“หา เจ้าถูกบุรุษป่าเถื่อนผู้หนึ่งช่วยไว้ แล้วเขาบอกว่าจะมาสู่ของั้นหรือ” เสียงแหลมสูงของนางหลี่ดังขึ้นในเรือนหนิงโซ่วของฮูหยินผู้เฒ่าจวนเจี้ยนอานปั๋วในยามเช้าตรู่
นางจ้องเจินปิงที่คุกเข่าอยู่นิ่ง ตัวสั่นไปหมดด้วยโทสะ หากมิใช่อยู่ต่อหน้าฮูหยินผู้เฒ่าและคนอื่นๆ นางคงถีบเจินปิงกระเด็นไปแล้ว
น่าตายนัก เรื่องใหญ่เพียงนี้กลับไม่พูดกับนางสักคำ แต่กลับวิ่งมาขอรับโทษต่อหน้าฮูหยินผู้เฒ่าตั้งแต่เช้าตรู่ นางเจี่ยงและนางเวินก็อยู่ที่นี่ เช่นนี้คนย่อมรู้กันไปทั่วแล้ว
“ฮูหยินผู้เฒ่า ท่านอย่าได้ฟังนาง นางเป็นคนซื่อๆ เรามิอาจให้นางแต่งออกไปเพียงเพราะถูกอาเมาอาโก่วที่ใดช่วยไว้กระมัง ทั้งตอนนี้มิใช่รัชสมัยก่อนแล้ว แม้แต่หมั้นแล้วก็ยังถอนหมั้นได้เลย!”
นางเจี่ยงก้มหน้าลงดื่มชาเพื่อปิดบังรอยยิ้มเยาะที่มุมปากตน
ผู้ที่หมั้นแล้วถอนหมั้น…ยกตัวอย่างเช่นเจินปิงที่คุกเข่าอยู่ตอนนี้อย่างไรเล่า แต่เพราะเหตุนี้มิใช่หรือนางถึงยังมิได้ออกเรือนทั้งที่อายุสิบเจ็ดแล้ว นางหลี่นับวันยิ่งเลอะเลือนจริงๆ
นางเฝ้ามองมาหลายปี เจินปิงเป็นคนที่มีกิริยาเพียบพร้อมผู้หนึ่ง ต่อให้เคยถอนหมั้น เพียงแค่อดใจรอสักหน่อย มีหรือจะหาตระกูลที่เหมาะสมมิได้ แต่เพราะนางหลี่ที่ตาสูงฝีมือต่ำทำพังครั้งแล้วครั้งเล่า ทำให้บุตรสาวต้องลำบากมาจนถึงตอนนี้
ฮูหยินผู้เฒ่าถลึงตาให้นางหลี่คราหนึ่งทั้งเอ่ยเตือนอีกว่า “พอแล้ว ฟังปิงเอ๋อร์พูดให้ชัดเจนก่อนค่อยว่ากันอีกที”
เจินปิงคุกเข่าหลังตรงอยู่บนพื้น นางไม่มองนางหลี่สักนิด ยามเอ่ยเล่าเหตุการณ์ทั้งหมดที่เซียวมั่วอวี่ได้ช่วยตนไว้ แก้มสองข้างก็ร้อนเห่อขึ้นมาเล็กน้อย
“เซียวมั่วอวี่? แม่ทัพเซียวจวนหย่วนเวยโหวผู้นั้นหรือ” นางหลี่หน้าเสียไป “ฮูหยินผู้เฒ่า งานมงคลนี้จะเกิดขึ้นมิได้เด็ดขาดเจ้าค่ะ!”
