความมีชีวิตชีวาของสำนักศึกษาโดยไม่รู้ตัว

 

 

นางชอบพระอาทิตย์ขึ้นตรงปากทางเข้าของเขาอวี้ซันในทุกๆ วัน ความรู้สึกอ่อนโยนของสายลมเย็นชุ่มชื่นที่พัดผ่านใบหน้าของนางทำให้นางเคลิบเคลิ้ม เห็นท่าทางหลี่ไท่ที่ถ่อแพไม้ไผ่อย่างเงอะงะ เหงื่อออกเต็มศีรษะ ในใจก็มีความสุขมาก แต่กลับบอกให้หลี่ไท่ถ่อแพให้เร็วขึ้นอีกหน่อย อย่าปล่อยให้ปลาหลีฮื้อหางสีแดงว่ายน้ำหนีไปได้

 

 

เที่ยวเล่นจนเหนื่อยแล้วก็กลับไปยังสำนักศึกษาและเข้าฟังหลี่กังบรรยายเรื่องใจความหลักของอู่จิง[1] เป็นครั้งแรกที่พบว่าในกะโหลกศีรษะอันใหญ่ของผู้เฒ่าผอมแห้งคนนี้มีสติปัญญามากมายถึงเพียงนี้ ได้ยินว่าอวี้จอมโง่ (ตอนนี้ในใจนางก็เรียกพ่อลูกตระกูลอวี้ฉือเช่นนี้ เพียงแต่เรียกอยู่ในใจ ไม่ได้เรียกต่อหน้าผู้คนเท่านั้น) ตื่นเต้นจนพูดตอบอย่างติดอ่างเนื่องจากการปรากฏตัวของนาง

 

 

บทกวีโบราณ‘จื้อฮู่’ดีดีที่เป็นเรื่องการพำนักในต่างแดนที่แต่งขึ้นในยุคแรกๆ ที่ว่า เมื่อไปถึงยอดเขาเอินหลง ก็ยังคงเหมือนเสียงพ่ออยู่ใกล้ๆ ทั้งเช้าค่ำลูกพ่อเร่งเดินทางไกล อยากขอให้เจ้ารีบหวนคืน ท่องผิดเกือบทุกคำ กัดริมฝีปากของตัวเองจึงฝืนไม่ให้หัวเราะออกมาได้ เบิกตากว้างเพื่อรอดูว่าหลี่กังจะลงโทษเว่ยฉือเป่าหลินอย่างไร เช่นเดียวกับเมื่อสมัยยังเป็นเด็กที่พี่ชายหลายคนซึ่งเป็นลูกท่านลุงเรียนหนังสือไม่รู้เรื่องและถูกอาจารย์ลงโทษ ซึ่งดูเหมือนว่านี่เป็นความสนุกเพียงอย่างเดียวในวัยเด็กของนาง

 

 

ผิดหวังมากเลย หลี่กังไม่เพียงแต่ไม่ตีอวี้ฉือเป่าหลิน แต่กลับพูดด้วยรอยยิ้มว่า “เมื่อวานนี้เป่าหลินได้ทบทวนการบ้านที่ข้ามอบหมายอย่างละเอียดดีมาก ข้ารู้สึกพอใจมาก เพียงแต่ยังมีข้อบกพร่องเล็กน้อยคราวหน้าขอให้พยายามมากกว่านี้อีกหน่อย”

 

 

จั่งซุนเบ้ปาก เห็นได้ชัดว่าลำเอียง ตาเฒ่าก็เรียนรู้วิธีที่จะทำเพื่อผลประโยชน์ส่วนตัวแล้ว ไม่รู้ว่าอวี้ฉือกงให้ผลประโยชน์อะไรเขา เขาจึงได้พยายามดูแลลูกชายของตระกูลอวี้ฉือถึงเพียงนี้

 

 

