ส่วนที่ 2 ภาคถนนสายนี้ไม่มีผู้มาก่อน ตอนที่ 143 อาทิตย์อัสดงที่ลาลับกลับเป็นรุ่งอรุณ

ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา

เฉินฉางเซิงไม่เคยพบชิวซานจวินมาก่อน เขาเพียงแค่เคยได้ยินการบรรยายจากพวกโก่วหานสือ คำชื่นชมจากชาวโลก และคาดเดาว่าชิวซานจวินจะเป็นคนเช่นไร พวกโก่วหานสือ กวนเฟยไป๋ และชีเจียน ในสายตาของเขาก็ล้วนยอดเยี่ยมอย่างมากแล้ว แต่ละคนล้วนมีจุดที่คู่ควรใช้ชื่นชมและเรียนรู้ แต่พวกเขาทุกคนต่างพากันพูดถึงชิวซานจวิน และล้วนเผยความเชื่อมั่นอย่างถึงที่สุดออกมาตามธรรมชาติ

นี่เป็นเรื่องที่น่ากลัวอย่างมาก ในตอนนี้ซูหลีถึงกับคิดว่าขอเพียงแค่มีชิวซานจวินอยู่ ความวุ่นวายของเขาหลีซานก็น่าจะไม่เป็นอะไร ความเชื่อมั่นเช่นนี้ยิ่งน่ากลัวเข้าไปใหญ่ ต้องรู้ว่าแม้ชิวซานจวินยอดเยี่ยมขนาดไหน ก็เป็นเพียงคนหนุ่มที่มีอายุไม่ถึงยี่สิบปีเท่านั้น ซูหลีอาศัยอะไรมามั่นใจว่าขอเพียงแค่มีเขาอยู่ เขาหลีซานก็จะไม่เกิดความวุ่นวายขึ้นมา เขาไม่เข้าใจ อาจพูดได้ว่า เริ่มที่จะไม่มั่นใจในตัวเอง

หวังผ้อมองสายตาของเขา และพูดขึ้นอย่างจริงจัง “ชิวซานจวิน ไม่เลวอย่างมากเลยจริงๆ”

ทั่วทั้งต้าลู่ล้วนรู้เรื่องสัญญาหมั้นหมายฉบับนั้น แม้แต่เขาก็ยังรู้สึกว่าน่าสนใจอย่างมาก คนมากมายล้วนอยากจะรู้ เฉินฉางเซิง สวีโหย่วหรง และชิวซานจวิน คนหนุ่มสาวทั้งสามคนที่ยอดเยี่ยมที่สุดในยุคนี้ ในอนาคตจะเกิดเรื่องราวเช่นไรขึ้นมา หวังผ้อชื่นชมเฉินฉางเซิงเป็นอย่างมาก ดังนั้นเขาอยากจะเตือนเด็กหนุ่มเสียหน่อยว่าคู่ต่อสู้ในอนาคตของเขานั้นเป็นคนที่ยอดเยี่ยมขนาดไหน

เฉินฉางเซิงไม่รู้ว่าควรจะตอบเช่นไร

ซูหลีพูดขึ้น “เขาเทียบไม่ได้กับชิวซาน อย่างน้อยในตอนนี้ก็ยังเทียบไม่ได้”

หวังผ้อพูดขึ้น “ถึงแม้จะเทียบไม่ได้ แต่ก็ไม่ได้ห่างไกลกันนัก อีกอย่าง จะเทียบได้หรือไม่ก็ล้วนไม่ใช่ปัญหาของพวกเรา”

คำพูดนี้มีการแฝงความนัยอันลึกซึ้งเอาไว้ เฉินฉางเซิงกับสามารถได้ยินได้อย่างชัดเจน

ในบางด้าน เขากับหวังผ้อสามารถที่จะเข้าใจกันได้ ถึงแม้ว่าอันที่จริงในตอนนี้พวกเขาจะยังเป็นคนแปลกหน้ากัน

หวังผ้อกับเฉินฉางเซิงประสานมือคำนับ หลังจากนั้นก็บอกลากัน

อยู่ๆ ซูหลีก็พูดขึ้นมา “ทำไมข้าถึงรู้สึกไม่ค่อยพอใจนัก”

เทพธิดาศักดิ์สิทธิ์มองเขาแล้วแย้มยิ้มพลางพูดขึ้น “หึงแล้วหรือ”

ซูหลีพูดขึ้น “นี่พูดอะไรของเจ้า”