เจินปิงได้ยินวาจาของนางหลี่ก็ได้แต่ถอนหายใจอยู่ในอกแผ่วเบา ท่านแม่ไม่เห็นด้วยจริงๆ
นางครุ่นคิดมาตลอดคืนด้วยกลัวว่าหากส่งของสิ่งนั้นไปให้เซียวมั่วอวี่ แล้วฝ่ายเขามาสู่ขอ สุดท้ายจะนางหลี่ไล่กลับไป หากเป็นเช่นนั้นคงย่ำแย่ไปกว่าเดิมแน่
แม้นางจะไม่รู้จักบุรุษผู้นั้นอย่างลึกซึ้ง แต่จากวาจาท่าทางแล้ว เขาเป็นคนทระนงผู้หนึ่ง หากมารดาปฏิเสธเขาไป งานมงคลครั้งนี้คงไม่มีทางเกิดขึ้นแน่ ดังนั้นนางจึงอาศัยการมาน้อมทักทายในครั้งนี้เรียนให้ท่านย่าทราบ
ฮูหยินผู้เฒ่าขมวดคิ้วมุ่น “นางหลี่ เจ้าอย่าเพิ่งวู่วาม แม่ทัพเซียวผู้นี้ ข้าเคยได้ยินชื่อเสียงเขามาพอสมควร เห็นว่าเป็นบุรุษหนุ่มที่มีความสามารถโดดเด่น แม้ชาติกำเนิดจะเพียบพร้อมสักเท่าใด แต่รอยตำหนิเล็กๆ ย่อมมิอาจบดบังความงามของหยกได้ ทั้งเขายังมีบุญคุณกับปิงเอ๋อร์ ว่าไปแล้วก็นับเป็นวาสนาอย่างหนึ่ง”
นางหลี่ร้อนใจขึ้นมา “ฮูหยินผู้เฒ่า สงครามเพิ่งจบ แม่ทัพหนุ่มที่โดดเด่นเช่นแม่ทัพเซียวมีตั้งเท่าใดในเมืองหลวง สะใภ้คิดว่ามิใช่เรื่องแปลกอันใด แต่ชาติกำเนิดของเขาออกจะแย่อยู่สักหน่อย ให้ปิงเอ๋อร์แต่งกับเขาก็ออกจะไม่ยุติธรรมกับนางเกินไป”
เจินปิงไม่พูดจา นางเพียงกัดริมฝีปากตนแล้วเงยหน้ามองฮูหยินผู้เฒ่า
เมื่อฮูหยินผู้เฒ่าเห็นสายตาที่แฝงอาการเว้าวอนของหลานสาวก็เอ่ยกับนางหลี่ว่า “รองเท้าคู่นี้จะใส่ได้พอดีหรือไม่ มีเพียงเท้าเท่านั้นที่รู้ อีกอย่างแม่ทัพเซียวก็ช่วยปิงเอ๋อร์ไว้ในตอนกลางวัน ย่อมต้องมีคนเห็นแน่ หากเรื่องแพร่กระจายออกไป ปิงเอ๋อร์จะทำอย่างไรเล่า”
“มันเป็นรถม้าที่จ้างมามิใช่หรือ ในเมื่อไม่มีตราของจวนเจิ้นกั๋วกง ทั้งไม่มีตราจวนเจี้ยนอานปั๋ว แล้วผู้อื่นจะรู้ได้อย่างไรว่าเป็นสตรีตระกูลใด” นางหลี่มีท่าทีอ่อนลงแต่น้ำเสียงยังคงแข็งกระด้างยิ่ง
“เหลวไหล!” ฮูหยินผู้เฒ่าตบโต๊ะคราหนึ่ง “รถม้าที่จ้างมานั้นคนควบม้าไม่มีปากหรือไร ในโลกนี้มีกำแพงใดไร้ลมลอดบ้าง”
เมื่อเห็นว่าฮูหยินผู้เฒ่าจะรับปาก นางหลี่ก็ยิ่งร้อนใจ นางจึงพูดขึ้นทันใดว่า “ฮูหยินผู้เฒ่า ว่าไปแล้วก็บังเอิญนัก ก่อนหน้านี้ไม่นาน เมี่ยวเอ๋อร์ได้แนะบุรุษให้ปิงเอ๋อร์และคนผู้นั้นก็คือแม่ทัพเซียวผู้นี้แล!”
“อ้อ มีเช่นนี้ด้วยหรือ” ฮูหยินผู้เฒ่าเลิกคิ้วขึ้น เห็นชัดว่าสนใจอยู่หลายส่วน
นางเจี่ยงกลับรู้สึกคาดไม่ถึงอยู่เล็กน้อย
เจินปิงที่คุกเข่าอยู่บนพื้นกลับอึ้งงันไป นางมองนางหลี่อย่างไม่อยากจะเชื่อ
ฮูหยินผู้เฒ่าเห็นแล้วก็กวักมือเรียก “ปิงเอ๋อร์ ไม่ต้องคุกเข่าแล้ว มานวดขาให้ย่าเร็ว”
“เจ้าค่ะ” แม้เป็นอากาศในเดือนเจ็ด แต่คุณหนูทั่วไปมักร่างกายบอบบาง คุกเข่านานๆ เช่นนี้ย่อมต้องรู้สึกปวดไม่น้อย เจินปิงลุกขึ้นอย่างว่าง่าย แล้วหยิบไม้นวดนั่งลงบนเก้าอี้ตัวเล็กข้างฮูหยินผู้เฒ่าคอยบีบนนวดให้นาง
“ใช่เจ้าค่ะ ตอนนั้นสะใภ้ตอบปฏิเสธไปแล้ว คิดไม่ถึงว่าเมื่อวานแม่ทัพเซียวกลับกลายเป็นผู้มีพระคุณช่วยชีวิตปิงเอ๋อร์เสียแล้ว เหอะๆ ฮูหยินผู้เฒ่าท่านว่าโลกนี้มีเรื่องบังเอิญเพียงนี้เชียวหรือ สะใภ้คิดว่าเรื่องที่ปิงเอ๋อร์ต้องพบเจออาจเป็นแผนของแม่ทัพเซียวก็เป็นได้เจ้าค่ะ!”
