กู้ชูหน่วนสตรีอัปลักษณ์ บทที่ 1018
กู้ชูหน่วนเหลือบมองใบหน้าที่ซีดเผือดของลั่วอิ่ง นางคว้าตัวลั่วอิ่งและฝูกวง “ไปกันเถอะ เราไปกินที่อื่นกัน”
“นี่ เกี๊ยวน้ำเสร็จแล้ว ยังไม่จ่ายเงินเลย”
“เอาเกี๊ยวไปใส่ถุง นี่เงินสิบห้าเหวิน”
“ใส่ถุงหมายความว่ายังไง?”
“ก็คือช่วยเอาไปห่อให้หน่อย ข้าจะเอากลับไปกินที่บ้าน”
“ไม่ได้หรอก ถ้วยนี้ราคาตั้งเจ็ดเหวิน เกี๊ยวราคาเพียงห้าเหวินเท่านั้น”
ลั่วอิ่งไม่ชอบให้ใครมาโดนตัว เขาหลบกู้ชูหน่วนและถอยไปสองสามก้าว “กินที่นี่แหละ”
ตั้งแต่ที่รู้จักกันมาเขาก็รู้ดีว่ากู้ชูหน่วนเป็นคนตระหนี่มากแค่ไหน นางนำเงินที่ได้มาใช้จ่ายไปกับราษฎรทุกคน ฝูกวงลูบท้ายทอยและอดหัวเราะไม่ได้ “กินที่นี่ดีกว่า เจ็ดเหวินกินได้อีกตั้งถ้วยหนึ่งเชียว”
ก็แค่อยู่ให้ห่างพวกเขาหน่อย หากออกไปตอนนี้ลั่วอิ่งคงคิดมากไปกว่านี้แน่ กู้ชูหน่วนลังเลครู่หนึ่ง “ก็ได้ เราไปนั่งกันตรงนู้น”
กู้ชูหน่วนถือถ้วยเกี๊ยวและเดินหาโต๊ะที่ไกลออกไปและขณะกำลังจะนั่งลงก็มีขอทานคนนหึ่งมาชนนาง เพราะเขาชนมาด้วยความเร็วทำให้กู้ชูหน่วนไม่ทันตั้งตัว และถูกเขาชนเข้าอย่างจัง เกี๊ยวที่เพิ่งทำเสร็จใหม่ร้อนๆ กู้ชูหน่วนเกรงว่าน้ำร้อนจะลวกไปโดนตัวขอทาน จากนั้นจึงคว้าตัวขอทานคนนั้นและดึงเขาหมุนตัวออกไป ทำให้น้ำเกี๊ยวไม่ได้ลวกตัวขอทาน ทว่ากลับลวกไปโดนแบขของนางและเกิดเจ็บปวดบวมแดงขึ้นทันที ลั่วอิ่งชักดาบออกมาคิดจะจัดการกับเขา กู้ชูหน่วนกลัวว่าเขาจะถูกฆ่าจึงรีบตะโกนออกมา “หยุดเดี๋ยวนี้ อย่าทำร้ายเขา”
“นายท่าน”
ฝูกวงของขอทานอย่างไม่เป็นมิตรและหยิบยาบรรเทาน้ำร้อนลวกออกมาส่งให้กู้ชูหน่วน จากนั้นก็ทายาให้กับกู้ชูหน่วน “เจ้าไม่เป็นอะไรใช่ไหม?”
