DND.893 – อาจารย์ผู้แก่วิชา
ใต้แท่นบูชาของผู้เข้าร่วมพิธีเริ่มสั่นในความเร็วที่มากขึ้นภาษาไม้ที่ปรากฏออกมาเองก็ซับซ้อนและแปลกยิ่งขึ้นไปด้วย ยิ่งไปกว่านั้นมันยังปรากฏขึ้นในเวลาที่น้อยกว่ารอบที่แล้วมากกว่าครึ่งก่อนจะเปลี่ยนเป็นคำใหม่
หรือพูดอีกอย่างก็คือภาษาไม้ที่แสดงออกมาในรอบกลางนั้นจะยากยิ่งกว่ารอบแรก
ชายสองหัวฉินหลินตอบอย่างรวดเร็วทั้งสองตอบได้อย่างถูกต้องแม่นยำ
ผู้จัดพิธีกล่าว
“ฉินหลินสองคะแนน”
ฉินหลินทำสำเร็จอีกครั้งในรอบที่สองและได้ไปสองคะแนน
ในรอบสามพวกเขาก็ทำสำเร็จอีก และในรอบที่สี่…พวกเขาไม่พลาดเลยจนถึงรอบที่สิบเอ็ด และนั่นก็เป็นเวลาที่แท่นบูชาหยุดสั่น
ซือหยูสังเกตว่าพวกเขาสามารถจะทำพลาดมากเท่าใดก็ได้ในขั้นแรกแต่ถ้าหากทำผิดพลาดครั้งเดียวในขั้นกลาง พวกเขาจะล้มเหลว
พวกเขาจะได้คะแนนเดียวในแต่ละการแปลของขั้นแรกและได้สองคะแนนในขั้นกลาง แล้วขั้นสุดท้ายจะมีคะแนนมากเท่าใดกัน?
ลู่จือยี่พ่ายแพ้ในขั้นแรกไปแล้วนางย่อมต้องลงจากแท่นบูชา จากนั้นก็มีคนใหม่มาแทนที่นาง
“แม่สาวน้อยเจ้าไม่ได้แย่นักหรอก เจ้ามีทักษะของเฉียนอยู่บ้าง…”
ฉินหลินทั้งสองหัวพูดพร้อมกับเพื่อชมเชยลู่จือยี่
รองผู้จัดการใหญ่กับนักบวชโซก็พอใจกับความสามารถของลู่จือยี่เช่นกันนางอยู่ได้นานกว่าที่พวกเขาคาดเอาไว้
แต่พวกเขาก็หยุดขมวดคิ้วไม่ได้เมื่อมองฉินหลินชายสองหัวผู้นี้มีความรู้ในภาษาไม้อย่างกว้างขวางและมากกว่าปีที่แล้ว พวกเขาตกใจที่ฉินหลินไปต่อได้จนถึงรอบที่สิบเอ็ด เพราะทั้งสองไม่เคยผ่านเกินรอบเก้ามาก่อน
ผู้จัดพิธีกล่าว
“ลู่จือยี่ได้ห้าคะแนนฉินหลินได้สิบห้าคะแนนในขั้นแรก ยี่สิบคะแนนในขั้นกลาง รวมทั้งหมดเป็นสามสิบห้าคะแนน ตามข้อตกลงของทั้งสองฝ่าย คะแนนจะนำมารวบรวมกันเมื่อจบพิธี ผู้ที่ได้คะแนนสูงกว่าจะเป็นฝ่ายชนะ และผู้ชนะจะได้คะแนนทั้งหมดโดยการหักลบกับคะแนนของผู้แพ้”
นี่คือข้อตกลงของทั้งสองฝ่ายหากฝ่ายชนะคือดินแดนมีดสวรรค์ มันก็จะเป็นไปตามนั้น และถ้าหากฝ่ายชนะคือดินแดนพรสวรรค์ ดินแดนมีดสวรรค์ก็จะเสียจำนวนร้านในเมืองเทียนหยาจนกระทั่งไม่มีร้านเหลือและต้องออกจากเมืองเทียนหยาไป
ผู้เข้าพิธีคนใหม่คือยอดฝีมือจากตำหนักศีลหวนคืนจากสำนักบัญชาเวหา เขาคืออวี่เฉินเหวิน
ส่วนฉินหลินนั้นยังคงอยู่บนแท่นบูชาเพราะเป็นผู้ชนะในรอบที่แล้วพวกเขาไม่ต้องหาคนมาแทน
