ตอนที่ 163-2 การเข่นฆ่าที่ริมทะเลสาบเย่ว์เลี่ยง

ยอดหญิงสกุลเสิ่น

มีโจรลักม้าที่คิดเองว่าตนฉลาดคิดจะเอาเปรียบ ชูดาบใหญ่ที่สว่างไสวหัวเราะบ้าคลั่งโผเข้ามาหาเถาฮวา เถาฮวาตื่นเต้นดีใจจนหน้าแดง แกว่งกระบองเหล็กขวางเอวแล้วกวาดออกไป ดาบของโจรลักม้าที่น่าสงสารผู้นั้นเพิ่งจะชูขึ้นเหนือศีรษะก็ลอยออกไปแล้ว ตกลงบนพื้นดิ้นพล่าน แต่จะลุกก็ลุกไม่ขึ้น คาดว่าเอวน่าจะหักแล้ว 

 

 

“เถาฮวาเก่งมาก” เสิ่นเวยแอบอู้เอ่ยชมหนึ่งประโยค 

 

 

เถาฮวาก็ยิ่งฮึกเหิมราวกับเลือดที่ถูกสูบฉีดจนเต็ม ยิ้มแย้มโผเข้าไปหาโจรลักม้าคนหนึ่ง โจรลักม้าทั้งหมดก็หวาดกลัว เพียงกระบวนท่าเดียวก็ทำพี่น้องของพวกเขาพิการได้ เด็กคนนี้เป็นร่างแปลงของปีศาจงั้นหรือ 

 

 

เถาฮวาไม่สนใจว่าพวกเขาจะคิดอย่างไร นางสะดวกเช่นไรก็ทำเช่นนั้น กระบองเหล็กในมือประเดี๋ยวก็ทุบประเดี๋ยวก็กวาดประเดี๋ยวก็ตี ไม่นานนักโจรลักม้าเจ็ดแปดคนที่ล้อมนางอยู่ก็ล้มลงบนพื้นร้องโอดโอย เถาฮวาเหลือบมอง เห็นคุณหนูไม่ต้องการความช่วยเหลือจากนางก็เหยียบโจรลักม้าบนพื้นแล้วตีซ้ำอย่างมีความสุข 

 

 

คุณหนูเคยสอนไว้ว่า ‘ต้องรีบฆ่าให้หมด อย่าทิ้งให้เหลือหายนะในภายหลัง’ นางไม่เพียงจำได้ แต่ยังทำตามอีกด้วย ดังนั้นคุณหนูจึงชอบนางเช่นนี้ ชอบนางยิ่งกว่าพี่หลีฮวาและคนอื่นๆ ไม่ต้องสนว่านางจะรู้ได้อย่างไร อย่างไรเสียนางรู้ก็แล้วกัน 

 

 

วรยุทธ์ของลูกพี่หูไม่เลวเลยจริงๆ เชี่ยวชาญวิชาดาบอย่างถึงที่สุด เสิ่นเวยสู้กับเขาจึงเสียเปรียบอยู่เล็กน้อย กระบี่อ่อนคล่องมือไม่เท่าดาบหมื่นโลหิต 

 

 

แต่ดาบหมื่นโลหิตของนางให้โอวหยางไน่ยืมไปแล้ว โอวหยางไน่นำคนไปปราบโจรลักม้ากลุ่มนั้นที่ฝั่งตะวันตกเฉียงเหนือของทะเลสาบเย่ว์เลี่ยง หลายวันมานี้นางฆ่าจนเบื่อเล็กน้อยแล้ว ครั้งนี้จึงไม่ได้ตามไป แต่มาพักเท้าที่ทะเลสาบเย่ว์เลี่ยงก่อน 

 

 

แม้จะเสียเปรียบ แต่เสิ่นเวยกลับไม่ได้ด้อยกว่า ท่าร่างของนางเร็วและแปลกประหลาด ทั้งยังชำนาญการต่อสู้ระยะประชิด กระบี่อ่อนเกี่ยวพันดาบหัวกะโหลกกริชในมือซ้ายก็แทงเข้าไปในทรวงอกของลูกพี่หู 

 

 