เมิ่งโหย่วถงลุกยืนขึ้นอย่างภาคภูมิใจและท่องกลอนบทกวีจื้อฮู่ในบทเว่ยเฟิง ของคัมภีร์ซือจิงออกมาอย่างคล่องแคล่ว เพียงแค่ท่องตกไปคำเดียว หลี่กังโกรธมากในทันใด เขายกแผ่นไม้ไม้ไผ่ขึ้นมาและฟาดลงไปที่มือซ้ายของเมิ่งโหย่วถงอย่างแรง เจ็บมากจนเมิ่งโหย่วถงเบ้ปาก สูดลมหายใจเข้า แต่กลับไม่กล้าร้องออกมา

 

 

นักเรียนทุกคนในสำนักศึกษารู้หลักการข้อนี้ดี หากใครทนรับไม้ของอาจารย์หลี่ไม่ได้แล้วกล้าตะโกนร้องออกมา จะโดนลงโทษเพิ่มเป็นสองเท่า

 

 

นี่มันไม่ยุติธรรมเอาเสียเลย จั่งซุนดูจนคิ้วขมวดชนกันแล้ว เตรียมที่จะยืนขึ้นและต่อว่าหลี่กัง อวี้ฉือเป่าหลินท่องออกมามีข้อผิดพลาดมากมาย หลี่กังกลับชื่นชม เมิ่งโหย่วถงท่องผิดพลาดเพียงคำเดียวก็โดนลงโทษแล้ว ดูเหมือนว่ามือจะต้องโดนตีจนบวมแน่

 

 

พริบตาเดียว เมื่อคิดได้จึงนั่งลงและฟังการบรรยายต่อไปจนจบ หลี่กังนั้นบรรยายบทเรียนได้อย่างละเอียด มีชีวิตชีวา บทกวีโบราณที่น่าเบื่อและเข้าใจยากกลับถูกเขาอธิบายได้อย่างออกรสออกชาติ ชวนให้น้ำตาไหลริน มหาปราชญ์ก็คือมหาปราชญ์ ซึ่งอาจารย์สอนหนังสือในบ้านของท่านลุงตัวเองยังห่างไกลนักที่จะไปเทียบชั้นได้

 

 

การบรรยายบทเรียนจบลง หลี่กังและจั่งซุนออกจากห้องเรียน เหลาหลี่พูดกับจั่งซุนว่า “เมื่อครู่กระหม่อมเห็นฮองเฮาทรงต้องการจะตรัสอะไรแต่ก็หยุดไป คาดว่าคงทรงเห็นกระหม่อมเข้าข้างอวี้ฉือเป่าหลินมากเกินไป แต่กลับดุด่าเมิ่งโหย่วถงรุนแรงเกินไปกระมัง”

 

 

“เมื่อครู่ก็คิดเช่นนั้น หลังจากที่เจ้าถามประโยคนี้ก็รู้ว่าเราอาจจะผิดไป เรื่องการอบรมสั่งสอนท่านย่อมเป็นปรมาจารย์แห่งยุค หวังว่าจะช่วยคลายสงสัย ทำเช่นนี้มีเป้าหมายอะไรหรือไม่”

 

 

จั่งซุนอยากรู้มากว่าการจงใจลำเอียงให้กับนักเรียนคนหนึ่งเช่นนี้ จะส่งผลร้ายต่อนักเรียนคนอื่นหรือไม่

 

 

 “ฮองเฮาทรงได้รับการยกย่องเป็นยอดหญิงที่มีพรสวรรค์ตั้งแต่สมัยทรงพระเยาว์ มีหรือจะไม่ทรงทราบว่าการสอนหนังสือย่อมต้องสอนเหตุผลก่อน อวี้ฉือเป่าหลินพื้นฐานเป็นเด็กที่โง่เขลา สิ่งที่เด็กคนอื่นท่องเพียงสามครั้งก็สามารถจำได้ เด็กคนนี้ต้องท่องถึงสามสิบครั้งและไม่แน่ว่าจะจำได้ด้วย การแสดงออกของเขาในชั้นเรียนวันนี้คงจะดีกว่านี้ถ้าพระองค์ไม่ได้ทรงประทับอยู่ที่นี่ จะเห็นได้ว่าเมื่อวานนี้เขาทบทวนการบ้านอย่างหนักจริงๆ

 

