ราชันเร้นลับ 576 : ห้องคอลเลกชั่นของพลเรือโทธารน้ำแข็ง โดย Ink Stone_Fantasy
เธอกำลังสงสัยเรา?
ไคลน์จ้องตาเอ็ดวิน่าโดยไม่เบือนหนี
หลังจากได้ยินว่าเดนิสเปิดเผยเรื่องที่ตนสังเวยบางสิ่งให้คาเวทูว่าก่อนตาย ไคลน์เตรียมพร้อมรับมือแรงกระแทกทางจิตใจทุกรูปแบบ หากตอนนี้กำลังนั่งบนโซฟา มันคงยกเท้าขวาขึ้นมาไขว่ห้าง เอนหลังพิงเบาะ สองมือประสานด้านหน้า และมอบคำตอบด้วยเสียงทุ้มลึก
ชายหนุ่มเผยรอยยิ้ม ยกแขนซ้าย และกล่าวอย่างเป็นกันเอง
“ถุงมือข้างนี้มีชื่อว่า… ยุบพองหิวโหย”
ไคลน์เชื่อว่า เดนิสที่เคยเห็นตนต่อสู้หลายครั้ง คงอธิบายรายละเอียดถุงมือให้พลเรือโทธารน้ำแข็งทราบอย่างต่อเนื่อง และด้วยความที่เธอรู้จักกับพลเรือโทวายุ คีลิงเกอร์ การจะเดาให้ถูกว่าเป็นยุบพองหิวโหยก็คงไม่ใช่เรื่องยาก ในเมื่อเป็นเช่นนั้น ไคลน์มองว่าการชิงเปิดเผยความลับก่อน ดีกว่าการถูกอีกฝ่ายเปิดโปง
ชายหนุ่มจงใจกล่าวถึงยุบพองหิวโหยเพราะหวังผลสองประการ หนึ่ง บอกเป็นนัยว่า ตนมีองค์กรลับอยู่เบื้องหลัง เป็นองค์กรที่สามารถจัดการกับพลเรือโทวายุ คีลิงเกอร์ อย่างง่ายดาย ขณะเดียวกันก็คอยชักใยอยู่เบื้องหลังเหตุการณ์คาเวทูว่าร่วงหล่น และมีตัวตนระดับที่สามารถมอบวิวรณ์แก่สาวกเทพสมุทรได้ สอง ตักเตือนเอ็ดวิน่า ว่าอย่าริอ่านสืบสวนเกี่ยวกับเรื่องนี้ อย่าพยายามขุดคุ้ยอดีต มิฉะนั้น จุดจบจะไม่ต่างกับเจ้าของถุงมือคนก่อน พลเรือโทวายุ คีลิงเกอร์
ไคลน์ยังคงรักษาภาพลักษณ์เกอร์มัน·สแปร์โรว์ที่มันสร้างมานาน ไม่ข่มขู่คุกคามอีกฝ่าย แต่ก็ไม่ยอมถูกกระทำฝ่ายเดียว เป็นท่าทีตอบสนองที่เรียบง่ายแต่ได้ผล อีกทั้งยังแฝงความบ้าบิ่นอันเป็นเอกลักษณ์
เอ็ดวิน่าผงกศีรษะ เปลี่ยนหัวข้อสนทนา
“ฉันมีแผนจะให้ความช่วยเหลือกลุ่มต่อต้านบนหมู่เกาะรอสต์ โดยมุ่งเน้นด้านอาหารและเครื่องนุ่งห่ม”
ช่วยเหลือ…? องค์กรลับเบื้องหลังเธอเป็นศัตรูกับอาณาจักรโลเอ็น? หรือเป็นอริกับโบสถ์วายุสลาตัน?
ไคลน์ยิ้ม ตอบกลับอย่างสุภาพ
“เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับผม”
อย่าหลอกถามให้ยาก… มันเสริมในใจ
เอ็ดวิน่ามองไปด้านข้าง ชี้ปลายนิ้วไปทาง ‘เพลิงพิโรธ’ เดนิส ผู้กำลังดื่มเบียร์พลางแอบชำเลืองการสนทนาเป็นระยะ
“ฉันจะให้เขาเป็นตัวแทนคอยประสานงานกับกลุ่มกบฏ หน้าที่หลักคือการนัดแนะเวลาและสถานที่ รวมถึงการจัดหาท่าเรือส่วนตัว… หวังว่าทางคุณจะช่วยมอบความคุ้มครองให้เขาได้”
พรวด… น้ำตกสีทองพวยพุ่งจากปากเดนิส
ฮ่าฮ่า! พรวด! โครม! โครม!
