ตอนที่ 79 โดนปล้น? โดนต้มตุ๋น?

ลำนำสตรียอดเซียน

โม่เทียนเกอออกจากที่ตลาดนัดเล็กๆ แห่งนี้หลังการเข้าพักหลายวัน

 

 

ถึงแม้ว่านางและเทียนเฉี่ยวจะได้พบกัน แต่สุดท้ายแล้วเส้นทางเดินของทั้งคู่ก็แตกต่างกัน เทียนเฉี่ยวคงไม่มีทางที่จะทิ้งสามีของนาง และโม่เทียนเกอก็ไม่มีความสามารถมากพอที่จะปกป้องเทียนเฉี่ยวและสามี ดังนั้นคงจะดีกว่าที่ต่างคนต่างไปในเส้นทางของตัวเอง

 

 

หลังจากวันแรกโม่เทียนเกอก็ไม่ได้เจอเมิ่งซือกุยอีกเลย แต่อย่างไรก็ตาม นางก็ได้ทิ้งขวดยาบำรุงพลังจิตวิญญาณและเคล็ดลับการฝึกตนบางอย่างไว้กับเทียนเฉี่ยวเพื่อให้เขาก่อนที่นางจะออกมา

 

 

เทียนเฉี่ยวไม่มีรากวิญญาณและโม่เทียนเกอก็ไม่มีความสามารถที่จะเปลี่ยนแปลงเทียนเฉี่ยวให้กลายเป็นผู้ฝึกตนได้ นางหวังเพียงแค่ว่าเมิ่งซือกุยจะลองคิดถึงยาเหล่านี้หรือเกรงกลัวระดับการฝึกตนของนาง และปฏิบัติต่อเทียนเฉี่ยวดีขึ้นในอนาคต

 

 

หลังจากเหาะไปทางเหนือเป็นเวลาหลายวัน โม่เทียนเกอก็ถึงอารามของสำนักเทียนเต้า

 

 

ระหว่างเจ็ดกลุ่มผู้ฝึกตนที่ยิ่งใหญ่ในขั้วแห่งท้องฟ้า นอกเหนือไปจากโรงเรียนเจิ้งฝ่าซึ่งตั้งอยู่ในธารน้ำแข็งทางเหนือสุดของขั้วแห่งท้องฟ้า หกกลุ่มที่เหลือตั้งอยู่ที่ขอบเขตของเขาคุนอู๋ ในกลุ่มนี้ สองกลุ่มที่ยิ่งใหญ่ที่สุดคือสำนักเทียนเต้าและโรงเรียนเสวียนชิง ซึ่งบังเอิญตั้งอยู่ตรงข้ามกันของสุดทางเขาคุนอู๋ ที่หนึ่งคือสุดทิศตะวันออก และอีกที่หนึ่งอยู่สุดทิศตะวันตก

 

 

สำนักเทียนเต้าตั้งอยู่ไกลที่สุดทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือ ถูกแยกด้วยภูเขาจากพื้นที่ซึ่งเส้นทางฝ่ายอธรรมเจริญรุ่งเรือง

 

 

มีข่าวลือในขั้วแห่งท้องฟ้าว่าบิดาผู้ก่อตั้งสำนักเทียนเต้าเป็นอัจฉริยะฟ้าประทาน หนึ่งหมื่นปีที่แล้วเมื่อผู้คนจากฝ่ายธรรมะและอธรรมต่อสู้กัน ชื่อเขาเป็นที่เลื่องลือไปทั่วโลก ในภายหลัง เขานำศิษย์ของเขาเปิดอารามและตั้งสำนักที่นี่

 

 

กล่าวกันว่า สาเหตุที่เขาเลือกสร้างอารามของเขาที่นี่เพื่อสกัดกั้นถนนที่มุ่งไปยังคุนอู๋ของศิษย์ฝ่ายอธรรม และเพื่อทดสอบความสามารถในการต่อสู้ในศิษย์ของเขา นี่เป็นสิ่งยืนยันว่าบิดาผู้ก่อตั้งสำนักเทียนเต้าเป็นคนที่คิดนอกกรอบ แทนที่จะทำให้ความเข้มแข็งของสำนักกร่อนลง การต่อสู้กับฝ่ายอธรรมทำให้ศิษย์ของสำนักเทียนเต้าเติบโตได้เร็วกว่า