เทพธิดาศักดิ์สิทธิ์พูดขึ้น “เฉินฉางเซิงกับหวังผ้อเป็นคนประเภทเดียวกัน ส่วนเจ้าไม่ใช่”

ซูหลีพูดขึ้นอย่างจนใจ “เจ้าเด็กชิวซานนั่นก็ไม่ได้เหมือนข้าเท่าใดนัก”

เทพธิดาศักดิ์สิทธิ์พูดขึ้น “มีเด็กหนุ่มคนหนึ่งที่เหมือนเจ้าอย่างมาก”

“ใคร”

“หลานของผู้เฒ่าถัง ถังถัง”

ซูหลีพูดขึ้นอย่างรังเกียจ “ข้าเกลียดคนตระกูลถังที่สุด”

เทพธิดาศักดิ์สิทธิ์พูดขึ้น “ที่คนเกลียดที่สุดก็มักจะเป็นตนเอง”

ซูหลีแสยะยิ้มพูดขึ้น “ศิษย์น้องอยู่ที่เทือกเขาเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์นานแล้ว คำพูดคำจาก็ยิ่งน่าเบื่อ”

เทพธิดาศักดิ์สิทธิ์แย้มยิ้มพลางพูดขึ้น “เช่นนั้นศิษย์พี่พาข้าท่องเที่ยวทั่วหล้าสักคราจะดีหรือไม่”

ดังนั้น ก็ไร้คำพูดแล้ว

หวังผ้อเองก็ไม่ได้พูดแล้ว เขาหันกายเดินจากไปทางนอกเมืองสวินหยาง ร่างกายที่ผอมสูงค้อมหลังลงเล็กน้อย มองดูแล้วไหนเลยจะเหมือนกับผู้แข็งแกร่งในประกาศเซียวเหยา ไหนเลยจะเหมือนทหารหาญที่ต่อสู้อย่าสง่างามเมื่อครู่นี้ เขาดูเหมือนเป็นเพียงแค่พนักงานบัญชีที่ยากแค้นเท่านั้น

มองดูเงาหลังของเขา ซูหลีจึงได้ถามขึ้น “เจ้ารู้หรือไม่ว่าทำไมเขาถึงถูกเรียกว่าหวังผ้อแห่งเทียนเหลียง”

แน่นอนว่าคำพูดประโยคนี้เป็นการถามเฉินฉางเซิง

เฉินฉางเซิงพูดขึ้น “ไม่อยากจะรู้”

ซูหลีค่อนข้างจะคาดไม่ถึง และค่อนข้างจะโมโหขึ้นมา

ที่เฉินฉางเซิงสนใจยิ่งกว่าคือปัญหาข้ออื่น “เหตุใดถึงดูคล้ายกับว่าเขาไม่อยากพูดกับท่านอย่างมาก”

ซูหลียิ่งโมโหเข้าไปใหญ่ จึงพูดขึ้น “แต่ไหนแต่ไรมาเจ้าเด็กนี่ก็ไม่ชอบข้า แน่นอนว่าไม่มีทางจะพูดกับข้า”

ดาบเหล็กที่หวังผ้อฝึกฝนอยู่ในเส้นทางที่ตรงไปตรงมา เขาไม่ชอบซูหลีจึงไม่สนใจว่าเป็นซูหลีหรือไม่เป็นซูหลี เช่นเดียวกับที่เขาอยากจะช่วยซูหลีก็มาช่วยซูหลีโดยไม่สนใจว่าจะเป็นซูหลีหรือไม่ ก็เหมือนกับที่เขาเคยพูดไว้เช่นนั้น ปกติเขาจะสนใจที่เรื่องราวไม่สนใจตัวบุคคล

ตอนที่เฉินฉางเซิงยังเตรียมตัวจะพูดอะไรบางอย่าง ก็สังเกตเห็นเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์ที่ยืนข้างกายซูหลีอย่างเงียบๆ มาโดยตลอด นางไม่ได้แทรกบทสนทนาและก็ไม่ได้มีการเคลื่อนไหวใดๆ ก็เหมือนกับนกน้อยที่พักอยู่บนต้นอู๋ถงอย่างเงียบเชียบ ใครจะคิดว่าอาจารย์ปู่เล็กแห่งเขาหลีซานที่ถูกเรียกว่าผู้ที่ฆ่าคนอย่างเลือดเย็นถึงกับมีความสัมพันธ์เช่นนี้กับเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์แห่งแดนใต้ที่ถูกเรียกว่าศักดิ์สิทธิ์และบริสุทธิ์ผุดผ่อง