โจรสลัดสองคนด้านข้างหัวเราะอย่างสะใจจนหงายหลังล้มตึง ปากพ่นเบียร์ที่เพิ่งดื่ม ศีรษะฟาดพื้นดาดฟ้าเรือจนเกิดเสียงโครม
คนหนึ่งผิวเข้ม มันวาวเหมือนกับโลหะ อีกคนค่อนข้างอวบ อาจมิได้อ้วนไปทั้งตัว แต่บริเวณเอวปราศจากส่วนเว้า
เอ็ดวิน่าเบือนสายตากลับ จ้องไคลน์ และอธิบายเสริมด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล
“ในฐานะนักผจญภัย คุณคงไม่ปฏิเสธงานที่มีค่าตอบแทนน่าสนใจหรอกใช่ไหม”
เป็นข้ออ้างที่ดี… ไคลน์ยิ้มรับ
“แน่นอน”
ชายหนุ่มมิได้ตั้งคำถามว่าอีกฝ่ายจะจ้างเท่าไร และดูเหมือนเอ็ดวิน่าก็ลืมแจ้งราคาเช่นกัน
โจรสลัดสาวสวยทรงปัญญาเปลี่ยนหัวข้อการสนทนาอีกครั้ง
“เซนอลส่งข้อความมาว่า เขาต้องการซื้อกุญแจยักษ์ที่ฉันค้นพบ ในราคาห้าพันปอนด์”
ชื่อของมันคือ ‘กุญแจแห่งมรณา’ มีลักษณะเป็นกุญแจสีดำสนิท ขนาดใหญ่ เกือบทำให้เดนิสต้องสิ้นชีวิตในบายัม ไคลน์สันนิษฐานว่า ไม่เพียงกุญแจดอกดังกล่าวจะเป็นสมบัติของยุคสมัยที่สอง แต่ยังอาจเกี่ยวพันกับวังราชาคนยักษ์
เธอกำลังพูดเพื่อหยั่งเชิงเรา เผื่อว่าทางนี้จะเสนอราคาแข่งกับเซนอล…
ไคลน์ครุ่นคิด ภายในใจพึมพำ :
ห้าพันปอนด์… ยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่ากุญแจดอกดังกล่าวจะเกี่ยวกับวังราชาคนยักษ์จริงไหม ถ้าผลออกมาว่าไม่ใช่ เรานำมาคืนได้รึเปล่า?
อีกทั้ง ตอนนี้ยังมีข้อมูลไม่เพียงพอ การนำขึ้นไปทำนายบนห้วงมิติเหนือสายหมอก ก็คงไม่ได้รับคำตอบใดกลับมา…
…หากวิเคราะห์จากเหตุและผล ถ้ากุญแจดอกดังกล่าวไม่เกี่ยวกับวังราชาคนยักษ์ แต่เป็นสมบัติชิ้นอื่น นั่นคงไม่เกิดประโยชน์อันใดกับเรา ไม่สิ ยังมีประโยชน์อยู่หนึ่งข้อ คือการได้ขัดแข้งขัดขาพลเรือเอกโลหิต ออกแนวสุนัขหวงก้าง… ในทางกลับกัน ถ้ากุญแจเกี่ยวข้องกับวังราชาคนยักษ์จริง เซนอลก็จะไม่มีวันใช้ประโยชน์จากกุญแจได้เลย เพราะวังราชาคนยักษ์อยู่ในดินแดนเทพทอดทิ้ง… ในเมื่อเรามีแผนล่ามันอยู่แล้ว หากเซนอลซื้อไป และเราฆ่ามันได้ในภายหลัง ก็จะหมายความว่า เราได้กุญแจดอกนี้ฟรีโดยที่มันช่วยเก็บรักษาไว้เป็นอย่างดี…
อาจฟังดูเพ้อฝัน แต่ก็ไม่ถึงกับเป็นไปไม่ได้
ไคลน์ก้มหน้าประมวลผล
“มันอาจเกี่ยวข้องกับความลับที่สำคัญมาก”
ชายหนุ่มพูดเพื่อบอกเป็นนัยว่า อย่าได้ขายให้พลเรือเอกโลหิตเด็ดขาด เพราะเรื่องนี้เกี่ยวพันกับความสงบสุขของโลก หากเซนอลซื้อกุญแจไปและได้กอบโกยผลประโยชน์ จนสามารถยกระดับตัวเองกลายเป็นครึ่งเทพ หายนะอีกหลายเรื่องคงได้ตามมาเป็นพรวน