 

 

ความจริงแล้วการวางแผนเช่นนี้ไม่ได้เกิดขึ้นเพียงแค่สำนักเทียนเต้า โรงเรียนเสวียนชิงและสำนักกู่เจี้ยนผู้ซึ่งแข็งแกร่งเป็นอันดับสองรองจากสำนักเทียนเต้าก็ไล่ตามกลยุทธ์ “ก้าวหน้าในภัยพิบัติ แตกดับในชีวิตที่อ่อนโยน” อย่างไรก็ตาม แทนที่จะเป็นผู้คนจากฝ่ายอธรรม ทว่าศัตรูของพวกเขากลับเป็นสัตว์ปีศาจที่อยู่รอบตัว

 

 

เมื่อนางเดินทางถึงภูเขาอวี้เหิงที่ซึ่งสำนักเทียนเต้าตั้งอยู่ นางก็สามารถมองเห็นภูเขามารที่ทอดตัวอยู่ด้านข้างจากระยะไกล

 

 

ภูเขามารเป็นภูเขาหิมะสูงประมาณสามพันลี้ ถึงแม้ว่าจะติดกับภูเขาอวี้เหิงแต่ก็สูงกว่ามาก ตีนเขาปกคลุมด้วยหญ้า ป่าที่เขียวชอุ่ม และหิมะขาวจากบริเวณครึ่งหนึ่งของภูเขาไล่ขึ้นไปจนถึงยอดด้านบน อย่างไรก็ตาม ยอดเขาที่ปกคลุมด้วยหิมะขาวบริสุทธิ์แทงทะลุหมู่เมฆขึ้นไป มันถูกขนานนามว่าภูเขามารนั้นเป็นภูเขาที่สูงที่สุดในคุนอู๋

 

 

เช่นเดียวกับคนอื่นๆ โม่เทียนเกอได้เพียงแต่ถอนหายใจเมื่อเห็นภูเขามารครั้งแรก ชื่อเสียงที่เป็นภูเขาที่สูงที่สุดในคุนอู๋นั้นถูกต้องแล้ว อย่างไรก็ตาม โม่เทียนเกอยังมีความรู้สึกที่สับสนปนเปต่อมันอยู่… นี่คือที่ที่พ่อของนางดับสูญ

 

 

เมื่อกล่าวถึงพ่อคนที่นางไม่เคยพบ นางชื่นชมเขาอยู่ในหัวใจ ตอนที่นางเป็นเด็ก แม่ของนางพูดบอกเสมอว่าพ่อของนางเป็นคนที่อ่อนโยน คนอื่นในหมู่บ้านต่างยกย่องว่าเขาเป็นคนที่มีความสามารถทุกครั้งที่พวกเขาพูดถึง หลังจากที่นางมาถึงที่คุนอู๋ เยี่ยจิ่งเหวินก็บอกว่าพ่อของนางเป็นคนที่มีชื่อเสียงมากในทิศตะวันออกของคุณอู๋ ในขณะที่ท่านอารองก็ทั้งเคารพและรักใคร่พ่อของนาง ดังนั้นในใจของนาง พ่อคือผู้ฝึกตนที่ประสบความสำเร็จ พร้อมทั้งเป็นผู้ที่มีความสามารถในการเป็นน้องชายและสามี

 

 