นางหลี่ยิ่งพูดยิ่งรู้สึกว่ามันเป็นความจริง
ได้ยินว่าแม่ทัพเซียวผู้นั้นอายุไม่น้อยแล้ว ตอนนี้กลับยังไม่แต่งภรรยา มิน่าเล่าถึงได้สนใจปิงเอ๋อร์!
คิดถึงตรงนี้นางก็ยิ่งโมโห
เจินเมี่ยวคงเปิดปากบอกกับทางนั้นไปแล้วกระมัง ฮึ คงคิดจะให้บุตรสาวของนางเป็นสะพานเชื่อมสัมพันธ์กระมัง
“บังเอิญจริงๆ” ฮูหยินผู้เฒ่าพยักหน้า
นางหลี่เผยรอยยิ้มออกมา
ฮูหยินผู้เฒ่าถอนหายใจยาวคราหนึ่ง “เดิมข้ายังลังเลอยู่ ในเมื่อแม้แต่เมี่ยวเอ๋อร์ยังเห็นว่าแม่ทัพเซียวดี เช่นนั้นเขาจะต้องเป็นคนดีแน่ งานมงคลครานี้หากเขามาสู่ขอก็ตกลงเถิด”
หา?
รอยยิ้มตรงมุมปากของนางหลี่ถึงกับแข็งค้างไป ดูแล้วน่าขันอยู่หลายส่วน นางได้แต่คำรามร้องลั่นอยู่ในใจ
ฮูหยินผู้เฒ่าท่านได้ยินแค่ครึ่งแรกหรือไร หรือหูหนวกไปแล้ว นางบอกว่า ‘บังเอิญ’ ก็เพื่อจะบอกใบ้ว่าบุรุษสกุลเซียวผู้นั้นตั้งใจก่อเหตุขึ้น มิใช่ให้ท่านตัดสินใจรับปากสักนิด!
“ฮูหยินผู้เฒ่า…ท่านเย้าเล่นกระมัง…”
ฮูหยินผู้เฒ่าหน้าบึ้งขึ้นมา “แต่งงานเป็นเรื่องใหญ่ ข้าจะล้อเล่นได้อย่างไร”
“แต่…แต่เรื่องใหญ่เพียงนี้ น่าจะรอปรึกษาท่านพี่เสียก่อน” นางหลี่กัดฟันเอ่ยอ้างถึงนายท่านรองสกุลเจิน
ฮูหยินผู้เฒ่าเลิกคิ้วขึ้น แล้วเอ่ยอย่างวางอำนาจว่า “เมื่อเขากลับมาก็บอกให้ทราบเท่านั้น มีอันใดต้องปรึกษา หรือเรื่องงานมงคลของหลานสาว ข้าผู้เป็นย่าไม่มีสิทธิ์จัดการแทน”
เมื่อเอ่ยถึงเรื่องนี้นางก็ยิ่งโมโห หากมิใช่เพราะนางหลี่วิ่งวุ่นหาคนไม่เข้าท่าให้ปิงเอ๋อร์แต่งออกไป เจ้ารองไหนเลยจะรีบร้อนเลือกบุตรชายของสหายร่วมงานตนมา ทั้งยังเลือกได้ชายตัดแขนเสื้อมาอีก หากมิใช่เพราะเมี่ยวเอ๋อร์บังเอิญรู้ทราบเข้าก่อน ชีวิตของปิงเอ๋อร์คงได้ย่อยยับไปตลอดกาลแน่
ว่าไปแล้วเมี่ยวเอ๋อร์ก็นับว่าเป็นดาวนำโชคของปิงเอ๋อร์ ในเมื่อเป็นคนที่เมี่ยวเอ๋อร์หมายตา คิดว่าคงไม่เลวเลยทีเดียว
ฮูหยินผู้เฒ่าตัดสินใจได้ทันที เมื่อเห็นว่านางหลี่ยังคิดจะโต้แย้งก็ชำเลืองมองนางด้วยสายตาดุดัน ทำให้นางหลี่ตกใจจนไม่กล้าเอ่ยอันใดอีก ได้แต่ลอบขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน
เจินปิงจึงโล่งอกลงได้จนน้ำตารื้น
เมื่อเรื่องนี้เป็นอันตกลงกันได้แล้ว ฮูหยินผู้เฒ่าจึงถามเจินปิงว่า “เขาบอกหรือไม่ว่าจะมาสู่ขอเมื่อใด”