ซูหลีรู้ว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่ จึงพูดขึ้น “ไม่มีใครที่โดดเดี่ยวเดียวดายอย่างแท้จริง นอกจากเหนียงเหนียงผู้นั้นของพวกเจ้า”

นี่เป็นครั้งที่สองแล้วที่เขาพูดถึงการอนุมานที่คล้ายคลึงกัน ไม่รู้ว่าภายในนั้นมีความหมายลึกซึ้งอะไรแฝงอยู่หรือไม่

เทพธิดาศักดิ์สิทธิ์มองดูเฉินฉางเซิงมาโดยตลอด นางรู้สึกว่าเมื่อเทียบกับซูหลี เด็กหนุ่มดูอึมครึมเกินไปหน่อย และก็เทียบไม่ได้กับท่าทางสง่างามของชิวซานจวิน เพียงแค่พอจะฝืนให้คนพอใจได้เท่านั้น แต่เมื่อนางคิดต่อไป นี่จะเป็นไปได้หรือไม่ที่จะเป็นเพราะความยึดติดในใจของตนกำลังรบกวนอยู่ จึงส่งผลกระทบต่อการตัดสินใจของตน ดังนั้นนางจึงไม่ได้แสดงออกมาเลย

ที่เรียกว่าความยึดติด คือความปรารถนาแล้วไม่สมหวัง

ในตอนนั้นนางกับซูหลีเป็นเพราะเหตุผลซับซ้อนต่างๆ นานาทำให้ไม่อาจอยู่ด้วยกัน และไร้หนทางอยู่ด้วยกันได้ กระทั่งในหลายปีมานี้แม้แต่การติดต่อกันซึ่งๆ หน้าก็ยังไม่มี ขนาดที่สถานศึกษาหนานซีกับพรรคกระบี่เขาหลีซานก็ยังไม่มีคนรู้ ดังนั้นเรื่องการแต่งงานของสวีโหย่วหรง นางจึงมีความคิดของตนมาโดยตลอด

นางอยากให้สวีโหย่วหรงได้แต่งกับชิวซานจวิน

เพราะว่าชิวซานจวินยอดเยี่ยมอย่างแท้จริง ขนาดที่ว่าสมบูรณ์แบบอย่างมาก และคู่ควรกับลูกศิษย์ของตนอย่างสมบูรณ์ อีกทั้งทั่วทั้งต้าลู่ล้วนรู้กัน ถึงแม้จะไม่มีสถานะ แต่ผู้สืบทอดที่แท้จริงของซูหลีในเขาหลีซานก็คือชิวซานจวิน

การหวังให้รุ่นต่อไปสามารถทำเรื่องที่ในตอนนั้นตนทำไม่สำเร็จ ก็เป็นการยึดติดอย่างหนึ่ง

เมื่อคิดถึงตรงนี้ จิตใต้สำนึกก็สั่งให้นางมองไปที่ซูหลีแวบหนึ่ง แววตายังคงซับซ้อนราวทะเลแห่งดวงดาว

“ถึงแม้ข้าจะไม่ชอบเจ้าเด็กนั่น แต่ก็ต้องยอมรับ เขาไม่ได้แย่ไปกว่าชิวซานเลย” ซูหลีมองนางแล้วแย้มยิ้ม พลางพูดขึ้น “เมื่อครู่ข้าจงใจปะทะคารมกับหวังผ้อ ข้าทนเห็นเขามีสภาพตายซากไม่ได้”

เทพธิดาศักดิ์สิทธิ์พูดขึ้น “ชิวซานเป็นผู้สืบทอดของท่าน”

ซูหลีมองไปที่เฉินฉางเซิงแล้วพูดขึ้น “ตลอดทางที่มานี้ข้าก็สอนบางสิ่งบางอย่างให้กับเขา”

เทพธิดาศักดิ์สิทธิ์รู้ชัดถึงนิสัยของซูหลีดีว่าหยิ่งยโสถึงเพียงใด สายตาสูงส่งระดับไหน จึงอดไม่ได้ที่จะตกตะลึงไปบ้าง นางมองทางเฉินฉางเซิงแล้วพูดอย่างแย้มยิ้ม “เช่นนี้แล้ว ข้าคงต้องมองเจ้าอย่างจริงจังเสียแล้ว”