บางครั้งนางก็อดไม่ได้ที่จะสงสัย ถ้าพ่อของนางยังคงมีชีวิตอยู่ นางจะต้องใช้เวลาหลายปีที่ผ่านมาด้วยความยากลำบากหรือเปล่า อย่างไรก็ตาม ทุกครั้งที่นางนึกถึงเรื่องนี้ นางก็ได้แต่เตือนตัวเองไม่ให้เป็นคนที่โลภ ท่านอารองดูแลนางมาดีพออยู่แล้ว การที่รับผิดชอบในการเป็นทั้งพ่อและแม่ที่ช่วยเลี้ยงนางจนถึงตอนนี้ ทำงานหนักเพื่อให้ได้มาซึ่งศิลาวิญญาณให้นางได้ฝึกตนโดยไม่ต้องเป็นกังวล และเดินทางท่องไปกับนางเพื่อให้นางปลอดภัย… ในสิบปีที่ผ่านมา พูดได้เลยว่าท่านอารองนั้นมีชีวิตเพื่อนาง แล้วนางจะบ่นไปเพื่ออะไร

 

 

เพราะกิตติศัพท์อันเลื่องลือของสำนักเทียนเต้า ผู้ฝึกตนนับไม่ถ้วนมักรวมตัวกันที่เมืองเล็กๆ ตรงตีนเขาอวี้เหิง

 

 

เมืองเล็กๆ แห่งนี้มีถนนที่เรียงรายและร้านรวงหรูหราพร้อมด้วยผู้ฝึกตนที่เดินกันไปมาขวักไขว่มากมาย ผู้ฝึกตนส่วนมากเป็นผู้ฝึกตนระดับการหลอมรวมพลังวิญญาณแต่ก็มีจำนวนไม่น้อยที่อยู่ระดับการสร้างฐานแห่งพลัง บางครั้งก็มีคนเห็นผู้ฝึกตนระดับการก่อเกิดแก่นขุมพลังคนหรือสองคนที่นี่เช่นกัน นี่เป็นการเปิดหูเปิดตาให้กับโม่เทียนเกออย่างมาก สำนักเทียนเต้านั้นแตกต่างจากกลุ่มผู้ฝึกตนอื่นๆ อย่างแท้จริง เมื่อเทียบกับที่นี่ สำนักอวิ๋นอู้เป็นเพียงแค่พื้นที่ชนบทดีๆ นี่เอง

 

 

“สหายนักพรต! รอก่อน!” ระหว่างที่นางเดินบริเวณโดยรอบถนน จู่ๆ นางก็รู้สึกได้ว่ามีคนกำลังวิ่งมาทางนาง ทำให้นางต้องรีบหลบลงที่ข้างทาง

 

 

“ไอ้หยา!” ใครบางคนล้มลงบนพื้น ดูเหมือนเป็นวัยรุ่นทั่วไปทั้งรูปร่างและการแต่งกายก็ธรรมดา ระดับการฝึกตนของเขาก็อยู่เพียงแค่ระดับเจ็ดแห่งดินแดนการหลอมรวมพลังวิญญาณเท่านั้น ดังนั้นเขาไม่ได้ดูพิเศษอะไรนัก

 

 

ชายหนุ่มล้มลุกคลุกคลานขึ้นมา ไม่ได้สนใจถึงท่าทางการระมัดระวังตัวของนาง เขาพูดทั้งหัวเราะ “สหายนักพรตช่างมีปฏิกิริยาที่ว่องไวนัก!”

 

 

โม่เทียนเกอจ้องมองไปที่เขาก่อนที่จะเว้นระยะห่างให้เพิ่มมากขึ้น นางพูดด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา “มีปัญหาอะไรอย่างนั้นหรือ”

 

 

ชายหนุ่มไม่ได้สนใจในทัศนคติที่เย็นชาของนาง เขายังคงหัวเราะพร้อมพูดว่า “ข้านามว่าเหอปี้เซิง ข้าขอทราบชื่อสหายนักพรตได้หรือไม่”

 

 

โม่เทียนเกอขมวดคิ้วก่อนที่จะตอบ “ข้าแซ่เยี่ย สหายนักพรตมีกิจธุระอันใด”

 

 

“โอ้ เช่นนั้นก็คือสหายนักพรตเยี่ยสินะ เป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้พบท่าน ท่านคงจะมาร่วมงานรวมพลเซียนใช่หรือไม่ ข้าก็เช่นกัน พวกเราบางคนมาเข้าร่วมงานนี้ ในเมื่อทุกคนมาที่นี่ด้วยวัตถุประสงค์เดียวกัน ทำไมพวกเราไม่รวมตัวแลกเปลี่ยนประสบการณ์กันล่ะ”