ซือหยูอยากจะก้าวขึ้นไปด้วยตัวเองเพื่อไล่ฉินหลินออกจากแท่นบูชานั่นจะช่วยให้พวกเขาไม่เสียคะแนนไปมากกว่านี้
แต่เมื่อซือหยูเห็นสีหน้าดำมืดของนักบวชโซกับรองผู้จัดการใหญ่เขาก็เลิกล้มความคิดนั้นไป ต่อให้เขาร้องขอ ทั้งสองก็คงไม่ยอมให้ซือหยูขึ้นแท่นบูชาก่อน
“จะอย่างไรก็ได้เรื่องการค้าในเมืองเทียนหยาของตำหนักโลหิตไม่ได้เกี่ยวกับข้าอยู่แล้ว ข้าทำดีที่สุดก็พอ…”
ซือหยูพูดเบาๆกับตัวเอง
อวี่เฉินเหวินนั้นแย่กว่าลู่จือยี่เล็กน้อยเขาทำได้แค่สี่รอบ อยู่บนแท่นบูชาเพียงสิบนาที ส่วนฉินหลินก็ไปถึงขั้นกลางในรอบที่สิบเอ็ดในคราเดียวอีกครั้ง
“อวี่เฉินเหวินสี่คะแนน ฉินหลิน สามสิบห้าคะแนน”
ในรอบต่อไปเป็นคราวของฮั่วหูเหมยจากสำนักเนตรอสูรนางมีความสามารถที่แย่ยิ่งกว่าอวี่เฉินเหวิน นางผ่านเพียงสามรอบก่อนจะพ่ายแพ้ ฉินหลินไปถึงขั้นกลางดังเดิม แต่ครั้งนี้ทั้งคู่ไปได้เพียงรอบที่เก้า
“ฮั่วหูเหมยสามคะแนน ฉินหลิน สามสิบสามคะแนน”
เมื่อเห็นเช่นนี้สีหน้าของรองผู้จัดการใหญ่และนักบวชโซเริ่มไม่น่าดู ในปีก่อนหน้า พวกเขามีเฉียนคอยรับหน้าสนับสนุนทำให้ได้หลายคะแนน แต่ตอนนี้คนที่เก่งที่สุดของพวกเขาคือลู่จือยี่ที่ได้แค่ห้าคะแนน ความแตกต่างระหว่างนางกับศัตรูมีอยู่มากมายนัก
พวกเขาจะได้ร้านตามจำนวนคะแนนที่เหนือกว่าฝ่ายตรงข้ามดังนั้นอีกฝ่ายก็ย่อมได้ไปแล้วเก้าสิบร้าน นั่นคือจำนวนหนึ่งในสิบของร้านจากตำหนักโลหิตและเมฆาม่วงรวมกัน
ซ้ำร้ายคือการแข่งเพิ่งจะเริ่มดินแดนพรสวรรค์ยังต้องท้าทายฉินหลินต่อไป
หลังจากผ่านไปครึ่งวันกลุ่มคนจากดินแดนพรสวรรค์เงียบกริบ ไม่มีใครพูดออกมาแม้แต่คำเดียวหลังจากที่ได้เห็นสภาพการณ์อันย่ำแย่ พิธีเซ่นดำเนินไปอีกเก้ารอบ พวกเขาพ่ายแพ้หมดรูปทุกรอบ ยิ่งผ่านไปเท่าใดก็ยิ่งแย่เท่านั้น
ในรอบสุดท้ายดินแดนพรสวรรค์ไม่ได้สักคะแนนเดียว ความแตกต่างระหว่างทั้งสองฝ่ายนั้นเกินไปแล้วสี่ร้อยคะแนน มันหมายความว่าอย่างไรน่ะหรือ? มันหมายความว่าดินแดนพรสวรรค์จะเสียร้านค้าไปกว่าครึ่ง
ครึ่งส่วนของเมืองเทียนหยาถูกกลืนไปแล้ว!ตำหนักจะไม่มีทางให้อภัยรองผู้จัดการใหญ่และนักบวชโซกับความสูญเสียครั้งนี้แน่
ในอดีตแม้ว่าเฉียนจะเอาชนะฉินหลินไม่ได้ เขาก็ยังสามารถรับมือกับคนรู้ภาษาไม้คนอื่นได้ เขาเอาชนะคนอื่นๆได้อย่างง่ายดาย นั่นทำให้พวกเขามีคะแนนพอที่จะเหนือกว่าศัตรู
แต่พวกเขาไม่มีเฉียนอีกแล้วพวกเขาจะเอาคะแนนกลับคืนมาได้อย่างไร?