ลูกพี่หูตกใจอย่างยิ่ง หลบไม่ทันแล้ว พยายามใช้วิชาทั้งหมดที่มีจึงหลบเลี่ยงจุดสำคัญได้ แต่ไหล่ซ้ายกลับถูกโจมตีอย่างหนักหน่วง โลหิตพุ่งออกมาในชั่วพริบตา เปื้อนแขนครึ่งฝั่งของเขาเป็นสีแดงฉาน 

 

 

ลูกพี่หูไม่ได้รับบาดเจ็บเช่นนี้มานานเท่าไรแล้ว ดวงตาเขาแดงก่ำ กัดฟันโจมตีมายังเสิ่นเวยอย่างดุร้าย ยิ่งสู้เขาก็ยิ่งตกใจ เด็กคนนี้เป็นใครกันแน่ เหตุใดถึงเจ้าเล่ห์เช่นนี้ ที่ใช้ทั้งหมดล้วนเป็นลูกไม้สกปรก มีประสบการณ์ยิ่งกว่าผู้มีประสบการณ์เช่นเขาเสียอีก เขาแอบเสียใจอย่างอดไม่ได้ เหตุใดถึงไม่เห็นว่าเกิดหายนะเช่นนี้ขึ้นแล้ว 

 

 

เขามองพี่น้องที่ล้มลงคนแล้วคนเล่า ลูกพี่หูก็มีความคิดอยากหยุดรบ ซ้ำยังไม่ได้มีความแค้นฝังลึกอะไร ไม่อาจทิ้งชีวิตลงที่นี่ได้ 

 

 

แต่เสิ่นเวยไม่ให้โอกาสเขาเอ่ยปากอย่างสิ้นเชิง แต่ละกระบวนท่าว่องไวโหดเ**้ยม ทุกๆ สามถึงห้ากระบวนท่าก็มักจะทิ้งบาดแผลไว้บนร่างเขาได้เสมอ ตอนที่ริมทะเลสาบเย่ว์เลี่ยงเหลือเพียงลูกพี่หูโจรลักม้าเพียงผู้เดียว เขาก็รู้ว่าวันนี้จะต้องตาย ตามความคิดที่ว่าต่อให้ตายก็ไม่มีทางให้เจ้ามีชีวิตที่ดีได้ ลูกพี่หูก็แผดเสียงร้อง ใช้แรงทั้งหมดที่มีต่อสู้ จะต้องตายไปพร้อมกับเสิ่นเวย 

 

 

เสิ่นเวยฉลาดอย่างยิ่ง หดตัวถอยหลังออกไปทันที “เสี่ยวเฮยเสี่ยวไป๋ เจ้าสองคนดูทิวทัศน์อยู่หรือไร ยังไม่รีบมาแทนที่ข้าอีก” 

 

 

เจียงเฮยกับเจียงไป๋กระตุกมุมปากเข้าไปรบกับลูกพี่หูแล้ว บ่นในใจ คุณหนูสี่ลำเอียง เถาฮวาที่กำลังต่อสู้ห้าวหาญเพียงนั้นไม่เรียก กลับเรียกพวกเขาสองพี่น้อง 

 

 

เสิ่นเวยสะบัดมือเล็กๆ ร้องเสียงดัง “เฮ้อ เหนื่อยจริงๆ เลย” โจรลักม้าชั่วผู้นี้รับมือยากเกินไปแล้ว สูงตัวเท่าม้า เนื้อก็แข็ง นางทำเขาเลือดออกมากขนาดนั้นแล้ว เขายังไม่ล้มลงอีก 

 

 

“เจ็บตรงไหน ให้ข้าดูหน่อย” สวีโย่วที่อยู่ข้างๆ เขยิบเข้ามาลูบมือเล็กๆ ของเสิ่นเวยทันที 

 

 

เสิ่นเวยตอบสนองไว ดันมือของเขาออก “ทำอะไร อย่าทำท่าเหมือนกับว่าข้าสนิทกับท่านนักสิ ชายหญิงไม่ควรแตะเนื้อต้องตัวกันรู้หรือไม่” 

 

 