กู้ชูหน่วนปล่อยมือออกจากขอทานและถามไถ่ เสื้อผ้าของขอทานสกปรกมอมแมมและผมเผ้ารกรุงรัง เพราะร่างกายของเขาสกปรกอย่างมาก ทำให้มองไม่เห็นใบหน้าที่แท้จริง คาดเดาได้ว่าอาจจะเป็นเด็กหนุ่มคนหนึ่ง สิ่งที่ทำให้กู้ชูหน่วนประหลาดใจก็คือแววตาของเขาเป็นประกายสว่างไสวอย่างมาก เสมือนแววตาของอาม่อไม่มีผิด ไม่….แม้ว่าแววตาของเขาจะเปล่งประกายระยิบระยับ แต่แววตาของเขาก็มีความเย่อหยิ่งและไม่เหมือนกับขอทานคนอื่นๆ ทั่วไป ขอทานรู้สึกตกใจอย่างมากและเป็นเวลานานกว่าจะดึงสติขึ้นมาได้ “ทำไมเจ้าถึงมาขวางทางข้า แถมยังล่วงเกินข้าอีกด้วย”
เมื่อได้ยิน ทุกคนรอบๆ ก็ต่างมองไปที่ขอทาน ขอทานคนนี้อายุไม่มากแต่ปากของเขาช่างร้ายกาจอย่างมาก คนอื่นยืนอยู่เฉยๆ ทว่าเขากลับมาชนกระแทกคนอื่นเอง คนอื่นยังเอาตัวเข้าช่วย แต่ดันได้รับบาดเจ็บซะเอง คนอื่นยังไม่ทันคิดบัญชีกับเขา แต่เขากลับลอบกัดคนอื่นก่อน หากเป็นเมื่อก่อนกู้ชูหน่วนคงโมโหและด่ากลับแน่ แต่ไม่รู้เพราะอะไรเมื่อเห็นแววตาคู่นั้นของเขาที่ดูคุ้นเคยและแปลกตานางก็กลับพูดไม่ออก นางกุมหัวใจของตัวเองไว้และในหัวก็พยายามนึกภาพแววตาคู่ที่เหมือนกับเขาคนนี้ ทว่าคิดยังไงก็คิดไม่ออก “เรารู้จักกันมาก่อนหรือไม่?”
“ข้าเพิ่งมาถึงรัฐปิง ข้าจะรู้จักเจ้าได้อย่างไร”
“ถ้าไม่รู้จัก เช่นนั้นเหตุใดข้าต้องล่วงเกินเจ้าด้วย”
“แต่เจ้าล่วงเกินข้าจริงๆ”
“ไปซะ เป็นแค่ขอทานอย่ามาขัดขวางการทำมาหากินของข้า แม่นางคนนี้พูดง่ายแต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเจ้าจะทำอะไรก็ได้ นางไปล่วงเกินเจ้าอย่างไรหรือ? ต่อให้ต้องล่วงเกินก็ต้องหาคนที่หล่อเหลาสง่างาม เจ้าเป็นเพียงขอทานที่สกปรกและเหม็นเน่า ยืนอยู่ตรงหน้าข้า ข้ายังรู้สึกโชคร้ายเลย”
เถ้าแก่พูดอย่างไม่เกรงใจและคิดจะไล่เขาออกไป
ขอทานกระทืบเท้าเถ้าแก่และเถ้าแก่ก็ร้องออกมาเหมือนหมูถูกเชือด ขอทานทำหน้าบูดบึ้งใส่เขา ดวงตาใสเปล่งประกายของเขายิ้มออกมากลายเป็นพระจันทร์เสี้ยว
เมื่อเห็นว่าเถ้าแก่กำลังจะแสดงอารมณ์โกรธ กู้ชูหน่วนก็รีบคว้าตัวขอทานและวิ่งหนีออกไป และมีเพียงเถ้าแก่ที่ยังตะโกนด่าอยู่ตรงนั้น
ไม่รู้ว่าวิ่งไปไกลมากแค่ไหนกู้ชูหน่วนจึงหยุดลง
ขอทานเหนื่อยหอบและด่าทอ “เหตุใดเจ้าต้องลากข้าวิ่งออกมาด้วย ข้ายังกระทืบไม่พอเลย”
“ไม่เห็นหรือว่าสองฝั่งของเถ้าแก่ร้านเกี๊ยวยังมีคนขายลูกกรงหน้าต่างและเครื่องเหล็กที่จ้องมองอย่างเกรี้ยวกราด หากข้าเดาไม่ผิด ชายร่างกำยำเหล่านั้นจะต้องเป็นพวกเดียวกับเถ้าแก่แน่”
“เช่นนั้นก็ไม่ต้องการให้เจ้าช่วยข้า”
“จ๊อก จ๊อก…..”
ท้องของขอทานคนนั้นร้อง
กู้ชูหน่วนหัวเราะ “ที่นั่นก็มีร้านค้า ข้าเลี้ยงอาหารเจ้าสักมื้อดีไหม?”
“ดี”
ขอทานนั่งลงอย่างไม่เกรงใจและสั่งบะหมี่เนื้อหนึ่งชามและขอให้ใส่เนื้อและเส้นมาอย่างละครึ่งชาม
ฝูกวงกล่าวอย่างไม่พอใจ “นายท่าน ก็แค่คนแปลกหน้าเท่านั้น ท่านทำเช่นนี้ไม่เกินไปหน่อยหรือ?”
“เจ้าไม่คิดว่าเขาหน้าคุ้นอย่างนั้นหรือ?”