“เหลืออีกสองรอบเท่านั้นหึหึ ดินแดนพรสวรรค์แย่ลงไปทุกปีๆจริงๆ”
หูหวังกุยแสยะยิ้มเพราะรู้สึกว่าเขาชนะแล้วเขาต้องจ่ายหนักอย่างมากในการติดสินบนผู้รู้ภาษาไม้จากตำหนักศีลหวนคืนและขอให้สังหารเสี้ยนหนามสกุลเฉียนทิ้งไปเสีย นั่นคือการตัดสินใจที่ดีที่สุดที่เขาเคยทำมา
ทุกอย่างเป็นไปตามแผนและหลังจากที่ฉินหลินจัดการกับสองคนสุดท้าย ทุกอย่างจะอยู่ในมือของเขา ดินแดนมีดสวรรค์จะมีร้านในควบคุมมากกว่าสี่ร้อยล้าน หึหึ พวกเราขโมยร้านของพวกดินแดนพรสวรรค์มาได้ครึ่งหนึ่งแล้ว…เขาคิด
ในอนาคตเมืองเทียนหยาย่อมอยู่ใต้อาณัติของดินแดนมีดสวรรค์
นักบวชโซกับรองผู้จัดการใหญ่พูดไม่ออกแม้ว่าทั้งคู่จะดูสุขุม หัวใจก็ได้ชินชาในความเศร้าไปเสียแล้ว
“รอบต่อไปอาจารย์เกา โปรดขึ้นแท่นบูชา!”
ฉินหลินมองเขาและพูดอย่างใจเย็น
“เหลือเจ้าไว้คนสุดท้ายๆอย่างนี้ตำหนักโลหิตคงไม่ได้ให้ค่าเจ้านักสินะ ยังต้องแข่งขันกันต่ออีกหรือ?”
ห้ารอบที่ผ่านมานั้นดินแดนพรสวรรค์ได้ศูนย์คะแนน รอบนี้ก็คงจะเป็นเช่นเดียวกัน
อาจารย์เกาพูดอย่างใจเย็น
“เริ่มเลย!”
“เริ่มพิธีเซ่นที่สิบสาม”
ผู้คนตะโกนการแข่งเซ่นสังเวยเริ่มขึ้นอีกครั้ง
แท่นบูชาสั่นสะเทือนภาษาไม้มากมายปรากฏขึ้นมา ฉินหลินเพียงแค่เขียนผ่านกระดาษพร้อมโยนให้หูหวังกุย
แต่สิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้นศัตรูของเขาก็เขียนเช่นกัน เขาเขียนช้ากว่าฉินหลินเพียงแค่สองวินาทีเท่านั้น
“เขาเร็วขนาดนี้เชียวรึ?”
ฉินหลินตกใจแม้แต่ลู่จือยี่ก็ช้ากว่าเขามาก ชายแก่ที่ถูกจัดให้อยู่ในลำดับท้ายคนนี้มีความสามารถเพียงใดกัน?
ฉินหลินค่อนข้างระแวงเขามองขู่แข่งเขียนคำแปลและส่งให้กับคนที่ส่งของเซ่น สุดท้าย แสงสว่างก็ได้ปรากฏที่ศีรษะอาจารย์เกาโอบล้อมร่างกายของเขา
ฉินหลินตัวแข็งทื่อแววตาของเขาดำมืด หัวทั้งสองรู้แล้วว่ามีสิ่งผิดปกติ ชายแก่ตรงหน้าพวกเขาแตกต่างจากคนอื่น สัญชาตญาณบ่งบอกแล้วว่าชายแก่คนนี้ไม่ธรรมดา
หูกวังกุยขมวดคิ้ว
“บังเอิญรึ?”