สวีโย่วเคืองแล้ว เด็กคนนี้เปลี่ยนสีเร็วจริงๆ ก่อนหน้านี้ยังเคยจูบเขาอยู่เลย ตอนนี้กลับเปลี่ยนสีไม่ยอมรับแล้ว เขาชายตามองเสิ่นเวย ยกมุมปากยิ้มเยาะ “เสี่ยวโย่วโย่วหรือ ข้าไม่รู้ว่าเจ้าตั้งชื่อนี้ให้ข้าตั้งแต่เมื่อไร” 

 

 

ความหยิ่งยโสของเสิ่นเวยลดฮวบลงในชั่วขณะ กล่าวอย่างรักษาท่าที “ไม่ใช่ว่าเป็นแผนชั่วคราว เพื่อไม่ให้ฐานะเปิดเผยหรือไร ไม่รู้หรือว่าชื่อเสียงคุณชายใหญ่ของท่านน่ะโด่งดังยิ่งนัก” 

 

 

“อ้อ จริงหรือ” สวีโย่วยังคงชายตามองนางอย่างเย็นชา เรียกเสี่ยวโย่วโย่วราวกับเรียกลูกสุนัขอย่างนั้น 

 

 

เสิ่นเวยแค่นเสียงกระทืบเท้า “ข้าตั้งชื่อเล่นให้ท่านแล้วทำไม ท่านไม่คิดว่าชื่อนี้สนิทสนมเป็นอย่างยิ่งหรือ ท่านเองก็เรียกข้าว่าเสี่ยวเวยเวยไม่ใช่หรือ” เสิ่นเวยกล่าวตำหนิอย่างไม่พอใจ 

 

 

เหอะ คนอะไร ผู้เป็นใหญ่จะทำอะไรย่อมได้ ในขณะที่ชาวบ้านถูกจำกัดวิถีชีวิต เผด็จการ บ้าอำนาจ ลัทธิชายเป็นใหญ่ 

 

 

“คุณหนู คนผู้นั้นตายแล้ว” ขณะที่เสิ่นเวยกำลังบ่นในใจ จู่ๆ เถาฮวาก็เอ่ยปาก 

 

 

เสิ่นเวยเหลือบตาขึ้นมอง ก็เห็นกระบี่ยาวของเจียงเฮยเจียงไป๋แทงอยู่บนร่างลูกพี่หูพร้อมกัน ดาบหัวกะโหลกของลูกพี่หูชูขึ้นฟ้า ดวงตาเบิกกว้าง ตายตาไม่หลับ 

 

 

เสิ่นเวยดีใจในใจ หลังจากนั้นก็ตบหน้าผากเสมือนเพิ่งนึกอะไรขึ้นได้ “แย่แล้ว ลืมเหลือพยาน” โจรลักม้าผู้นี้แข็งกล้าเพียงนี้ จะต้องไม่ใช่บุคคลนิรนามแน่นอน เหลือพยานไว้สักคนก็จะได้ไต่ถามข้อมูลที่มีประโยชน์ได้ อย่างดีที่สุดก็สามารถลากพวกเขาไปที่รังโจรได้ ไม่ก็สามารถทำให้พวกเขาเดินอ้อมน้อยลงได้มิใช่หรือ 

 

 

เมื่อเสิ่นเวยพูดเช่นนี้ สวีโย่วกับเจียงเฮยเจียงไป๋ก็คิดถึงจุดนี้ได้เช่นกัน คนไม่กี่คนสบตากัน หรือว่า จะพลิกหาดู ดูว่ายังมีคนที่ยังไม่ตายหรือไม่ 

 

 

คนไม่กี่คนพลิกหาอยู่นานก็เจอคนผู้หนึ่งจริงๆ ขาเขาหัก มองดูก็รู้ว่าเป็นผลงานของเถาฮวา คาดว่าคงจะเจ็บจนหมดสติ ตอนนี้ได้อากาศคืนมา ปีกจมูกพลันขยับ เหลือลมหายใจแผ่วเบา 

 

 