“ไม่”
คนที่พวกเขารู้จักในดินแดนวิญญาณเยือกแข็งนี้มีน้อยมาก
มีหรือจะไปรู้จักขอทานคนหนึ่งได้
แม้แต่ฝูกวงเองก็รู้สึกว่าเสียเวลาเปล่าที่อยู่กับขอทานคนนี้ สู้เอาเวลาไปตามหาดวงวิญญาณของนายท่านกู้จะดีเสียกว่า
“ดวงตาคู่นั้นของเขาเหมือนข้าจะเคยเห็นมาก่อน ทว่าเจ้าของแววตาคู่นั้นเป็นคนสุภาพอ่อนโยน”
หนึ่งชาม
สองชาม
สามชาม
สี่ชาม
ห้าชาม
พูดไปได้ไม่นาน ขอทานคนนี้ก็กินไปแล้วห้าชาม
เขาหิวมาก ทว่าท่าทางการกินของเขาไม่ได้ดูมูมมามแต่อย่างใด แต่กลับดูสง่างามเรียบร้อยและยากที่จะนึกได้ว่าเป็นพฤติกรรมการกินของขอทานคนหนึ่ง
ฝูกวงกล่าวเตือน “นายท่าน บะหมี่นี้ชามละยี่สิบเหวิน เขากำลังกินชามที่หกแล้ว”
“ยี่สิบเหวิน เหตุใดถึงแพงเช่นนี้?”
“ยี่สิบเหวินถือว่าถูกมากแล้ว ท่านไม่เห็นหรือว่าเขาเพิ่มเนื้อไปมากแค่ไหน”
กู้ชูหน่วนรู้สึกปวดหัวอย่างมาก
ช่วงนี้นางจำเป็นต้องใช้เงิน เงิน เงิน
แค่ออกนอกทำธุระและหาอะไรกินเล็กๆ น้อยๆ ก็ต้องจ่ายเงินมากมายเช่นนี้ รู้เช่นนี้ไปขอข้าวบ้านขุนนางกินจะดีเสียกว่า
“เถ้าแก่ เอามาอีกสามชาม เอาเส้นอย่างเดียวไม่เอาเนื้อ”
“แม่นาง เจ้าแน่ใจหรือว่าเอาแค่เส้นบะหมี่เท่านั้น ไม่เอาเนื้อ?”
“ใช่”
ทุกคนต่างมองไปที่กู้ชูหน่วน
คนพวกนี้เป็นอะไรกันไปหมด?
ขอทานกินเข้าไปจำนวนมาก
ทว่าเจ้านายกลับกินแค่บะหมี่เปล่า
หรือว่ากินดีอยู่ดีมาเยอะแล้ว ก็เลยลองมากินอะไรธรรมดาๆ ดูบ้าง?
ขอทานนำชามที่เจ็ดมาวางซ้อนกันและลูบท้องของตัวเอง “อิ่มเหลือเกิน เนื้อวัวของร้ายนี้อร่อยมาก เหตุใดเจ้าถึงไม่กินล่ะ”
กู้ชูหน่วนแบะปาก
นางก็อยากจะกิน
แต่นางกลับไม่กิน
ทรัพย์สินที่นางมีทั้งหมดได้นำออกไปใช้กับราษฎรทั้งหมดแล้ว นางจะมีให้กินอีกหรือ
“ช่วงนี้ลดความอ้วน ข้าเลยไม่กินเนื้อ”
“เจ้าก็ไม่ได้อ้วนนี่นา”
“เจ้าก็ไม่ใช่ขอทาน เหตุใดถึงต้องแสร้งทำตัวเป็นขอทานด้วย”
“ข้าเป็นขอทาน”
“ขอทานที่ไหนจะมีชิ้นส่วนของหยกขาวโบราณไว้กับตัว”
กู้ชูหน่วนมองไปยังบริเวณหน้าอกของเขา
ขอทานคนนั้นรีบแอบซ่อนชิ้นส่วนหยกขาวโบราณเพื่อไม่ให้คนสังเกตเห็น
“เจ้าเดินมาชนข้าและได้เจอกับข้า เจ้ามีเรื่องกับเถ้าแก่ร้านเกี๊ยวและข้าได้ช่วยเจ้าไว้ และตอนนี้เราก็มานั่งกินอาหารร่วมกัน นี่นับว่าเป็นพรหมลิขิตหรือไม่?”
“ก็คงใช่กระมัง”
“เช่นนั้นเจ้าทำให้ข้าได้เห็นใบหน้าที่แท้จริงของเจ้าได้หรือไม่”