“ฉินหลินได้หนึ่งคะแนนอาจารย์เกา…”
รองผู้จัดการใหญ่กายสะท้านพวกที่มาก่อนอาจารย์เกาล้วนไม่ได้คะแนนติดมือ และอาจารย์เกาก็ไม่ได้การชี้แนะจากเฉียน เขาก็ควรจะได้ศูนย์คะแนน
“…ได้หนึ่งคะแนน”
คำพูดดังสะท้อนดั่งศิลาจมวารีกระเพื่อมในใจรองผู้จัดการใหญ่เขาเบิกตาโพลง
แท่นบูชายังคงสั่นต่อไปข้อความภาษาไม้บรรทัดที่สองปรากฏ ฉินหลินแปลความอย่างง่ายดายเช่นเดียวกับอาจารย์เกา ทั้งสองได้คะแนน
รองผู้จัดการใหญ่ฝืนยิ้มอาจารย์เกามิได้พ่ายแพ้ราบคาบเหมือนผู้อื่น แต่มันจะเป็นไปด้วยดีหรือ? ความแตกต่างระหว่างทั้งสองฝ่ายนั้นมากนัก แค่คนเดียวมิอาจเปลี่ยนอะไรได้
การแข่งขันดำเนินต่อไป
“ในรอบที่สามทั้งสองฝ่ายได้คะแนน!”
อาจารย์เกาผ่านสามรอบในคราเดียว
“รอบที่สี่ทั้งสองฝ่ายได้คะแนน!”
ในที่สุดรองผู้จัดการใหญ่ก็สังเกตได้ว่ามีบางอย่างที่แปลกๆเขาเบิกตากว้างด้วยความหวังในดวงตาอันว่างเปล่า
ผู้หม่นหมองผู้เจ็บปวด และผู้ละอายจากดินแดนพรสวรรค์ลืมตาขึ้นเช่นกัน พวกเขามองแท่นบูชาด้วยความตกใจ
“เกิดอะไรขึ้น?ชายแก่นั่นอยู่ฝั่งเดียวกับเรารึ?”
“เขาคืออาจารย์เกาที่มีชื่อเสียงเขาดูเหมือนคนจากดินแดนพรสวรรค์ของเจ้าหรือไม่เล่า?”
ในตอนนั้นรอบที่ห้าจบลง ทั้งสองฝ่ายได้คะแนน
“หา!เขาผ่านห้ารอบต่อเนื่องกัน เขาทำมันอย่างง่ายดายด้วย คุณพระคุณเจ้า! อาจารย์เการู้ภาษาไม้ถึงเพียงนี้เชียว”
“ไม่มีเหตุผลเสียเลยถ้าเป็นเช่นนี้ ทำไมรองผู้จัดการใหญ่กับนักบวชโซถึงไม่ใช้งานเขาให้เร็วกว่านี้เล่า?”
พวกเขาไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นเช่นเดียวกันกับนักบวชโซและรองผู้จัดการใหญ่
สีหน้าผิดหวังของทั้งสองหายไปแล้วพวกเขามองหน้ากันด้วยดวงตาเปล่งประกายขณะที่บีบมือที่ไพล่หลังอยู่จนแน่น พวกเขาทั้งกังวลใจและตื่นเต้น
“ปีศาจเฒ่าอู๋อาจารย์เกาไม่ได้แย่ไปกว่าเฉียนเลย เจ้ามีปราชญ์อยู่กับตัวเช่นนี้ใยไม่ใช้เขาตั้งแต่แรกเริ่ม? เราจะได้พลิกผันเรื่องราวไปได้”
นักบวชโซตื่นเต้นและคิดถึงสิ่งที่ไม่เกิดขึ้น
ใบหน้าของรองผู้จัดการใหญ่มีแต่ความสับสน
“ข้าก็ไม่รู้เลยอาจารย์เกาเริ่มศึกษาภาษาไม้มาแค่สามปี ข้าตรวจสอบความสามารถของเขาตั้งแต่หลายวันก่อนแล้ว เขาน่าจะอยู่ในระดับทั่วไป ข้าไม่รู้ว่าเขาแสดงความรู้ออกมาขนาดนี้ได้เช่นใด”
“เรื่องเช่นนี้เป็นจริงได้ด้วยหรือ?”
นักบวชโซมองรองผู้จัดการใหญ่ด้วยความกังขาเขาจะไปเชื่อคำพูดเช่นนี้ได้อย่างไร?