เสิ่นเวยดีใจอย่างยิ่ง สั่งให้เจียงไป๋ลากคนออกมากินยา ช่วยชีวิตกลับมาได้ด้วยความยากลำบาก ไม่อาจปล่อยให้เขาตายได้ สำหรับศพของโจรลักม้าที่เหลือก็โยนออกไปให้ไกลได้ก็ยิ่งดี เลี่ยงไม่ให้เปรอะเปื้อนน้ำทะเลสาบเย่ว์เลี่ยง 

 

 

งานใช้แรงเหล่านี้ย่อมมีเจียงเฮยเจียงไป๋มาจัดการ เสิ่นเวยเก็บมือไว้ในแขนเสื้อสั่งคนทั้งสองจนยุ่งหัวหมุน สำหรับเถาฮวาเด็กผู้หญิงแรงเยอะคนนี้คือคนของเสิ่นเวยเอง นางจึงทำใจเรียกใช้ไม่ลง 

 

 

สวีโย่วมองท่าทางเล็กๆ น้อยๆ อย่างดวงตาที่ยิ้มของเสิ่นเวย ในใจก็ว้าวุ่น เขาคิดแล้วคิดอีก ยังคงรู้สึกว่าต้องอยู่ตามลำพังกับเด็กคนนี้สักพักให้ได้ 

 

 

“นี่ เจ้าทำอะไร” เสิ่นเวยไม่ทันระวังก็ถูกสวีโย่วโยนขึ้นหลังม้าแล้ว ยังไม่ทันได้ร้องตกใจ ม้าที่ขี่อยู่ก็ห้อตะบึงออกไปแล้ว 

 

 

“คุณชาย!” เถาฮวาร้องอุทาน ลุกขึ้นกำลังจะไล่ตาม แต่ถูกเจียงเฮยเจียงไป๋ขวางไว้ซ้ายขวา “คุณชายใหญ่พาคุณหนูสี่ออกไปเล่น อีกประเดี๋ยวก็กลับ” 

 

 

เถาฮวาคิดครู่หนึ่ง รู้สึกว่าคุณชายใหญ่สวีผู้นั้นดีกับคุณหนูของตนอย่างยิ่ง คุณหนูน่าจะไม่เป็นอันตรายจึงกอดกระบองเหล็กกลับไปนั่งอีกครั้ง 

 

 

“ท่านจะพาข้าไปไหน” เสิ่นเวยตะโกนเสียงดังสู้ลม 

 

 

สวีโย่วนั่งอยู่ข้างหลังนาง มือหนึ่งขี่ม้า มือหนึ่งโอบเอวที่ผอมบางของนางไว้ “เดินเล่น” สวีโย่วตอบกลับเสียงดัง 

 

 

มุมปากของเสิ่นเวยกระตุก เดินเล่นก็ควรจะเดินไม่ใช่หรือ เจ้าขี่ม้าเรียกว่าเดินเล่นหรือ แต่อย่างไรเสียสวีโย่วคนโรคจิตคนนี้ก็ไม่อาจพานางไปขายได้ ร่างของเสิ่นเวยก็ผ่อนคลายลง เพื่อที่จะทำให้สบายตัว จึงถือโอกาสพิงอ้อมอกของสวีโย่ว นางมาจากสังคมอันเสื่อมทรามอย่างยุคปัจจุบัน การสัมผัสใกล้ชิดแค่นี้เป็นเรื่องขี้ปะติ๋ว 

 

 

ทว่าร่างสวีโย่วกลับแข็งทื่อ ทันใดนั้นในดวงตาก็มีความดีใจบ้าคลั่งแวบผ่าน ได้กำไรเหนือความคาดหมาย เด็กคนนี้อ่อนข้อขึ้นมาแล้วน่ารักเพียงนี้ได้อย่างไร สวีโย่วกระชับแขนที่กอดเสิ่นเวยแน่นอย่างทนไม่ได้ คางเกยอยู่บนศีรษะของนาง 

 

 

ไม่รู้เหมือนกันว่าขี่ม้าออกไปไกลแค่ไหนแล้ว เสิ่นเวยรู้สึกเพียงแค่สายลมที่หวิดหวิวพัดผ่านหูไป นางหลับตาลง จมดิ่งอยู่ในความเร็วแห่งการห้อตะบึงนี้ 

 

 

