บทที่ 5 บทที่ 25 ไม่สำเร็จ

สมาคมแลกเปลี่ยนทราฟฟอร์ด

บทที่ 25 ไม่สำเร็จ โดย Ink Stone_Fantasy

 

“หนีไปแล้ว?”

ในร้านกาแฟแถวสถานีตำรวจ เริ่นจื่อหลิงกำลังมองหน้าเซอร์หม่าพลางตะเบ็งเสียงด้วยเพราะตกใจ

หม่าโฮ่วเต๋อพูดอย่างจนใจว่า “วันนั้นพวกผมไปถึงในบ้านของไต้โหย่วไฉ แต่ตัวคนไม่อยู่แล้ว เมียกับลูกของเขาก็ไม่รู้ว่าเขาไปไหนแล้วเหมือนกัน บอกว่าเขารีบร้อนออกไป พวกผมสงสัยว่าเขาจะได้ยินข่าวรั่วไหลมาก่อน ก็เลยไหวตัวหนีไปแล้ว”

เริ่นจื่อหลิงขมวดคิ้ว “งั้น สวีจ้าวคนนั้นรับสารภาพเรื่องนักเรียนฆ่าตัวตายครั้งนี้หมดแล้วเหรอ?”

หม่าโฮ่วเต๋อส่ายหน้าเล็กน้อย “ยัง เขาแค่เล่าเรื่องสกปรกที่ทำไว้ในสถาบันสอนพิเศษ แล้วอยู่ๆ ก็สลบไปเฉยเลย แต่ตอนฟื้นขึ้นมา…”

 “ตอนฟื้นขึ้นมา?”

หม่าโฮ่วเต๋อพยักหน้า แล้วพูดเสียงเคร่งขรึมว่า “ตอนฟื้นขึ้นมา หมอนี่เหมือนลืมเรื่องก่อนหน้านี้ไปสนิท ท่าทางเขาดูตกใจมาก แถมยังบอกว่าพวกผมใส่ร้ายเขาอีก จนกระทั่งผมให้เขาดูหลักฐานภาพวิดีโอที่ค้นเจอจากในบ้านเขา หมอนี่ถึงได้ทำหน้ายังกับเห็นผี ยังไงก็ไม่ยอมเชื่อว่าคนในวิดีโอก็คือตัวเขาเอง”

 “มอบตัว จากนั้นก็สลบไป พอฟื้นขึ้นมาก็ลืม…ไม่แปลกไปหน่อยเหรอ?” เริ่นจื่อหลิงอ้าปากค้าง เรื่องแบบนี้มันเป็นไปได้จริงๆ น่ะเหรอ?

หากไม่ใช่เพราะเธอรู้จักกับหม่าโฮ่วเต๋อมาหลายปีแล้วละก็ เธอคงนึกว่ากำลังอ่านนิยายไร้สาระเรื่องหนึ่ง

 “อย่าเพิ่งพูดถึงความผิดปกติของสวีจ้าวเลย ยังไงตอนนี้เขาก็อยู่ในห้องขัง หนีไปไหนไม่ได้แล้ว อย่างน้อยสิ่งที่ค้นมาได้จากในบ้านของเขาก็ทำให้เขานั่งอยู่ในคุกได้ตลอดชีวิตแล้วล่ะ” หม่าโฮ่วเต๋อขมวดคิ้วพูดต่อ “ประเด็นสำคัญก็คือ เขาไม่น่าเกี่ยวข้องกับนักเรียนที่โดดตึกสี่ห้าคนนี้มากนัก เพราะพวกผมเคยตรวจสอบการเดินทางของสวีจ้าวแล้ว เขาไปทำงานต่างประเทศช่วงที่มีนักเรียนสองคนเกิดเรื่องพอดี”

“เหล่าหม่า นายว่าหมอนี่จะใช้ความลับในมือไปขู่บังคับนักเรียนพวกนี้ ให้พวกเขาเครียด จนสุดท้ายหมดทางเลือกหรือเปล่า?”

“งั้นก็ไม่น่าจะเกิดต่อเนื่องกันห้าคนไหมครับ?”

“จะว่าไปก็ใช่…” เริ่นจื่อหลิงพยักหน้า แล้วก็ส่ายหัวน้อยๆ อีกครั้ง “แต่นึกไม่ถึงเลยจริงๆ ว่าตอนแรกแค่คิดจะสืบเรื่องนักเรียนเท่านั้น แต่ตอนนี้จะได้หลักฐานจับไต้โหย่วไฉกับสวีจ้าวไว้อยู่หมัด ถือว่านายทำผลงานชิ้นโบว์แดงได้แบบไม่คาดคิดเลยนะเนี่ย! อย่าลืมเลี้ยงข้าวด้วยล่ะ!”