สามารถได้รับคำพูดเช่นนี้จากเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์ จะเป็นใครก็ล้วนรู้สึกภาคภูมิใจ โดยเฉพาะหากเฉินฉางเซิงต้องการแต่งกับสวีโหย่วหรง คำพูดประโยคนี้ของเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์ก็มีความนัยแฝงอยู่ มีแต่จะยิ่งทำให้เขาดีใจ แต่ในตอนนี้เมื่อได้เห็นชุดสีขาวของเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์ จิตใจสำนึกของเขาก็นึกไปถึงชุดสีขาวชุดนั้นในสวนโจว นึกถึงเด็กสาวนางนั้น ดังนั้นเวลาถัดมาจึงมีคำพูดประโยคหนึ่งหลุดออกมาจากปากของเขา

“ท่านเข้าใจผิดแล้ว ข้ามิได้คิดจะทำตามการหมั้นหมาย”

เมื่อพูดประโยคนี้จบ ความรู้สึกของเฉินฉางเซิงก็เปลี่ยนเป็นแปลกประหลาดขึ้นมา ราวกับได้ย้อนกลับไปยังจวนขุนพลเทพตงอวี้ที่จิงตูเมื่อหนึ่งปีก่อน จึงผ่อนคลายลงไปบ้าง แต่กลับไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดถึงได้รู้สึกผิดหวังขึ้นมาอีก ราวกับสูญเสียอะไรบางอย่างไป

บางทีอาจเป็นการที่ไม่ต้องแบกรับอะไรอีก เดิมทีก็มีความรู้สึกสองอย่างที่ขัดแย้งกันอยู่แล้ว

ในตอนที่ท่าทีของเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์เพิ่งจะเปลี่ยนแปลงไป เขาก็พูดถึงเรื่องการถอนหมั้น แน่นอนว่าเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์จะต้องโมโห เขาไม่กล้าเผชิญหน้า จึงมองไปที่ซูหลีแล้วพูดขึ้น “ผู้อาวุโส หลังจากกลับเขาหลีซานแล้ว รบกวนช่วยจัดการกับเรื่องนั้นให้เร็วที่สุดด้วย”

แน่นอนว่าที่เขาพูดถึงคือเรื่องที่เหลียงเสี้ยวเซียวใช้การตายกล่าวหาว่าพวกเขาสามคนร่วมมือกับเผ่ามาร

ซูหลีไม่ได้พูดอะไร ชีเจียนเป็นบุตรสาวของเขา แน่นอนว่าเขาจะต้องจัดการกับเรื่องนี้

อยู่ๆ เฉินฉางเซิงก็นึกถึงอีกเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ เขามองไปที่ซูหลีแล้วถามขึ้นอย่างจริงจัง “ผู้อาวุโส ข้าชนะแล้ว”

จากพื้นที่ราบหิมะในอาณาเขตเผ่ามารจนกลับมาถึงโลกมนุษย์ ในค่ายทหารก็ถูกลอบสังหาร ตามมาติดๆ ที่ป่าหิมะก็ถูกทหารของต้าโจวไล่ฆ่า

ในตอนนั้นเฉินฉางเซิงกับซูหลีเคยมีบทสนทนากันช่วงหนึ่ง หลังจากนั้นก็ยังมีอีกหลายครั้ง…ซึ่งเป็นคำพูดที่เกี่ยวข้องกับโลกใบนี้ไปจนถึงใจคน

ซูหลีคิดว่าโลกใบนี้ช่างหนาวเหน็บ เฉินฉางเซิงคิดว่าโลกใบนี้นั้นอบอุ่น ซูหลีคิดว่าใจคนล้วนชั่วร้าย เฉินฉางเซิงคิดว่าไม่ใช่หัวใจของทุกคนที่จะเป็นเช่นนี้ พวกเขาไม่ได้พนันกัน แต่ต่างฝ่ายต่างรู้ว่าอีกฝ่ายคิดอะไรอยู่ จนกระทั่งถึงท้ายที่สุด ภายใต้แสงอาทิตย์ในฤดูใบไม้ผลิอันงดงามของเมืองสวินหยาง เฉินฉางเซิงเปิดหน้าต่างออก และตะโกนคำพูดประโยคนั้นออกมา เป็นการเปิดฝาครอบลูกเต๋าออก

เฉินฉางเซิงคิดว่าตนชนะแล้ว

ซูหลีพูดขึ้น “ก็เหมือนที่จูลั่วพูดเช่นนั้น ทั่วทั้งโลกใบนี้ มีเพียงแค่เจ้าทึ่มคนหนึ่ง เด็กหนุ่มคนหนึ่ง กับผีตนหนึ่งที่มิอาจต้องแสง”