ในที่สุดม้าก็หยุดลง ทอดสายตาออกไปล้วนแต่เป็นหญ้ารกร้างไม่มีที่สิ้นสุด สวีโย่วชี้ทิศทางหนึ่งแล้วกล่าว “ดูสิ นั่นคือเมืองชายแดน” เป็นที่ที่พวกเขาออกมาเมื่อสิบวันก่อน 

 

 

เสิ่นเวยมองออกไป นอกจากหญ้ารกร้างก็มองไม่เห็นเค้าโครงเมืองชายแดนเลย แต่นางรู้ว่าตรงนั้นคือเมืองชายแดน เป็นที่ที่อยู่ทางตะวันตกสุดของต้ายง ที่นั่น ปู่ของนาง พี่ใหญ่ลูกผู้พี่ของนาง รวมถึงทหารประชาชนเมือชายแดนนับไม่ถ้วนรอให้นางกลับไปอยู่ ดังนั้นนางจึงไม่อาจทำให้พวกเขาผิดหวังได้ 

 

 

“อีกสามวันพวกเราก็กลับไปแล้ว” สวีโย่วคล้ายอ่านความคิดของเสิ่นเวยออก เขาปล่อยเชือกบังเ**ยน มือทั้งคู่ต่างก็กอดเอวนางไว้ ดึงนางเข้ามาในอ้อมอกของตนแนบแน่น เขาก้มหน้า คางอยู่ใกล้ไหล่นาง ลมหายใจที่ช้ายาวของเขากระเพื่อมอยู่ข้างหูนาง เพียงนางเอียงหน้าก็สามารถแตะริมฝีปากที่อุ่นร้อนของเขาได้แล้ว 

 

 

เสิ่นเวยกลอกตามองฟ้าเงียบๆ ชายผู้นี้เป็นเขาน้ำแข็งหมื่นปีไม่เข้าใกล้สตรีไม่ใช่หรือ เหตุใดถึงชอบครอบครองนางเช่นนี้เล่า เสิ่นเวยอยากจะดันหัวสุนัขตัวนั้นบนไหล่นางออกไปอย่างยิ่ง แต่ก็รู้สึกว่าอ้อมกอดของสวีโย่วอบอุ่น อีกทั้งยังสบาย เช่นนั้นก็ทนไปแล้วกัน ในใจคิดเงียบๆ หัวหมา หัวหมา นั่นคือหัวหมา ฮ่าๆ สนุกจะตาย 

 

 

ทว่าสวีโย่วกลับรู้สึกไม่พอใจ เขาอยากสัมผัสหวานใจในอ้อมกอดอีกขั้น ในขณะที่เขาก้มหน้าคิดจะลอบโจมตี มือขาวๆ ของเสิ่นเวยก็ผลักหน้าเขาออก “พอแล้วหรือยัง อย่าได้คืบจะเอาศอก ให้ท่านเข้าใกล้สักพักก็ถือว่าไว้หน้าท่านแล้ว หากติดใจขึ้นมาเล่าทำอย่างไร” 

 

 

สบสายตาหยอกล้อที่คล้ายยยิ้มคล้ายไม่ยิ้มของเสิ่นเวย สวีโย่วก็รู้สึกเพียงแค่ใบหน้าร้อนผ่าว อย่างไรเสียก็เป็นครั้งแรกที่ทำเรื่องรักๆ ใคร่ๆ เช่นนี้ ประสบการณ์ไม่มากพอ หน้าก็หนาไม่พอ รู้สึกเพียงแค่ลูกผู้ชายเช่นตนพ่ายแพ้ต่อเด็กน้อยเสียแล้ว เสียหน้าเล็กน้อยจริงๆ 

 

 

ไม่ว่าอย่างไรสวีโย่วก็คือสวีโย่ว ความสามารถในการเรียนรู้แกร่งกล้าจึงเลียนแบบท่าทางเสเพลของเด็กน้อยในยามปกติ “แล้วหากข้าติดใจขึ้นมาจริงๆ เล่าจะทำอย่างไร เจ้าใช้เครื่องหอมอะไรหรือ หอมจริงๆ” ศีรษะของเขาซุกซบอยู่บนไหล่ของเสิ่นเวยและสูดดม 

 

 