 

 

โม่เทียนเกอถึงกับพูดไม่ออกเมื่อโดนโจมตีด้วยการพูดไม่หยุดของชายหนุ่มผู้ซึ่งอ้างว่าตัวเองชื่อเหอปี้เซิง คนนี้กำลังพูดอยู่กับตัวเอง! แต่เขากำลังพูดถึงบางสิ่งที่เกี่ยวกับการรวมพลเซียน หรือสำนักเทียนเต้ากำลังจะจัดงานรวมพลเซียนอย่างนั้นหรือ ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมถึงมีผู้คนมากมายที่นี่

 

 

“สหายนักพรตเยี่ย มากับข้าสิ มาช้ายังดีกว่าไม่มา จริงไหม ถ้าพวกเราพลาดโอกาสนี้พวกเราอาจต้องรออีกกว่าสิบปี! ถึงแม้ว่าระดับการฝึกตนของคนในกลุ่มข้าจะไม่ได้สูงมากนัก แต่ทุกคนก็พร้อมที่จะแลกเปลี่ยนประสบการณ์ บางทีท่านอาจจะเข้าใจถึงการรวมพลมากขึ้นหลังจากนี้!”

 

 

ชายหนุ่มดูจริงใจแต่โม่เทียนเกอไม่ได้ซาบซึ้ง นางเพียงแค่พูด “ขอบใจในความตั้งใจของท่านมาก แต่มันไม่จำเป็น”

 

 

“มันจำเป็นสิ” ชายหนุ่มดูเหมือนจะไม่เข้าใจที่นางปฏิเสธและยังคงแสดงความกระตือรือร้นอยู่พร้อมพูด “สหายนักพรตอย่าได้สุภาพนอบน้อมนักเลย พวกเราล้วนเป็นผู้ฝึกตนเดี่ยวกันทั้งนั้น การแลกเปลี่ยนความรู้และประสบการณ์ยังดีกว่าที่ไม่มีอะไรเลย ไปเถอะ เชิญทางนี้”

 

 

เมื่อเขาพูดจบเขาก็ได้นำทางนางไป อย่างไรก็ตาม หลังจากที่ก้าวเพียงแค่สองก้าว เขาก็หันกลับแล้วมองนางด้วยความร้อนใจ

 

 

โม่เทียนเกอทำอะไรไม่ได้ ในเมื่อนางเองก็ไม่ได้มีแผนการที่จะทำอะไร นางจึงส่ายหัวพร้อมก้าวตามสหายหนุ่มไป

 

 

เมื่อเห็นว่าโม่เทียนเกอยินดีที่จะตามมา รอยยิ้มก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของชายหนุ่มอย่างสดใส เขาเดินนำนางเลี้ยวซ้ายและขวาหลายครั้ง พร้อมคุยเล่นเรื่อยเปื่อยไปตลอดทาง

 

 

“สหายนักพรตเยี่ย ข้าเห็นว่าอายุพวกเราก็ไม่ได้ต่างกันเท่าไร แต่ระดับการฝึกตนของเจ้าเข้าถึงระดับสิบแล้ว มันเยี่ยมยอดมาก! บางทีเจ้าอาจจะเป็นคนจากกลุ่มผู้ฝึกตนรึ”

 

 

โม่เทียนเกอส่ายหัวและตอบ “ไม่ใช่”

 

 

ความจริงแล้วนางน่าจะอายุเยอะกว่าชายหนุ่มคนนี้ประมาณสามถึงสี่ปีได้ แต่ในเมื่อนางมีรูปร่างที่เล็ก คนส่วนมากจึงเข้าใจผิดว่าอายุน้อยกว่าความจริง

 

 

“หืม? นั่นยิ่งน่าประหลาดใจเข้าไปอีก!” ชายหนุ่มพูดด้วยความอิจฉา “สหายนักพรตเยี่ยจะต้องเป็นอัจฉริยะโดยกำเนิดเป็นแน่ เป็นไปได้ว่าเจ้าจะได้ถูกยกเว้นจากการทดสอบและผ่านเข้าในสำนักเทียนเต้าได้โดยตรงแน่นอน!”