 

กระหม่อมสอนให้การศึกษาแก่คนมานานหลายสิบปี พบนักเรียนที่ฉลาดแต่กำเนิดจำนวนนับไม่ถ้วน ซึ่งหนึ่งในนั้นก็คือสุยหยางตี้หยางก่วง ในอดีตเมื่อสมัยอยู่ในวัง อธิบายเพียงหนึ่งสามารถอนุมานเรื่องอื่นได้อีกมากมาย ยังไม่เพียงพอที่จะอธิบายความเฉลียวฉลาดของเขาได้ สุดท้ายลงเอยอย่างไร กระหม่อมคงไม่ต้องอธิบายให้มากความ ใช้ชีวิตสำมะเลเทเมาและฟุ่มเฟือยจนสูญสิ้นแผ่นดิน ประเทศที่เจริญรุ่งเรืองกลับถูกทำลายจนไม่เหลือชิ้นดี ประชาชนตกอยู่ในความทุกข์ยากเหลือแสน

 

 

ทุกครั้งที่กระหม่อมคิดถึงเรื่องนี้ ก็รู้สึกเจ็บปวดรวดร้าวอย่างสุดใจ ถ้าหากกระหม่อมไม่เพียงแค่ใส่ใจกับความรู้ที่ไร้ประโยชน์เหล่านั้น แต่ใส่ใจกับเรื่องการฝึกฝนด้านศีลธรรมของเขาให้มากกว่านี้ อาจจะไม่มีคนตายมากมายถึงเพียงนี้

 

 

เมิ่งโหย่วถงนั้นไม่เหมือนกับเป่าหลิน คุณสมบัติของเขาไม่เลว แต่น่าเสียดายที่ไม่ค่อยตั้งใจจริง มักจะคิดว่าด้วยความฉลาดเล็กน้อยของเขาจะสามารถแสดงความเก่งกาจต่อหน้านักเรียนทั้งชั้นได้ โอ้อวดความรู้ที่ตนเองยังไม่ชำนาญทั้งยังภาคภูมิใจกับสิ่งนี้ ซึ่งนี่เป็นสิ่งที่กระหม่อมไม่สามารถยอมรับได้อย่างเด็ดขาด การลงโทษเขาจึงกลายเป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ “

 

 

หลังจากฟังคำพูดของหลี่กังแล้ว จั่งซุนคารวะหลี่กังและพูดอย่างจริงจังว่า “อาจารย์หลี่สมแล้วที่เป็นปรมาจารย์แห่งยุค หลักการถ่ายทอดความรู้แก่ผู้อื่นก็วิเศษยอดเยี่ยมอย่างแท้จริง ท่านวิเคราะห์นิสัยของนักเรียนราวกับตาเห็น เราเทียบไม่ได้ จึงขอรับคำสอนนี้ไว้”

 

 

หลี่กังหลีกเลี่ยงพิธีรีตองของฮองเฮาและพูดกับฮองเฮาอีกครั้งว่า “บุตรชายของท่านเป็นเด็กที่โดดเด่นที่สุดในสำนักศึกษานี้ หากพิจารณาแต่เพียงเรื่องการเรียนรู้ แม้อวิ๋นเยี่ยก็ยังด้อยกว่าหลายส่วน การคิดวิเคราะห์อันยอดเยี่ยมของหลี่ไท่ ความยืนหยัดต่อสู้ไม่ย่อท้อของหลี่เค่อ ต่างก็เป็นคุณสมบัติที่ล้ำค่าที่สุดในสำนักศึกษาแห่งนี้ คิดว่าสองวันนี้ฮองเฮาก็คงสัมผัสได้กับการเปลี่ยนแปลงของเด็กสองคนนี้ ความดีนับร้อยความกตัญญูมาเป็นหนึ่ง สามารถกตัญญูต่อบิดามารดา พี่น้องรักใคร่สามัคคี ดังที่กล่าวกันว่าครอบครัวที่ดีย่อมไม่มีบุตรหลานที่เลวร้าย เด็กเช่นนี้หากจะเลวร้ายก็ไม่ได้เลวร้ายอะไรมากมายแน่ ข้านั้นเต็มไปด้วยความคาดหวังกับอนาคตของเด็กสองคนนี้”