เสิ่นเวยอึดอัดกับลมหายใจของเขาอย่างยิ่ง รู้สึกเขินอายเล็กน้อย “สวีโย่ว” นี่เป็นเสียงที่เสิ่นเวยกัดฟันเอ่ยออกมา 

 

 

ทว่าสวีโย่วกลับกระตุกมุมปาก หัวเราะอย่างเริงร่า ในเสียงหัวเราะมีความสุขและความสบายใจ เสิ่นเวยโมโหจนหยิกเอวเขาอย่างแรงหนึ่งที 

 

 

“พอแล้วๆ ไม่ทำแล้ว ขอข้ากอดเจ้าอีกสักพัก” สวีโย่วเห็นเด็กน้อยโกรธเกรี้ยวแล้วก็รีบลูบศีรษะนางเพื่อปลอบโยน 

 

 

เสิ่นเวยยิ่งโมโห เจ้าแอบลักไก่งั้นหรือ อะไรคือขอกอดอีกสักพัก เจ้าใกล้จะระเบิดอยู่แล้วรู้ใช่หรือไม่ อาวุธร้ายแรงข้างหลังก้นนางคืออะไรคิดว่านางไม่รู้จริงๆ หรือ เสิ่นเวยอยากจะถีบคนข้างหลังผู้นี้ลงไปจริงๆ แต่คิดดูแล้วตนก็จำทางกลับไปไม่ได้จึงยอมทนต่ออีกหน่อย 

 

 

จุ๊ๆ ผู้ชายแก่นี่ช่างน่ากลัวจริงๆ คงจะอัดอั้นอย่างยิ่งแล้วสินะ เสิ่นเวยคาดเดาถึงความเศร้าที่ต้องเจอในคืนวันแต่งงานของตนได้แล้วก็จุดเทียนร้อยเล่มไว้อาลัยให้ตัวเองเงียบๆ ในใจ 

 

 

ตอนที่เสิ่นเวยกับสวีโย่วกลับมาถึงริมทะเลสาบเย่ว์เลี่ยง โอวหยางไน่ก็นำคนมารออยู่ที่นั่นแล้ว คราวนี้พวกเขาได้กำไรมาเยอะอย่างยิ่ง นอกจากม้า เสบียง เงินทอง ยังได้ยามาอีกไม่น้อย ล้วนแต่เป็นของที่กองทัพต้องการ 

 

 

ในอีกแง่ความหมาย โจรลักม้ากับกองทัพก็เป็นความเหมือนที่แตกต่างมิใช่หรือ 

 

 

โจรลักม้าที่ยังไม่สิ้นลมผู้นั้นก็ถูกเจียงเฮยเจียงไป๋ทรมานจนฟื้นแล้ว เมื่อไต่ถาม โอ้ คาดไม่ถึงว่าเป็นโจรลักม้ากลุ่มนั้นที่มีกำลังแข็งแกร่งที่สุด คนที่ตายตาไม่หลับผู้นั้นก็คือหัวหน้าของพวกเขา 

 

 

ไอ๊หยา ย่ำจนรองเท้าเหล็กสึกไม่พบพาน ยามได้มากลับไม่เสียเวลาเลยจริงๆ รีบนำทางไปข้างหน้า พวกเราจะไปปราบรังโจรของพวกเขาอีก 

 

 

เสิ่นเวยยิ้มจนตากลายเป็นขีด คิดคำนวณในใจ ปราบโจรลักม้ารังนี้แล้ว เวลาสามวันก็เพียงพอให้พวกเขากำจัดกลุ่มโจรลักม้าได้อีกสองสามกลุ่ม เช่นนั้น โจรลักม้าบริเวณทะเลสาบเย่ว์เลี่ยงก็กวาดล้างไปได้เกือบหมดแล้ว พวกเขาก็สามารถนำอาวุธยุทธภัณฑ์ที่ได้จากข้าศึกกลับจวนได้แล้ว 

 

 

ออกมานานเพียงนั้นก็รู้สึกคิดถึงอยู่บ้างจริงๆ ไม่รู้เหมือนกันว่าท่านปู่เฒ่าผู้นั้นจะคิดถึงนางบ้างหรือไม่