เฉินฉางเซิงพูดขึ้น “แต่อย่างไรเสีย สุดท้ายแล้วก็มีเจ้าทึ่มคนหนึ่ง มีเด็กหนุ่มคนหนึ่ง อีกทั้งผีที่ไม่อาจเผชิญแสงตนนั้น ปรากฏตัวขึ้นท่ามกลางแสงตะวัน และยืนอยู่ที่เบื้องหน้าของท่าน”

มือสังหารผู้นั้นที่ตามพวกเขามานับสิบวัน ในสายตาของเฉินฉางเซิง นี่เป็นเรื่องราวที่งดงาม เป็นนิทานอันแสนอบอุ่น

เขาพูดขึ้น “เรื่องจริงได้พิสูจน์แล้ว ว่าจิตใจคนนั้นดีงาม”

ซูหลีส่ายหัว แล้วพูดขึ้น “ข้ายังคงไม่คิดเช่นนี้”

เฉินฉางเซิงพูดขึ้น “แต่อย่างน้อยก็ยังมีด้านที่ดีอยู่ ก็เหมือนผู้อาวุโสที่ฆ่าคนอย่างเด็ดขาด มองใต้หล้าอย่างหยิ่งยโส แต่ก็มีด้านที่ดีอยู่”

ซูหลีเลิกคิ้วพูดขึ้น “ไม่ใช่ขนมเบื้องทอดเสียหน่อย ไหนเลยจะมีหลายด้านปานนั้น อยากจะเพิ่มไข่สักหน่อยหรือไม่”

เฉินฉางเซิงถามขึ้น “ในบ่อน้ำพุร้อนที่ภูเขาหิมะ ในตอนแรกสุดเหตุใดผู้อาวุโสถึงได้หลอกข้า ไม่เสียดายที่จะแสดงตนเป็นผู้ร้ายเพื่อยั่วโมโหข้า ข่มขู่ข้า ก็เพื่อจะให้ข้าจากไป ท่านสามารถพูดอธิบายได้ทั้งหมด”

คำถามนี้ในตอนแรกเริ่มก็เคยถามซูหลีไปแล้ว แต่ซูหลีไม่ได้ให้คำตอบใดๆ

ซูหลีมองไปที่ตาของเขา แล้วพูดขึ้น “ไม่ใช่เพราะว่าข้าเป็นคนดี แต่เป็นเพราะว่าเจ้าเป็นคนดี เป็นคนจริง ดังนั้นถ้าหากข้าพูดตรงๆ ว่าให้เจ้าจากไป เจ้าก็ไม่มีทางจากไป”

เฉินฉางเซิงนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง แล้วพูดขึ้น “แต่ท่านก็ยังอยากให้ข้าจากไป ไม่อยากจะทำให้ข้าต้องเดือดร้อน”

เขาคิดว่า นี่ก็คือหลักฐานที่ดีที่สุด

ซูหลีเป็นคนดี

ไม่รู้ว่าเพราะอะไร เขาถึงยึดติดที่จะพิสูจน์เรื่องนี้เป็นอย่างมาก

ซูหลีถูกเขาตื๊อจนเริ่มรำคาญ จึงพูดขึ้น “ข้าไม่ใช่คนดี ข้าเพียงแค่เชื่อว่าพวกเจ้าที่เป็นคนหนุ่มสาวเหล่านี้ ในอนาคตจะต้องแข็งแกร่งยิ่งกว่ารุ่นของพวกข้า ดังนั้นจึงไม่อยากให้เจ้าตายเร็วเกินไปนัก”

“หา?”

“มนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตที่น่าสนใจอย่างมาก มักจะชอบรำลึกถึงอดีต รู้สึกว่าของเก่าก็ดีอยู่แล้ว อดีตถึงจะเป็นสิ่งที่สมบูรณ์แบบ แต่ข้ามิได้คิดเช่นนี้ ข้าคิดว่ารุ่นถัดไปมักจะแข็งแกร่งยิ่งกว่ารุ่นก่อน อาจารย์ของข้าแข็งแกร่งยิ่งกว่าผู้ก่อตั้งพรรคกระบี่เขาหลีซาน ข้าแข็งแกร่งกว่าอาจารย์ของข้า ดังนั้นข้าต้องแข็งแกร่งกว่าตาเฒ่าอิ๋น และผู้แข็งแกร่งในรุ่นของพวกจูลั่ว พวกหวังผ้อเองก็ต้องแข็งแกร่งกว่าคนในรุ่นข้า และคนในรุ่นชิวซานจวินกับเจ้าก็จะต้องแข็งแกร่งยิ่งกว่าพวกเขา มีเพียงเชื่อมั่นในจุดนี้ และมุมานะเพื่อสิ่งนี้ มนุษย์ถึงจะสามารถดำรงอยู่บนแผ่นดินต้าลู่ต่อไปได้ และจะยิ่งมีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นเรื่อยๆ”