 

 

ขอเพียงแค่เป็นผู้ปกครองที่ได้ยินคนอื่นชื่นชมลูกของตน มีหรือจะไม่ดีใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลี่ไท่ที่ได้อันดับหนึ่งในการสอบใหญ่ของสำนักศึกษาถึงสามครั้งแล้ว ได้ยินว่าสำนักศึกษาจะมอบเงินสองก้วนเป็นรางวัลให้เขาโดยเฉพาะ โดยเรียกว่าเงินรางวัล

 

 

เงินที่หลี่ไท่มอบให้กับคนขับรถม้าเป็นรางวัลยังมากกว่าสองก้วนเสียอีก แต่เงินจำนวนสองก้วนที่ได้มาจากหลี่กังดูราวกับว่าได้รับเงินมาหนึ่งหมื่นก้วน ยิ้มไม่ยอมหุบตั้งแต่เช้า ทำให้นักเรียนคนอื่นอิจฉาตาร้อนเป็นอย่างมาก

 

 

ในสำนักศึกษามีกฎแปลกๆ อยู่ข้อหนึ่ง ขอเพียงเป็นเหรียญทองแดงที่เป็นรางวัลของสำนักศึกษาสามารถซื้อสิ่งของที่ไม่สามารถหาซื้อได้ตามปกติได้ เช่น สามารถใช้เงินหนึ่งก้วนเพื่อขอให้อาจารย์หลี่กังเขียนภาพอักษรให้ตนเองได้ ต้องบอกไว้ก่อนว่า ตั้งแต่สิบปีก่อนหลี่กังก็ไม่เคยเขียนภาพอักษรให้ใครอีกเลย

 

 

หรือขอให้อาจารย์อวี้ซันเขียนคำไว้อาลัยให้บรรพบุรุษของตัวเอง โดยปกติมีแต่ราชนิกุลเท่านั้นจึงจะมีโอกาสเช่นนี้ หรือไม่เช่นนั้นก็สามารถขอให้อาจารย์หยวนจางแกะสลักตราประทับชื่อตัวเอง ภาพวาดเหมือนคนของอาจารย์หลีสือก็ยอดเยี่ยมมาก ถ้ามีเงินหนึ่งก้วนแล้วขอให้อาจารย์หลีสือวาดภาพของตนเองสักภาพก็ถือเป็นอะไรที่หาได้ยากยิ่ง ทักษะการวาดภาพของอาจารย์หลีสือนั้นสามารถเทียบชั้นได้กับจิตรกรเอกจันจื่อเฉียน

 

 

หลี่ไท่ใช้เงินหนึ่งก้วนเพื่อขอให้อวิ๋นเยี่ยปรุงอาหารหนึ่งมื้อให้มารดาเขา อาหารต้องไม่น้อยกว่าแปดชนิดและต้องมีอาหารจานหลักด้วย

 

 

อวิ๋นเยี่ยนอนหลับอย่างสบายอยู่ที่บ้าน ไม่ได้ทำอะไรอย่างอื่นเลยและเขาก็ไม่สามารถทำอะไรได้ด้วย ขอเพียงแค่เขาคิดว่าจะออกไปข้างนอกเพียงเล็กน้อย อี้เหนียงที่ดูแลเขาก็เม้มปากร้องไห้หนัก น้องสาวคนอื่นๆ ก็จะวิ่งกรูออกมา บ้างก็เกาะขา บ้างก็ดึงเสื้อผ้า เพราะกลัวว่าเขาจะออกไปสร้างปัญหา

 

 

จนถึงตอนนี้ ซินเย่ว์ที่ยุ่งวุ่นวายอยู่กับงานบ้านก็เข้ามากับเขาด้วย มองอวิ๋นเยี่ยด้วยน้ำตาคลอ ยังไม่ได้พูดอะไร เพียงแค่เห็นซินเย่ว์และถูกน้องสาวหลายคนฉุดรั้งไว้ อวิ๋นเยี่ยจึงได้แต่ต้องเอนกายนอนบนเก้าอี้ดังเดิม นับดูว่าบนท้องฟ้ามีนกนางแอ่นบินผ่านมากี่คู่แล้วพยายามมาสร้างรังอยู่ใต้ชายคาบ้านด้วยความเบื่อหน่ายต่อไป