 

 

โม่เทียนเกอไม่ได้ตอบ นางอายุยี่สิบปีแล้วและระดับการฝึกตนของนางก็อยู่ในจุดสูงสุดของดินแดนแห่งการหลอมรวมพลังวิญญาณ ถึงแม้ว่านางจะถูกเปรียบเทียบกับศิษย์ของกลุ่มผู้ฝึกตนขนาดใหญ่ นางก็ไม่ได้ด้อยไปกว่าเลย แม้ว่านางจะเข้าใจว่าระดับการฝึกตนของนางนั้นเร็ว ไม่ได้เป็นเพราะมีพรสวรรค์แต่กำเนิดแต่เป็นเพราะนางทานยาวิเศษไปจำนวนมากทีเดียว

 

 

ถ้านางไม่มีท่านอารองคอยสนับสนุนหรือรางวัลจำนวนมากที่นางได้มาหลังจากการเข้าร่วมสำนักอวิ๋นอู้ มันก็จะถือได้ว่าดีแล้วหากนางจะอยู่ในระดับการฝึกตนเท่ากับชายหนุ่มผู้นี้

 

 

“สหายนักพรตเยี่ย ข้ายังมีสหายอีกสองคนที่จะมาร่วมงานรวมพลเซียนเช่นกัน ระดับการฝึกตนของพวกเขาอยู่สูงกว่าข้าเล็กน้อย โดยปกติแล้วพวกเราสามคนพยายามฝึกตนอย่างหนัก แทบจะไม่ได้ติดต่อกับใครอื่น ไม่ต้องพูดถึงการเข้าไปข้องเกี่ยวกับการต่อสู้ด้วยพลังเวทเลย ในงานรวมพลเซียนนี้พวกเราจำเป็นต้องมีกลยุทธ์ที่จะปกป้องตัวเองก่อนที่จะนึกถึงว่าจะชนะได้อย่างไร พวกเราไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากการแลกเปลี่ยนความรู้กับคนอื่นให้มากและเตรียมตัวให้ดีกว่าเดิม ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม พวกเราจะสละชีวิตทิ้งไปไม่ได้”

 

 

ชายหนุ่มพล่ามไม่หยุดจนถึงจุดที่โม่เทียนเกอไม่รู้แล้วว่าเขากำลังพูดถึงอะไร หลังจากนั้นไม่นานหัวข้อก็เบี่ยงเบนไปจนไม่รู้ว่าอะไรเป็นอะไร แต่ชายหนุ่มก็ยังคงไม่หุบปาก

 

 

“อา! พวกเรามาถึงแล้ว!” ในที่สุดชายหนุ่มก็หยุดที่หน้าประตูธรรมดาและเคาะเรียก

 

 

โม่เทียนเกอถอนใจอย่างโล่งอก ถึงแม้ว่านางจะไม่ได้ฟังเขา แต่การที่มีใครบางคนคอยพูดอยู่ข้างหูตลอดเวลามันน่ารำคาญมาก

 

 

ไม่นานประตูก็เปิดออก ชายหนุ่มตัวสูงยืนอยู่ด้านหลังประตู

 

 

เมื่อเห็นเขา ชายหนุ่มรีบพูด “ท่านพี่หวง ข้าพาแขกมา”

 

 

พอเห็นโม่เทียนเกอยืนอยู่ทางด้านหลัง ชายหนุ่มก็ยิ้มและพูดว่า “ยินดีต้อนรับสหายนักพรต เชิญเข้ามาด้านใน”

 

 

ขณะที่เดินเข้าไปนางเห็นว่าด้านในเป็นเพียงบ้านธรรมดาที่มีสวนหย่อมเล็กๆ ในห้องนั่งเล่นหลักมีคนกำลังนั่งอยู่คนเดียว