เอ็ดวิน่ายืนไตร่ตรองหลายวินาที แต่สุดท้ายก็ตัดสินใจไม่พูดประเด็นเก่า เพียงหมุนครึ่งตัวและชี้ไปทางห้องโดยสาร
“ดิฉันเตรียมอาหารเช้าให้คุณแล้ว”
“ขอบคุณมาก” ไคลน์ถอดหมวก โค้งศีรษะ
ระหว่างทาง ชายหนุ่มนึกทบทวนบทสนทนาเมื่อครู่ไปพลาง เพื่อสืบหาว่า เอ็ดวิน่าชักชวนตนขึ้นมาบนเรือทำไม
เธอทราบว่าเกอร์มัน·สแปร์โรว์เป็นตัวตนปลอม เธอสงสัยว่าถุงมือของเราน่าจะเป็นยุบพองหิวโหย เธอทราบว่าเราสังเวยบางสิ่งให้คาเวทูว่าก่อนมันจะตาย เธอทราบว่าสาวกเทพสมุทรยังคงได้รับวิวรณ์หลังจากนั้น เมื่อนำปัจจัยทั้งหมดมารวมกัน เธอคงเดาได้ไม่ยาก ว่ามีองค์กรใหญ่สักแห่งคอยหนุนหลังเราอยู่…
องค์กรลับเบื้องหลังเอ็ดวิน่าอาจกำลังสนใจในตัวเรา หรืออาจเป็นความระแวง จึงส่งเธอมาลองสัมภาษณ์เพื่อหยั่งเชิง?
อย่างไรก็ตาม ท่าทีของพวกเขายังเป็นมิตร ดูได้จากการยอมสนับสนุนกลุ่มต่อต้านบนหมู่เกาะรอสต์ ประหนึ่งต้องการร่วมมือกับองค์กรลับที่อยู่เบื้องหลังเรา… ความไม่รู้คือบ่อเกิดของความหวาดกลัวเสมอ… จนกว่าสถานการณ์จะชัดเจน มีโอกาสน้อยมากที่พลเรือโทธารน้ำแข็งจะลงมือกับเราอย่างบุ่มบ่าม…
ฮะฮะ… แต่ใครจะไปคิดว่า องค์กรลับที่ทุกคนเกรงกลัว แท้จริงแล้วเพิ่งก่อตั้งได้ประมาณครึ่งปี และมีสมาชิกยังไม่ถึงสิบคน ต่อให้รวมเดอะเวิร์ลกับมิสซิล ผู้ที่มีพันธะดวงดาวแต่ไม่เคยเข้าร่วมชุมนุมเข้าไปแล้วก็ตาม…
หากคนเหล่านั้นรู้เข้า คงได้สติแตกจนคลุ้มคลั่งคาที่เป็นแน่แท้…
ขณะสมองกำลังโลดแล่น ไคลน์เดินเข้าไปในห้องโดยสาร ผ่านทางเดินมืดสลัว สองฝั่งมีประตูไม้บานแล้วบานเล่า
ชายหนุ่มเดินตามเอ็ดวิน่าขึ้นไปยังชั้นสองที่มีบรรยากาศสว่างเดิมพอสมควร
แต่ก่อนจะถึงห้องอาหารโจรสลัด ไคลน์เห็นห้องห้องหนึ่งมีประตูเปิดค้างไว้ครึ่งบาน
ชายหนุ่มมองเข้าไปตามปรกติ และพบกับกุญแจสีดำขนาดใหญ่ถูกวางอยู่บนโต๊ะไม้อย่างเรียบง่าย
“ที่นี่คือหลักฐานยืนยันความสำเร็จในการล่าสมบัติพวกเรา ส่วนใหญ่เก็บไว้เพื่อระลึกความทรงจำ แต่ก็มีบางส่วนถูกเก็บไว้เพื่อศึกษาวิจัยเพิ่มเติม เนื่องจากยังไม่ทราบคุณค่าที่แท้จริง”
แม้สีหน้าของเอ็ดวิน่าจะค่อนไปทางเย็นชา แต่เธอตั้งใจอธิบายอย่างถี่ถ้วน คล้ายกับกังวลว่าผู้ฟังจะเข้าใจไม่กระจ่าง
ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อเธอพูดคำว่า ‘วิจัย’ ออกมา ดวงตาของหญิงสาวราวกับกำลังส่องประกาย
ห้องเก็บหลักฐานการล่าสมบัติ?