 

 

อวิ๋นเยี่ยมักจะหาโอกาสที่จะอยู่กับซินเย่ว์ให้มากขึ้นอีกครู่หนึ่ง แต่ทำอะไรไม่ได้เพราะบรรดาน้องสาวจ้องมองไม่ยอมห่าง แม้กระทั่งเข้าห้องน้ำก็จะเฝ้ารออยู่ด้านนอก ตามคำพูดของเสี่ยวยา “ต้องเฝ้าพี่ชายให้ดี ไม่เช่นนั้นจะออกไปสร้างความเดือดร้อน ฮ่องเต้จะขังเขาไว้ในห้องขังและให้อดอาหาร เขาจะต้องหิวตายแน่”

 

 

อวิ๋นเยี่ยแปรงขนให้วั่งไฉไปแปดรอบแล้ว ขาดก็เพียงแว็กซ์เงา สีขนนั้นมันเงา นุ่มลื่นจนแม้กระทั่งแมลงวันก็เกาะไม่อยู่ วั่งไฉไม่ชอบภาพลักษณ์ใหม่ของตัวเองเลยแม้แต่น้อย มักจะหันกลับมาแลบลิ้นเลียขวัญผมที่ต้นขาของมัน บริเวณตรงนั้นที่มันชอบมากที่สุดก็ถูกอวิ๋นเยี่ยใช้แปรงแปรงจนขนเรียบแปล้

 

 

ตั้งแต่อวิ๋นเยี่ยกลับมา วั่งไฉก็ได้กลับมาเริ่มต้นชีวิตการเมาหยำเปของมันอีกครั้ง เพียงแต่ตอนนี้มันได้เพิ่มนิสัยเสียข้อใหม่ขึ้น ไม่รู้ว่าคนขายเหล้าหมักไปเรียนสูตรลับมาจากที่ไหน เขารู้ว่าจะต้องเพิ่มดอกกุ้ยฮวาลงไปในเหล้าสักหน่อย จะทำให้กลิ่นเหล้าของเขาหอมหวานมากยิ่งขึ้น ดังนั้นในตอนนี้หากไม่ใช่เหล้าหมักของร้านนี้วั่งไฉจะไม่ดื่ม

 

 

จะให้เป็นอย่างนี้ได้อย่างไร! ของหวานไม่ใช่สิ่งที่ม้าควรกินต่อเนื่องเป็นเวลานาน ตอนนี้อ้วนจนดูไม่ได้แล้ว คราวก่อนจับมันไปลากรถม้าเพียงครั้งเดียว ตอนนี้จะลากมันไปที่หน้ารถม้ายังลากไม่เดินเลย เมื่ออวิ๋นเยี่ยเตรียมรถม้าเสร็จวั่งไฉก็ทำท่าแกล้งเป็นสุนัขนอนตายนอนอยู่บนพื้นพร้อมกับเหยียดขาทั้งสี่แผ่หลาออกมา ดวงตาหลับสนิท หนังหน้าท้องที่อ้วนบวมก็ไม่มีการขยับขึ้นลงเหมือนเช่นปกติเลย

 

 

ทำอะไรไม่ได้ อวิ๋นเยี่ยและคนขับรถม้าสองคนต้องช่วยกันออกแรง พยายามอย่างมากในการผลักดันวั่งไฉที่เกิดโรคขี้เกียจกำเริบให้ลุกขึ้นมาอย่างยากลำบาก คนขายเหล้าหมักเจ้ากรรมคนนั้นก็มายืนตะโกนขายที่หน้าประตูบ้านอีกแล้ว วั่งไฉก็วิ่งคึกคักมีชีวิตชีวาทันที ทำให้อวิ๋นเยี่ยและคนขับรถม้าต่างมองหน้ากันยิ้มอย่างขมขื่น