อาทิตย์อัสดงจะลงสู่พื้นดินอย่างสมบูรณ์แล้ว ในเมืองสวินหยางค่อนข้างจะมืด แต่ไม่ได้ทำให้คนรู้สึกเจ็บปวด กลับเหมือนยามรุ่งอรุณ ก็เหมือนคำพูดของซูหลีเหล่านี้อย่างไรอย่างนั้น มันเต็มไปด้วยกลิ่นอายของชีวิตที่สดใหม่

“ดังนั้นท่านจึงคอยช่วยข้ามาโดยตลอด คอยสั่งสอนข้า”

“ใช่ เทียบกับพวกตาแก่ ข้าชอบพวกคนหนุ่มสาวอย่างเช่นพวกเจ้ามากกว่า”

“ดังนั้นในตอนนั้นท่านถึงไม่ได้ฆ่าเหลียงหวังซุนกับเหลียงหงจวง เหลียงเสี้ยวเซียวยังได้เข้าพรรคกระบี่เขาหลีซาน ก่อนหน้านี้ในโรงเตี๊ยมถึงจะเป็นอันตรายขนาดนั้น กระบี่สุดท้ายของท่านก็ยังไม่ได้ไปอยู่ที่ร่างของเซียวจางกับเหลียงหวังซุน”

“อาจจะ แต่ใครบอกเจ้ากันว่านั่นเป็นกระบี่สุดท้ายของข้า”

“ทว่า เหตุท่านถึงไม่ชอบผู้ชราเหล่านั้นกัน”

“ตาเฒ่าพวกนั้น…แก่แล้ว ผุพังแล้ว เต็มไปด้วยบรรยากาศอึมครึม ไม่ต้องการความก้าวหน้า รู้จักเพียงแค่การใช้แผนการร้าย ไม่เปิดเผย ไม่ตรงไปตรงมา ไม่ส่องประกาย ดังนั้นจึงไม่แหลมคม ไม่มีพลังของความแหลมคม ไม่มีความหมายใดๆ ต่อมวลมนุษย์ ดังนั้นข้าจะมองดูพวกเขาต่อไป แต่พวกเจ้าจะต้องรีบแทนที่ขึ้นมา”

“แทนที่ขึ้นมาหรือ”

“ใช่ แทนที่ขึ้นมาค้ำจุนฟ้าดิน”

เมื่อพูดประโยคนี้จบ ซูหลีกับเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์ก็เคียงบ่าเคียงไหล่กันออกไปนอกเมืองสวินหยาง

เฉินฉางเซิงนั้นยืนอยู่ที่ด้านหลังของพวกเขา

หัวเจี้ยฟูกับเหล่านักบวชยืนอยู่ตรงที่ที่ยิ่งไกลออกไป

อาทิตย์อัสดงราวกับอาทิตย์ยามรุ่งอรุณ สายลมในยามราตรีเย็นสบายราวกับสายลมในยามเช้า หยาดฝนที่เหลือค้างบนถนนราวกับหยาดน้ำค้าง จากสวนโจวมาถึงเมืองสวินหยาง เรื่องราวที่เขาได้เผชิญมาเหล่านี้ไม่เหมือนกับภาพฝัน ความเป็นจริงนั้นเหมือนกับบาดแผลที่อยู่บนร่างของเขา แต่ในช่วงรำไรนั้น เขามักจะรู้สึกว่าตนราวกับลืมเรื่องที่สำคัญอย่างมากไปเรื่องหนึ่ง

เขาไม่รู้ว่าจิงตูในตอนนี้ กำลังมีคลื่นลมที่กำลังรอคอยตัวเขาอยู่

เขาคิดเพียงแค่จะนึกเรื่องนั้นให้ออกเท่านั้น

หลังจากนั้น เขาก็นึกขึ้นมาได้

เขาตะโกนใส่เงาหลังของซูหลีที่อยู่ภายใต้อาทิตย์อัสดง “ผู้อาวุโส…ร่มคันนั้นเป็นของข้า”