เจินปิงหน้าแดงเรื่อ“บอกว่าเร็วๆ นี้แต่มิได้ระบุวันแน่นอนเจ้าค่ะ”
คนผู้นั้นบอกว่าเมื่อเห็นของ สองวันให้หลังจะมาสู่ขอ นับดูแล้วก็เป็นพิธีอาบน้ำทารกของบุตรทั้งสองของพี่สี่พอดี หากเขาส่งคนมาสู่ขอจริงๆ คงต้องให้เลื่อนออกไปอีกวันแล้ว
นางเพียงเล่าเหตุการณ์ที่เซียวมั่วอวี่ช่วยนาง แต่ย่อมมิได้เล่าถึงการกระทำอันอาจหาญที่ทั้งสองไปพูดคุยหารือกันในโรงน้ำชาออกมาด้วย
“เช่นนั้นก็รอก่อนเถิด ฝ่ายสตรีควรต้องสงวนท่าทีไว้สักหน่อย” ฮูหยินผู้เฒ่าเอ่ยเสียงเรียบ
หลังจากออกจากเรือนหนิงโซ่ว นางหลี่ก็หน้าบึ้งใส่เจินปิงไปตลอดทาง แต่นางมิได้ใส่ใจ เมื่อถึงห้องก็เรียกให้สาวใช้คนสนิทเอาของบางอย่างไปให้คนที่ไว้ใจได้ส่งไปจวนหย่วนเวยโหว
เซียวมั่วอวี่ได้รับของสิ่งนั้นแล้วก็เก็บมันไว้ด้วยสีหน้านิ่งเฉย แต่วางมือสัมผัสกับเทียบเชิญอันวิจิตรที่วางอยู่บนโต๊ะก็ยิ้มออกมา
เขาเพิ่งได้รับเทียบเชิญให้ไปร่วมพิธีอาบน้ำทารกของแม่ทัพหลัว ทั้งกำลังปวดหัวว่าหากแม่นางผู้นั้นให้ไปสู่ขอ คงยากจะจัดสรรเวลาแน่ คิดไม่ถึงว่านางกลับส่งข่าวมาเช่นนี้
อ้อ นางเป็นน้องสาวของจยาหมิงเซี่ยนจู่ วันนั้นนางก็ต้องไปเช่นกัน
ภายในจวนเฉินอ๋องก็มีคนคิดบางอย่างขึ้นมาเช่นกันเมื่อเห็นเทียบเชิญอันวิจิตรนั้น
จ้าวเฟยชุ่ยที่งดงามหยาดเยิ้มมากขึ้นเรื่อยๆ ตามอายุนั้นชำเลืองมองเจินจิ้งอย่างคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม “จิ้งอี๋เหนียง ว่าไปแล้วคุณหนูจวนเจี้ยนอานปั๋วนี้ก็ช่างตั้งครรภ์เก่งนัก แค่ไม่กี่ปีเจ้าก็มีทั้งบุตรชายบุตรสาว ส่วนน้องสี่เจ้าตั้งครรภ์ครั้งเดียวมีบุตรชายถึงสองคน ช่างน่าอิจฉาจริงๆ”
เจินจิ้งฟังแล้วก็โมโหยิ่ง
เรียกนางว่าจิ้งอี๋เหนียงหรือ นางเป็นชายารองแท้ๆ! สตรีผู้นี้ช่างน่ารังเกียจนัก นางไม่เข้าใจจริงๆ ว่าจ้าวเฟยชุ่ยแต่งเข้ามาสองปีกว่าแล้ว ท่านอ๋องมิใคร่แตะต้องนางเท่าใดนัก แต่นางกลับใช้ชีวิตอย่างมีความสุขเหลือเกิน! หากเป็นนางคงกลุ้มใจตายไปแล้ว
เจินจิ้งข่มกลั้นโทสะไว้แล้วเอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “น้องสี่วาสนาดี ทั้งรักใคร่กับหลัวซื่อจื่อยิ่ง จึงได้มีบุตรชายพร้อมกันถึงสองคน”
นางพูดแล้วนัยน์ตาคู่งามก็หันไปมองท่าทีของจ้าวเฟยชุ่ยอย่างเฉยเมย