 

 

ไม่ว่าจะเป็นคนหรือม้า หากต้องการกำจัดความขี้เกียจทิ้งไปในช่วงเวลาสั้นๆ ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่มีทางได้เห็นผลในวันหรือสองวันอย่างเด็ดขาด อวิ๋นเยี่ยมองวั่งไฉที่ดื่มอย่างสะใจอยู่นอกประตู แล้วก็ตัดสินใจว่าเพื่อชีวิตน้อยๆ ของมัน จะต้องแก้ปัญหาความอ้วนของมันให้ได้

 

 

เมื่อกินอาหารก็จะเพิ่มเนื้อ กินเพียงอย่างเดียวแต่ไม่ออกกำลังจะยิ่งเพิ่มเนื้อ วั่งไฉไม่ได้ถูกเลี้ยงเพื่อกินเนื้ออย่างเอาเป็นเอาตาย หากปล่อยให้อ้วนขึ้นไปอีกขาทั้งสี่ของมันก็จะรับน้ำหนักไม่ไหว ช้าเร็วต้องมีปัญหาแน่

 

 

ขณะที่กำลังกังวลเกี่ยวกับโรคอ้วนของวั่งไฉ หลี่ไท่ก็มาหาถึงที่บ้านด้วยท่าทีเย่อหยิ่งอวดดี โยนเงินหนึ่งก้วนดัง ‘แปะ’ ลงบนโต๊ะและพูดกับอวิ๋นเยี่ยว่า “อาหารแปดอย่าง ห้ามทำซ้ำด้วย แล้วก็น้ำซุปกับอาหารหลักอีกหนึ่งอย่าง ต้องการของที่ยังไม่ได้กินด้วย ร่างกายเสด็จแม่ข้าไม่พร้อม ต้องการอาหารเสริม หลายวันนี้ที่มาสำนักศึกษาก็ผอมลงไปมาก ไม่กล้าให้เป็นเช่นนี้ต่อไป เสด็จพ่อจะต้องคิดว่าข้าดูแลเสด็จแม่ไม่ดี ต้องถลกหนังข้าแน่”

 

 

คำพูดเหล่านี้ของหลี่ไท่ทำให้อวิ๋นเยี่ยนึกขึ้นได้ว่า จั่งซุนดูเหมือนต้องการจะพักอยู่ในสำนักศึกษาไม่ยอมกลับไป จะเป็นไปได้อย่างไร ฮองเฮาคนหนึ่งจะมาอยู่ในสำนักศึกษาเป็นเวลานานนั้นไม่ใช่เรื่องดีอะไร

 

 

หากบอกว่าจั่งซุนมาเพราะเรื่องการควบคุมสถาบัน เช่นนี้ถือว่าใส่ร้ายนางแล้ว หากนางต้องการควบคุมสำนักศึกษาโดยสมบูรณ์ก็จะไม่ใช้วิธีชั้นต่ำเช่นนี้ เรียกขอนำกลับโดยตรงเลยก็ได้ เพราะที่นี่เดิมก็คือสำนักศึกษาหลวง

 

 

“อาไท่ ฮองเฮาจะประทับอยู่ในสำนักศึกษานานเท่าไร เจ้ารู้หรือไม่”

 

 

“สามวัน อีกเพียงสามวัน เสี่ยวเยี่ย เจ้ามีเวลาเพียงสองวันในการเตรียมตัว ต้องรีบทำก่อนที่เสด็จแม่จะกลับวังเพื่อให้ท่านได้เสวยอาหารมื้อนี้”

 

 

ใบหน้าของอวิ๋นเยี่ยค่อนข้างแดงเล็กน้อย ทำดีไม่ได้ดีจริงๆ

 

 

 

 

——

 

 

[1] อู่จิง เป็นชื่อเรียกรวมของคัมภีร์คำสอนหลักของลัทธิขงจื๊อห้าเล่ม ได้แก่ “ซือจิง” “ซั่งซู” “หลี่จี้” “โจวอี้” และ “ชุนชิว”