ไคลน์มองเข้าไปข้างใน
เอ็ดวิน่าผลักประตูจนเปิดกว้าง จากนั้นก็ไล่เดินอธิบาย
“นี่คือเหรียญทองจากจักรวรรดิโซโลมอนแห่งยุคสมัยที่สี่”
ไคลน์มองตาม และพบเหรียญทองถูกเก็บรักษาไว้ในกรอบอย่างดี
ผิวโลหะมีสีทองเข้ม ลักษณะคล้ายกับถูกประกอบจากแผ่นครึ่งวงกลมสองชิ้นที่มีขนาดไม่เท่ากัน หน้าเหรียญสลักภาพมงกุฎยอดแหลม แบบเดียวกับที่นาสต์ ราชาแห่งห้าห้วงสมุทร สวมใส่ทุกประการ
เอ็ดวิน่าอธิบายทุกสิ่งภายในห้องอย่างละเอียดและตั้งใจ ราวกับเธอเป็นเจ้าของคอลเลกชั่นที่ชื่นชอบการอวดโอ่ ทำเอาไคลน์นึกถึงคนรู้จักคนหนึ่ง มิสเตอร์เนตรแห่งปัญญาเฒ่า นักสืบเอกชนคนดัง ไอเซนการ์ด·สแตนธอน
มีนิสัยชอบอวดสมบัติเหมือนกัน… พวกคนบ้าสะสมเป็นแบบนี้กันหมดเลยหรือ… ไม่สิ มิสเตอร์ไอเซนการ์ดเคยเล่าว่า เขาย้ายไปเรียนที่ลุนเบิร์กนานถึงสี่ปี ขณะเดียวกัน พลเรือโทธารน้ำแข็ง เอ็ดวิน่า·เอ็ดเวิร์ด ก็ถูกระบุว่ามีพื้นเพมาจากอาณาจักรลุนเบิร์กเช่นกัน… ถ้าจำไม่ผิด ศาสนาหลักของลุนเบิร์กคือโบสถ์ปัญญาความรู้ ไอเซนการ์ดเป็นคนเล่าว่า เขาตัดสินใจเปลี่ยนศาสนาหลังจากได้ศึกษาที่ลุนเบิร์ก…
โบสถ์ปัญญาความรู้คือองค์กรลับเบื้องหลังพลเรือโทธารน้ำแข็ง…?
ไคลน์ยืนใช้ความคิดพลางแสร้งฟังคำอธิบายของอีกฝ่าย จนกระทั่ง เอ็ดวิน่าเดินมาหยุดหน้ากุญแจสีดำดอกยักษ์
ขนาดเท่ากับในความฝันเมื่อคราวก่อน ประมาณพิณใหญ่หนึ่งหลัง ผิวดำด้าน ลวดลายเก่าแก่โบราณ…
การตกแต่งคล้ายคลึงเอกลักษณ์เด่นของเมืองเงินพิสุทธิ์ อาจมีความเกี่ยวข้องกับวังราชาคนยักษ์จริง…
ไคลน์พยักหน้ารับ แต่ขณะกำลังจะหันไปสำรวจสมบัติชิ้นอื่น เอ็ดวิน่ากล่าวขึ้น
“คุณอยากลองศึกษาดูไหม”
ให้เราศึกษา? เธอคงไม่รู้สินะว่าฉันเคยซุกซนจนสร้างความฉิบหายมาแล้วกี่ครั้ง… บางที วันพรุ่งนี้อาจไม่มีฝันทองคำอีกต่อไป…
ไคลน์รำพันติดตลก มือขวาเอื้อมจับกุญแจสีดำซึ่งน่าจะเป็นของคนยักษ์อย่างระมัดระวัง
ชายหนุ่มสัมผัสได้เพียงความเย็นชืด ไม่ว่าจะถ่ายพลังวิญญาณเข้าไปมากเพียงใด ก็ไม่สัมฤทธิผลแม้แต่หนเดียว
น่าเสียดายที่เรานำขึ้นไปศึกษาบนห้วงมิติเหนือสายหมอกไม่ได้…
ไคลน์ชักมือกลับพร้อมกับส่ายหน้าเล็กน้อย
ชายหนุ่มกลอกตา และพบหนังสือปกหนังสัตว์เล่มหนึ่งวางอยู่บนโต๊ะไม้ตัวเดียวกัน หน้าปกสีน้ำตาลเข้มมีอักษรฟุซัคโบราณเขียนไว้ว่า