 

 

ประตูปิดลงด้วยเสียงอันดังด้านหลังนาง

 

 

ชายหนุ่มตัวสูงพูดกับนาง “สหายนักพรต เชิญด้านในสิ”

 

 

เมื่อโม่เทียนเกอเดินเข้าไปในห้องนั่งเล่นหลัก ชายหนุ่มตัวอ้วนท้วมผู้ซึ่งกำลังนั่งอยู่ยืนขึ้นพร้อมพูดว่า “สหายนักพรตท่านนี้…”

 

 

ชายหนุ่มรีบเดินมาทางด้านหน้าเพื่อแนะนำ “สหายนักพรตเยี่ย นี่คือพี่ชายคนโตของข้า เหอปี้ซิว ท่านพี่นี่สหายนักพรตเยี่ยคนที่ข้าเพิ่งพบวันนี้ ดูสิ อายุเขาพอๆ กับข้าแต่ระดับการฝึกตนของเขาเข้าสู่ระดับสิบแล้ว เขาช่างมีพลังมากนัก!”

 

 

ชายหนุ่มอ้วนที่ชื่อเหอปี้ซิวดูประหลาดใจพร้อมกับพูดว่า “กลายว่าเป็นสหายนักพรตเยี่ยสินะ! น้องสองวันนี้เจ้าทำได้ดีมาก! เจ้าพาสหายนักพรตผู้ซึ่งมีระดับการฝึกตนถึงระดับสิบทีเดียว!”

 

 

“ใช่แล้วข้าเอง!” ชายหนุ่มพูดด้วยรอยยิ้มมั่นใจ หลังจากนั้นจึงพูดอย่างสุภาพ “สหายนักพรตเยี่ยเชิญนั่งและดื่มชาก่อน พี่ใหญ่หวงมานี่เร็ว!”

 

 

“ข้ากำลังไป” ชายหนุ่มแซ่หวงรีบเดินเข้ามาในห้อง

 

 

โม่เทียนเกอนั่งลงตรงเก้าอี้แขกและรับชาพลังวิญญาณที่ชายหนุ่มยื่นมาให้ นางค่อยๆ เป่าชาจนเริ่มเย็นก่อนที่จะจิบเล็กน้อย ในความคิดของนาง นางคิดว่าในเมื่อพี่ชายคนโตคือเหอปี้ซิว และชายหนุ่มแซ่หวงต่างอยู่ในระดับเก้าและดูเหมือนจะเป็นคนที่ทำงานหนัก พวกเขาก็น่าจะมีโอกาสอย่างมากในงานรวมพลเซียนถ้าพวกเขามีศิลาวิญญาณมากพอ

 

 

เมื่อนางวางถ้วยชาลง ทั้งสามคนที่อยู่ด้านหน้านางดูเหมือนจะมีความสุขมากกว่าในตอนแรก

 

 

โม่เทียนเกอมองไปที่ประตูอย่างสงบนิ่งก่อนถามว่า “สหายนักพรต ข้าขอทราบได้หรือไม่ว่าพวกท่านมีความสุขเกี่ยวกับอะไรกัน”

 

 

ทั้งสามคนที่มองนางและยิ้มอย่างชั่วร้ายพยายามที่จะแสร้งยิ้มแต่ไม่ได้ตอบคำถามนาง ทั้งสามคนต่างมองหน้ากันเอง ชายหนุ่มจึงพูดว่า “พี่ใหญ่ พี่หวง วันนี้ท่านพอใจกับสินค้าไหม”

 

 

เหอปี้ซิวพยักหน้าพร้อมตอบว่า “ไม่เลวเลย ไม่เพียงแต่ชายคนนี้มีระดับการฝึกตนที่สูง แต่ผิวของเขายังเรียบเนียน หลังจากนี้ถ้าพวกเราขายเขาให้กับหญิงผู้ฝึกตนชั้นสูงหรือบางทีชายผู้ฝึกตนที่ชอบผู้ชายด้วยกัน พวกเราจะต้องได้เงินมหาศาลแน่นอน”

 

