เมื่อเสียงนี้เอ่ยออกมา เวลานี้ลู่จื่อเฟิงตัวสั่นงก หันกลับไปตวาดถามอย่างแตกตื่น “ใคร ใครกัน”
ลู่หวานหว่านมองท่าทางตระหนกของเขาออก สีหน้านิ่งลง ตบบ่าปลอบประโลมเขา เดินออกไปด้านนอกด้วยสีหน้าเย็นชา “เจ้าหลบอยู่ในกระโจม อาหญิงออกไปดูเอง”
ลู่จื่อเฟิงดึงชายเสื้อของลู่หวานหว่านไว้ด้วยความตื่นเต้น “ท่านอาหญิง ระวังตัวด้วย”
“วางใจเถอะ” ลู่หวานหว่านตบมือเขาเบาๆ ใบหน้าเย็นชา เดินออกไป
…
นอกประตู เหล่าทหารกำลังเผชิญหน้ากับสตรีเบื้องหน้า
ทุกคนต่างมองสตรีที่รอนแรมมาไกล ใบหน้างามพิลาสของนางคล้ายดอกบัวหิมะไม่อาจเอื้อมถึง พวกเขาไม่เคยพบสตรีงดงามเช่นนี้มาก่อน ชั่วขณะนั้นสติหลุดลอย
จากนั้นเมื่อได้สติก็ถามขึ้นมาว่า “เจ้าเป็นใคร ที่นี่คือค่ายทหาร ไม่อาจบุกเข้ามาโดยพลการ”
เยี่ยเม่ยตวัดสายตาเย็นชามองพวกเขา
เอ่ยปากเสียงเย็น “ด้านในคือลู่จื่อเฟิงสินะ?”
เหล่าทหารสบตากัน ไม่รู้ว่าลู่จื่อเฟิงคือใคร ทว่าเมื่อครู่มีคนผู้หนึ่งเข้าไป อนุของแม่ทัพพวกเขาคล้ายกับแซ่ลู่ หรือว่า…”
พวกเขายังไม่ทันเอ่ยอะไร
ลู่หวานหว่านเปิดกระโจม เดินออกมาจากด้านใน นางกวาดตามองเยี่ยเม่ยอย่างเย็นชา ประเมินอีกฝ่ายครู่หนึ่ง เอ่ยปากถามว่า “เจ้าก็คือนางโจรที่ทำร้ายพี่ชายกับอาซ้ออย่างนั้นหรือ”
เยี่ยเม่ยสายตาเย็นเยียบมองนาง ไม่ตอบแต่ย้อนถามว่า “เมื่อครู่คนที่ด่าข้าในกระโจม คือเจ้า?”
ลู่หวานหว่านได้ยินนางถามเช่นนี้ ก็มั่นใจฐานะของเยี่ยเม่ย
ยามนี้นางโมโหจนลมหายใจสะดุด มองเยี่ยเม่ย เสียงดังเอ่ย “ไม่ผิด คือข้าเอง เจ้าจะเอาอย่างไร หรือคิดจะทำร้ายข้าด้วย ขอเตือนเจ้าไว้ก่อน ที่นี่คือกระโจมของแม่ทัพเยียลี่ว์ ห้อมล้อมไปด้วยทหารนับพัน ตอนนี้หากเจ้าคุกเข่าขอร้อง ตัดแขนตัวเองข้างหนึ่ง ข้าอาจจะทำเป็นว่าเจ้าไม่เคยก่อเรื่องอะไรขึ้น”
ลู่หวานหว่านใช้น้ำเสียงคล้ายกับกำลังให้ทาน
เยี่ยเม่ยฟังแล้ว ใบหน้านิ่งเฉย พยักหน้า “ช่างไม่รู้จักประเมินตนเลย คนสิ้นคิดที่ไหนๆ ก็มี เจ้าลองวิเคราะห์ข้อดีของข้าดู แล้วค่อยทบทวนตัวเองสักหน่อย เจ้าคิดว่าเจ้าคู่ควรให้ข้าคุกเข่าให้หรือไม่”
เหล่าทหาร “…”
แม่นางผู้นี้มีข้อดีอะไร รูปโฉมงดงามไม่ผิด ยังมีอะไรอีกเล่า? ยังมีอีก ไฉนนางถึงมีความมั่นใจเพียงนี้ อีกทั้งยังเอ่ยด้วยหน้าตาจริงจัง?
ลู่หวานหว่านถูกเยี่ยเม่ยทำให้สะอึกนิ่งไป ถลึงตาเดือดดาลมองเยี่ยเม่ย “ข้อดี? เจ้ามีข้อดีอะไร เจ้ามันก็แค่…”
เยี่ยเม่ยหน้าไม่เปลี่ยนสี ตัดบทอีกฝ่ายด้วยเสียงเย็น “เจ้าต้องการให้ข้าวิเคราะห์ข้อดีทั้งหมดของตนแล้วอธิบายให้เจ้าฟังอย่างลึกซึ้งไหม”
ปุถุชนไม่รู้ข้อดีของนาง นั่นคือพวกเขาขาดความรู้ แต่นางใจกว้างพอจะบอกพวกเขา
ลู่หวานหว่าน “…?”
ในโลกนี้ไฉนมีคนหนังหน้าหนาเช่นนี้อยู่ด้วย
เหล่าทหาร “…” แม่นางท่านนี้ออกจะหน้าหนาเกินไปหน่อยกระมัง
ลู่หวานหว่านหน้าเดี๋ยวแดงก่ำเดี๋ยวขาวซีดอึกอักอยู่ชั่วครู่ สุดท้ายก็เดือดดาล หันหน้าสั่งการ “จับนางให้ข้า”
เหล่าทหารรีบล้อม “ขอรับ ฮูหยิน”
เยี่ยเม่ยมองเหล่าทหารที่ห้อมล้อมเข้ามา ทุกคนพากันรุมเข้ามา
เยี่ยเม่ยชักมีดสั้นออกจากแขนเสื้อ หมุนควงอยู่กลางมือ สายตาเย็นชามองลู่หวานหว่าน “ได้ยินว่าเจ้าเพิ่งเป็นแม่คน คนมีน้ำใจไมตรีเช่นข้า อดทนดูเด็กขาดแม่ไม่ได้ ดังนั้นยามได้ยินเจ้าด่าข้า จึงไม่จัดการเก็บเจ้า เจ้ามั่นใจว่าจะลงมือใช่หรือไม่”