“การเดินทางของกรอซาย”
“ถูกค้นพบในซากเรืออับปาง แม้จะจมก้นทะเลนานหนึ่งร้อยหกสิบห้าปี แต่กลับไม่มีร่องรอยชำรุดทรุดโทรมให้เห็น” เอ็ดวิน่าเริ่มเล่า “เนื้อหาด้านในเป็นบันทึกเรื่องราวของคนยักษ์นามกรอซาย จุดหมายการเดินทางอาณาจักรน้ำแข็ง เพื่อกำจัดราชาแดนเหนือ—มังกรน้ำแข็งทรงพลังตนหนึ่ง ระหว่างทางได้พบพวกพ้องมากมาย มีทั้งเอลฟ์เพศหญิง นักบวชผู้มีศรัทธาแรงกล้า ขุนนางจากจักรวรรดิโซโลมอน ทหารของโลเอ็น เรื่องราวดำเนินไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งพวกเขาเผชิญหน้ากับราชาแดนเหนือ แต่กลับจบลงเพียงแค่นั้น…
“ไม่สิ ระบุให้ชัดก็คือ ฉันไม่สามารถเปิดอ่านหน้าถัดไปได้ ไม่ว่าจะใช้วิธีใดก็ตาม คุณลองดูสักหน่อยไหม”
ไม่ใช่บันทึกการเดินทาง แต่เป็นนิยาย?
เป็นนิยายที่แปลกมาก สร้างตัวละครจากยุคสมัยที่แตกต่างกัน คงเป็นนิยายสมัยใหม่…
ไคลน์เดินเข้าไปใกล้และพลิกหน้าอ่าน เปิดผ่านกระดาษสีน้ำตาลแผ่นแล้วแผ่นเล่า
เนื้อหาไม่แตกต่างจากคำบอกเล่าของเอ็ดวิน่า เพียงแต่ ชายหนุ่มสัมผัสถึงความไม่สมเหตุสมผลชนิดชวนให้หงุดหงิด จนอดคิดไม่ได้ว่า ตนอ่านข้ามไปตรงไหนหรือไม่ ยกตัวอย่างเช่น ตัวเอกของเรื่องจะเกิดความสนิทสนมทันทีที่ได้พบหน้ากันและกัน โดยที่เมื่อไม่กี่นาทีก่อนยังเป็นคนแปลกหน้าต่อกันอยู่เลย
จนกระทั่ง ไคลน์เปิดไปถึงหน้าสุดท้าย และเห็นแผ่นกระดาษที่ติดกันจนไม่สามารถแกะออก
มิติสายหมอกอาจแก้ไขเรื่องนี้ได้… แต่ไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรตามมา…
ไคลน์ชำเลืองพลเรือโทธารน้ำแข็งด้านข้าง
เอ็ดวิน่ากระซิบ
“หากคุณต้องการ ดิฉันก็ยินดีขายให้ เพราะอ่านอย่างทะลุปรุโปร่งหมดแล้ว มิอาจตักตวงผลประโยชน์ใดจากหนังสือได้อีก แต่ต้องอยู่ภายใต้เงื่อนไขหนึ่งข้อ”
“เงื่อนไข?” ไคลน์ถาม
เอ็ดวิน่ายังคงกระซิบ
“เงื่อนไขก็คือ หากคุณซื้อไปและวิจัยจนพบความพิเศษของหนังสือ คุณต้องเล่ามันให้ฉันฟัง จะได้หายคาใจเสียที ถ้าคุณรับปาก ขอสัญญาว่าจะขายให้ในราคาที่ถูกมาก”
เมื่อได้ยินคำว่า ‘ถูกมาก’ ไคลน์เริ่มสนใจ
“เท่าไร”
“แปดพันปอนด์” เอ็ดวิน่าตอบเสียงขรึม
“หืม…” ไคลน์แสร้งทำหน้านึก ตามด้วยการผงกศีรษะรับ “ขอคิดดูก่อน”
คิดดูก่อนว่าจะทำเหมือนกับไม่มีอะไรเกิดขึ้นยังไงดี…
……………………