จ้าวเฟยชุ่ยเลิกคิ้วขึ้นอย่างไม่เห็นมีสิ่งใด “ถูกของเจ้า พรุ่งนี้ข้าจะไปเยี่ยมดูสักหน่อย แต่น่าเสียดายที่แม้เจ้าจะเป็นพี่สามของนางแต่กลับไม่มีโอกาสได้ไปเยี่ยม”
เจินจิ้งได้ยินก็โกรธจนแทบกระอักโลหิตออกมา แต่ยังคงข่มไว้มิให้เผยสีหน้าใดออกมา เมื่อกลับถึงเรือนก็ทุบหมอนเป็นการใหญ่ หลังจากปาดน้ำตาจนแห้งนางก็แสร้งทำเป็นสตรีงดงามใจกว้างยกน้ำแกงไปให้องค์ชายหกที่ห้องตำรา
“อ้อ เจ้าก็อยากไปจวนเจิ้นกั๋วกงหรือ”
เจินจิ้งก้มหน้าลง “อืม ท่านอ๋อง อย่างไรหม่อมฉันก็เป็นพี่สาวของจยาหมิงเซี่ยนจู่ แม้ฐานะต่ำไปสักหน่อย แต่พิธีอาบน้ำของหลานทั้งสอง หม่อมฉันก็อยากไปดูสักครา”
องค์ชายหกเม้มริมฝีปาก ไม่พูดอันใดอยู่ครู่หนึ่ง
“หากท่านอ๋องกังวลว่าพระชายาจะโกรธ หม่อมฉันมิไปก็ได้” เจินจิ้งช้อนตาขึ้นขึ้นมององค์ชายหกคราหนึ่ง
องค์ชายหกมองเจินจิ้งด้วยใบหน้าคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม
“เหตุใดท่านอ๋องถึงมองหม่อมฉันเช่นนั้นเล่า” เจินจิ้งก้มหน้าลงด้วยขลาดเขิน
“ข้ามิได้กลัวพระชายาโกรธ…”
“ท่านอ๋อง…” นัยน์ตาเม็ดซิ่งของเจินจิ้งไหววูบคราหนึ่ง ความหวานหลายส่วนเอ่อล้นขึ้นในใจ
ท่านอ๋องห่วงความรู้สึกของนางจริงๆ ด้วย ต่อให้จ้าวเฟยชุ่ยจะวางอำนาจเพียงใดก็เป็นเพียงคนน่าสงสารที่มิได้รับความรักใคร่โปรดปรานคนหนึ่ง เหอะๆ ผู้ใดจะหัวเราะได้จนถึงเวลาสุดท้ายมันก็ไม่แน่แล้ว
มุมปากองค์ชายหกเคลือบด้วยรอยยิ้ม น้ำเสียงพลันเปลี่ยนไป “แต่ก่อนหน้านี้ที่เจ้าพบกับจยาหมิงมักจะทำให้นางไม่ค่อยพอใจ เจ้ามิจำเป็นต้องไปเลยอยู่ดูแลเจินเจินกับผิงเกอที่นี่เถิด อ้อ แต่หากเจ้ารู้สึกไม่ดีก็เอาของขวัญมาให้ข้าได้ ประเดี๋ยวข้าจะมอบมันให้นางแทนเจ้าเอง”
รอยยิ้มที่มุมปากเจินจิ้งถึงกับแข็งค้างไปเลยทีเดียว
ผู้ใดอยากจะไปร่วมพิธีอาบน้ำของเด็กของคนนั้นกัน นางแค่อยากจะทำให้จ้าวเฟยชุ่ยขายหน้าเท่านั้น!
เมื่อกลับถึงเรือน เจินจิ้งยิ่งคิดยิ่งเบื่อหน่าย มิได้ไปจวนเจิ้นกั๋วกงยังไม่พอ แต่ยังต้องหาของขวัญล้ำค่าอีกชิ้น ไม่ใช่…สองชิ้นต่างหาก!
หึ ความหมายของท่านอ๋องคือไม่กลัวพระชายาโมโห แต่กลัวเจินเมี่ยวโกรธงั้นหรือ
หลังจากเจินจิ้งเข้าใจความหมายในวาจาขององค์ชายหก นางก็ร้องไห้จนแทบหมดสติไปอยู่บนเตียง