 

ทั้งสามคนระเบิดเสียงหัวเราะที่แสดงความต่ำช้าออกมา

 

 

โม่เทียนเกอขมวดคิ้วและถาม “สหายนักพรต พวกท่านพูดเกี่ยวกับเรื่องอะไรกัน”

 

 

ถึงกระนั้น ยังคงไม่มีใครตอบคำถามนาง แต่ชายหนุ่มแซ่หวงพูดกลับมาแทน “จริงสิ… ในเมื่อชายผู้นี้ประสบความสำเร็จในการฝึกตนระดับสูงตั้งแต่อายุยังน้อยขนาดนี้ สมบัติของเขาจะต้องมากมายแน่… ปี่เซิง เจ้าแน่ใจนะว่าเขาไม่ได้มาจากกลุ่มผู้ฝึกตน?”

 

 

“ข้าแน่ใจ” เหอปี้เซิงพูด “ดูเสื้อผ้าแสนจะธรรมดาของเขาสิ อีกอย่างคิดว่าพวกคุณชายจากกลุ่มการฝึกตนจะสงบนิ่งได้เหมือนเขาหรือ”

 

 

“ในเมื่อเจ้าพูดเช่นนั้น… เหตุผลก็เพียงพอแล้ว” ชายหนุ่มแซ่หวงพยักหน้าก่อนที่จะพูดต่อ “มันคงจะดีมากหากเจ้าหาสินค้าดีๆ เช่นนี้ได้ทุกครั้ง”

 

 

คำพูดของเขาทำให้ชายหนุ่มไม่พอใจ เขาบ่น “พี่หวง นี่ไม่ได้เป็นปัญหาของข้าคนเดียว ทำไมท่านถึงเจาะจงมาที่ข้าเล่า”

 

 

ชายหนุ่มแซ่หวงตอบด้วยท่าทางมั่นใจว่าตัวเองถูกต้องแน่นอน “เจ้าไม่ใช่คนที่จะต้องรับผิดชอบในการล่อเหยื่อหรือไง เห็นไหมล่ะว่าสินค้าแบบไหนกันที่เจ้าพากลับมาเมื่อหลายวันก่อน? พวกเขามีศิลาวิญญาณแค่เล็กน้อย และเครื่องมือวิญญาณก็ขยะทั้งนั้น”

 

 

“แล้วท่านสามารถโทษข้าในเรื่องนั้นได้หรือ ถึงแม้ว่าจะมีคนอยู่ไปทั่ว ไม่ใช่ทุกคนที่จะยอมตามข้ามาที่นี่…”

 

 

“ไม่ใช่เพราะว่าเจ้าไม่มีทักษะมากพอหรอกหรือ”

 

 

“ท่าน!!!”

 

 

“พอแล้ว!” เมื่อเห็นว่าเหอปี้เซิงและชายหนุ่มแซ่หวงกำลังจะต่อสู้กัน เหอปี้ซิวจึงตะโกนเพื่อห้ามเพื่อหยุดพวกเขาแล้วพูดว่า “เจ้าสองคนช่วยดูเวลาทีได้ไหม! เร็วๆ เข้าและทำงานกันก่อน!”

 

 

ทั้งสองคนหยิบเครื่องมือวิญญาณของตัวเองออกมาในขณะที่จ้องหน้ากันอย่างไม่เต็มใจ

 

 

โม่เทียนเกอจ้องไปที่พวกเขาพร้อมพูดว่า “สหายนักพรต…”

 

 

“ฮ่าๆ!” เมื่อเห็นท่าทางของนาง เหอปี้เซิงหัวเราะและในที่สุดก็พูดกับนาง “สหายนักพรตเยี่ย ไม่มีผู้อาวุโสสอนเจ้าหรอกหรือว่าจิตใจมนุษย์นั้นเลวทรามและเจ้าไม่ควรที่จะเดินตามคนแปลกหน้ามา”

 

 

โม่เทียนเกอมองทั้งสามคน แต่แทนที่จะตอบนางถามกลับว่า “เจ้าจะทำอะไร”