หม่าโฮ่วเต๋อถอนหายใจแล้วพูดว่า “อย่าแม้แต่จะคิดเชียว ตอนนี้หัวผมจะระเบิดอยู่แล้ว! คุณไม่รู้หรอกว่า คนที่อยู่เบื้องหลังซื้อบริการกับไต้โหย่วไฉเป็นคนแบบไหนกันบ้าง นี่ไม่ใช่กลุ่มคนธรรมดาที่จัดการง่ายดายขนาดนั้นนะ เบื้องหลังยังมีธุรกิจอีกมากมายเลย…ผมสงสัยว่า ไต้โหย่วไฉเป็นเพียงแค่หมากตัวหนึ่งของคนอื่นเท่านั้น เบื้องหลังนี้ยังมีใครบงการทุกอย่างอยู่อีก เกรงว่า…จะยังเกี่ยวข้องกับผลประโยชน์จำนวนมากอีกด้วย”

เริ่นจื่อหลิงลดเสียงต่ำพูดว่า “คนที่มาซื้อบริการมีพวกไหนบ้างล่ะ?”

หม่าโฮ่วเต๋อมองเริ่นจื่อหลิงแป๊บหนึ่ง แล้วพูดแบบไร้ความรู้สึกว่า “รายละเอียดของคดีผมก็ยังบอกพี่ได้ ยังไงซะผมรู้ว่าพี่จะไม่เขียนมั่วซั่ว แต่เกี่ยวกับเรื่องนี้ ผมไม่สามารถเปิดเผยกับพี่ได้จริงๆ นี่เป็นคำสั่งเด็ดขาดที่เบื้องบนสั่งลงมาเลย ไม่อย่างนั้น…พี่คิดว่าทำไมไต้โหย่วไฉถึงหนีไปเร็วขนาดนี้ล่ะ?”

“งั้นก็ได้” เริ่นจื่อหลิงพยักหน้า

ในเมื่อหม่าโฮ่วเต๋อก็ต้องปิดปากเงียบด้วยเหมือนกัน คงได้แต่บอกว่าสิ่งที่พัวพันกับเบื้องหลังมีเยอะมากเหลือเกิน รองบรรณาธิการเริ่นก็เข้าใจว่าจะลุยหรือถอยก็ควรมีขอบเขตเช่นกัน

เธอถอนหายใจแล้วพูดว่า “แต่ถ้าไต้โหย่วไฉกับสวีจ้าวไม่ได้มีส่วนพัวพันกับเรื่องฆ่าตัวตายละก็…จะเป็นใครได้อีกล่ะ? จริงสิ เด็กห้าคนนี้ถูกพวกสวีจ้าวล่อลวงไปทำเรื่องแบบนี้ด้วยหรือเปล่า?”

“นอกจากกู้จยาเจี๋ยรายสุดท้ายนั่นแล้ว สี่รายก่อนหน้านี้ก็ใช่หมดเลย” หม่าโฮ่วเต๋อมองดูเวลาแล้วพูดว่า “ผมไม่มีเวลาคุยกับพี่แล้ว ตอนนี้ผมต้องรีบไปปิดล้อมสถาบันนั้นก่อน…ครั้งนี้ก็จะค้นเหมือนกับคราวที่แล้ว เผื่อเจอหลักฐานเพิ่มเติม”

เริ่นจื่อหลิงยักไหล่ “นายไปเถอะ ฉันจ่ายเองก็ได้ หวังว่านายจะมีข่าวดี ขอให้คืนความยุติธรรมให้เด็กพวกนี้ได้ไวๆ นะ”

หม่าโฮ่วเต๋อยิ้มเฝื่อน พร้อมพูดว่า “ไม่รู้ว่าพอพ่อแม่รู้การกระทำของเด็กพวกนี้แล้ว พวกเขาจะรู้สึกยังไงกันนะ”

เริ่นจื่อหลิงนิ่งเงียบไปทันที

ด้วยเพราะนี่ไม่ใช่ประเด็นต้องพูดลงลึกอีก

ด้านหลังหน้าต่างลูกกรง สวีจ้าวยังคงตื่นกลัว เขาลืมตาคู่ที่เต็มไปด้วยเส้นเลือดแดงก่ำค้าง และใต้ตาดำคล้ำเป็นวงใหญ่สองข้าง หลายวันมานี้เขาแทบจะไม่ได้นอนเลย

เขาคิดให้หัวแทบแตกก็คิดไม่ออกเหมือนกัน ว่าทำไมตัวเขาเองถึงมาอยู่ในสถานีตำรวจนี้ได้ แถมยังพูดเรื่องพวกนั้นออกมาหมดอีก!

เขาจำได้แค่ว่าเมื่อคืนก่อน หลังจากดื่มเหล้าแล้วกลับมาบ้านก็นอนหลับไปเลย จนกระทั่งตอนเขาตื่นขึ้นมา ก็พบว่าตัวเองมาอยู่ในห้องสอบสวนเสียแล้ว

เขาจะมามอบตัวทำไม?

เห็นๆ อยู่ว่าเขาตั้งใจเก็บหลักฐานพวกนั้นไว้ขู่ไต้โหย่วไฉ…ถ้าหากมีวันหนึ่งไต้โหย่วไฉเกิดแตกคอกับเขาขึ้นมา เขาจะได้มีสิทธิ์ต่อรองกับไต้โหย่วไฉได้

ส่วนภาพถ่ายพวกเด็กสาวคนอื่นๆ ที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะนั้น…เขายอมรับว่านี่เป็นหนึ่งในงานอดิเรกของเขา เขาเองก็ว่าหากภาพพวกนี้หลุดออกไป จะมีอะไรรอเขาอยู่บ้าง แต่จะบอกว่านี่เป็นงานอดิเรก ก็ไม่สู้บอกว่าเป็นการกระทำของปีศาจ

แต่ว่า…

“ไม่น่าเลย…ไม่น่าเลย…”

สวีจ้าวถามคำถามนี้กับตนเองอยู่ตลอดสามสี่วันที่ติดคุก..หรือเกิดมีสำนึกดีขึ้นมา ถึงรับไม่ได้จนต้องมามอบตัว?

คำพูดทั้งหมดที่ตนเองเคยพูดในกล้องวงจรปิดของห้องสืบสวน ช่างไม่สมเหตุสมผลเอาเสียเลย!

ถ้าเป็นเพราะเกิดสำนึกดีจริงๆ ละก็ ตอนนี้เขาก็คงไม่ต้องตื่นกลัวและทนทุกข์อยู่แบบนี้หรอก ต่อจากนี้เขาจะได้ใช้ชีวิตในคุกแล้วเหรอ?

กับครึ่งค่อนชีวิตที่เหลือ?

สวีจ้าวมองด้านนอกกรงขังอย่างเหม่อลอย รู้สึกราวกับฝันไป…เขาคิดไม่ออกเลยว่าทำไมตนเองถึงต้องมามอบตัว

“ทำไม?”

สวีจ้าวเอาหัวโขกกับกำแพงห้องคุมตัวไปเรื่อยๆ พร้อมกับพูดประโยคเดิมซ้ำไปซ้ำมา ‘เป็นแบบนี้ไปได้ยังไง’

“ชีวิตเขาจบเห่แล้ว”

ตรงเบาะนั่งในห้องโถงของสมาคม บริเวณใกล้ๆ กับตู้เก็บของในห้องครัว  ติงตงเซิงยิ้มเยาะพลางพูดเยาะเย้ย แล้วก็เบือนสายตาหนีไป

“ไม่ดูแล้วเหรอครับ?” เจ้าของร้านลั่วถามขึ้นมา

“ไม่จำเป็นแล้วล่ะครับ” ติงตงเซิงพูดอย่างเฉยชา

พอลั่วชิวได้ยินดังนั้น ก็โบกมือเล็กน้อยด้วยท่วงท่าสบายๆ แล้วภาพของสวีจ้าวในห้องคุมขังที่ปรากฏอยู่ข้างๆ ตัวเขาก็หายไป

แล้วลั่วชิวก็พูดอย่างไม่ใส่ใจว่า “หลักฐานที่ค้นเจอในบ้านเขามากพอให้เขาติดคุกไปทั้งชีวิต ถือว่าทำให้ชื่อเสียงเขาย่อยยับตามที่ลูกค้าต้องการเรียบร้อยแล้ว แต่สวีจ้าวที่เที่ยวเล่นใช้จ่ายฟุ่มเฟือยมาตลอดชีวิต ต้องมาอยู่ในคุกครึ่งค่อนชีวิตที่เหลือ สำหรับเขาแล้วคงทรมานเสียยิ่งกว่าตายซะอีก…ทรมานจนไม่อยากมีชีวิตอยู่อีก คุณลูกค้าพอใจแล้วหรือยังครับ?”

ติงตงเซิงไม่พูดอะไรสักคำ เขาแค่โยนกล่องบรรจุแผ่นสัมฤทธิ์กล่องนั้นลงบนโต๊ะอีกครั้ง แล้วลุกขึ้นยืน “นี่เป็นของพวกคุณแล้ว”

ลั่วชิวมองกล่องบนโต๊ะอยู่ครู่หนึ่ง และไม่ได้แตะต้องมัน แค่พูดเบาๆ ว่า “ขอบคุณที่มาใช้บริการครับ”

“ไม่ต้องพูดให้ดูน่าฟังหรอกครับ” ติงตงเซิงพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา “พวกคุณก็ไม่ต่างจากสวีจ้าวเลยสักนิด ยอมทำทุกอย่างก็เพื่อผลประโยชน์ของตนเอง”

“พวกเราเปิดร้านทำธุรกิจ ย่อมแสวงหาผลกำไรอยู่แล้วครับ” ลั่วชิวตอบอย่างไม่ใส่ใจ

“คุณยอมรับก็ดีแล้ว” ติงตงเซิงยิ้มเยาะพลางพูดต่อ “ในเมื่อยอมรับแล้ว งั้นก็บอกมาหน่อยสิครับ ทำไมคุณถึงไม่บอกผมว่าการตายของหรงหรงไม่เกี่ยวกับสวีจ้าว”

“ประการแรก” ลั่วชิวเงยหน้าขึ้นมา แล้วค่อยๆ พูดว่า “บริการทุกอย่างของที่นี่เป็นการให้บริการก่อนแล้วค่อยเก็บค่าบริการ พวกเราไม่ได้มีหน้าที่เปิดเผยเรื่องราวที่ลูกค้าไม่รับรู้ครับ”

“ประการที่สอง ก่อนหน้านี้ผมเคยบอกคุณลูกค้าแล้ว ตำรวจกำลังสืบเรื่องของสวีจ้าว”

ลั่วชิวหยุดพูดครู่หนึ่ง แล้วมองสีหน้าของติงตงเซิงที่ดูไม่ดีเท่าไร เขาส่ายหัวพลางพูดเบาๆ ว่า “ประการสุดท้าย สวีจ้าวจะเกี่ยวข้องกับการตายของเฉียวหรงหรงหรือไม่ สำหรับคุณลูกค้าแล้ว มันสำคัญขนาดนั้นจริงๆ หรือครับ?”

“คุณหมายความว่ายังไง?” ติงตงเซิงกระสับกระส่ายขึ้นมาทันที พร้อมกับใช้สองมือค้ำไปบนโต๊ะ จ้องอีกฝ่ายอย่างเอาเป็นเอาตาย

“ไม่ใช่ว่ายิ้มมีความสุขมากหรอกเหรอครับ? เมื่อครู่นี้…” ลั่วชิวพูดเสียงเบาๆ ว่า “ไม่ใช่ว่าคุณลูกค้ายิ้มอย่างมีความสุขมากๆ ตอนที่กำลังดูสวีจ้าวทุกข์ทรมานอยู่หรือครับ? คุณในตอนนี้เคยนึกย้อนไปถึงความทรงจำที่คุณเคยเล่าให้ผมฟังแม้เพียงสักเรื่องบ้างหรือเปล่าครับ?”

“ผม…” ติงตงเซิงก้าวถอยหลังไปหลายก้าวทันที เขามองเจ้าของสมาคมนี่ที่นั่งเงียบๆ อยู่ตรงนี้อย่างตกใจกลัว และเริ่มลุกลี้ลุกลน “…ผมไม่รู้ว่าคุณกำลังพูดถึงอะไร!”

เขาถอยหลังไปเรื่อยๆ จนถึงหน้าประตูสมาคม แล้วก็ผลักประตูออกไปโดยไม่หันหลังกลับมา

ในตอนนี้เองคุณสาวใช้ก็ไปจับประตูที่ถูกผลักจนสั่นไม่หยุดให้หยุดนิ่ง

เธอมองมาทางนายท่านของตนเอง พร้อมพูดขึ้นเบาๆ ว่า “เป็นดวงจิตที่ราคาต่ำและน่าเกลียดอะไรขนาดนี้”

“เวลาเราไปซื้อกับข้าว ก็ไม่ได้เจอวัตถุดิบที่ดีที่สุดเสมอไปไม่ใช่เหรอ?”

ลั่วชิวพูดลอยๆ ขึ้นมา แล้วถึงได้เปิดกล่องออก พร้อมกับหยิบแผ่นทองสัมฤทธิ์ที่อยู่ข้างในออกมา พลางพูดช้าๆ ว่า “ถึงจะพูดแบบนี้ แต่สิ่งนี้ก็คุ้มค่าอยู่เหมือนกัน”