รองผู้จัดการใหญ่ทั้งไม่พอใจและตลกขบขันเขาจะโกหกทำไมเล่า? ความแตกต่างของอาจารย์เกาเมื่อหลายวันก่อนกับวันนี้มันมากเกินไป แม้แต่เขาเองก็ตกใจอย่างมาก….ไอลีนโนเวล
“ค่อยว่ากันทีหลังแต่ตอนนี้ดูไปก่อนเถอะ ถ้าอาจารย์เกาเก่งกาจเท่าเฉียน มันก็เป็นไปได้ที่เราจะพลิกสถานการณ์กลับมา”
รองผู้จัดการใหญ่พูดด้วยเสียงลึกล้ำพร้อมกลืนน้ำลายด้วยความตื่นเต้น
ถึงแม้นักบวชโซจะยังระแวงเขาก็จับจ้องอาจารย์เกาผู้พุ่งทะยานดั่งดาวตกไม่วางตา เขาคาดหวังกับอาจารย์เกาไว้สูงมาก
ในรอบที่หกทั้งสองฝ่ายได้คะแนน
ในรอบที่เจ็ดทั้งสองฝ่ายได้คะแนน
ในรอบที่แปดทั้งสองฝ่ายได้คะแนน
ยิ่งผ่านไปเท่าใดคนฝั่งดินแดนพรสวรรค์ก็ยิ่งมึนงงมากขึ้น พวกเขาก็มีปราชญ์ระดับฉินหลินเหมือนกันโดยที่ไม่คาดคิดเลย
แม้แต่คนดูนับล้านก็สนใจกับการแข่งรอบท้ายที่เกือบจะจบครั้งนี้พวกเขางุนงงกันไปหมด
“ดินแดนพรสวรรค์ทำอะไรของพวกเขากัน?ถ้าหากมีคนแบบนี้อยู่แล้วทำไม่ใช้ตั้งแต่ก่อนหน้า พวกข้าเป็นห่วงไปเพื่อสิ่งใด”
“ฮ่าๆๆๆน่าสนใจยิ่งนัก! ข้าเกือบจะเบื่อจนตายไปเสียแล้ว แต่ตอนนี้มีคนที่พอใช้ได้ปรากฏขึ้นมาแล้ว”
ขณะที่เหล่าคนจากดินแดนพรสวรรค์ตื่นเต้นปีศาจเด็ดดาวชักสีหน้าเมื่อได้เห็นสถานการณ์กำลังพลิกผัน เขาชี้ที่อาจารย์เกาบนแท่นบูชาและตะโกน
“หูหวังกุยเกิดอะไรขึ้น? เจ้าบอกว่าเจอทางกำจัดศัตรูที่เป็นเสี้ยนหนามไปแล้วไม่ใช่หรือ? ทำไมยังมีคนที่เก่งกว่าเฉียนอยู่อีก”
หูหวังกุยสีหน้าดำมืดอยู่ก่อนแล้ว
“ข้าไม่รู้เรื่องเลยอาจารย์เกามีความรู้แค่ระดับทั่วไป ข้าไม่รู้ว่าเขาทำถึงขั้นนี้ได้ยังไง”
“ฮื่ม!เจ้าขอพรกับสวรรค์เถอะว่าเราจะได้ร้านมากกว่าครั้งที่แล้ว มิเช่นนั้นจ้าวดินแดนมีดสวรรค์จะหาคนมาแทนที่เจ้าแน่…”
ปีศาจเด็ดดาวกล่าว
ในรอบที่สิบเอ็ดทั้งสองฝ่ายได้คะแนน ในรอบที่สิบสอง…
มันเป็นเช่นนี้ต่อไปจนขั้นแรกจบทั้งสองฝ่ายได้สิบห้าคะแนน
สีหน้าของฉินหลินหม่นหมองเขาถาม
“อาจารย์เจ้าคือผู้ใดกัน?เจ้าคนชื่อเฉียนนั่นยังมีความรู้น้อยกว่าเจ้าเลย”
สีหน้าอาจารย์เกานิ่งไม่ไหวติง
“เจ้าไม่จำเป็นต้องรู้แข่งกันต่อเถิด”
การแข่งขั้นกลางเริ่มขึ้นในรอบแรก ทั้งสองฝ่ายได้คะแนน ในรอบสองก็ได้คะแนนทั้งสองฝ่ายเช่นกัน
ในรอบที่ห้าทั้งสองฝ่ายได้คะแนน
หากอาจารย์เกามาถึงรอบที่ห้าในขั้นกลางนั่นก็แสดงว่าเขาเหนือกว่าเฉียนที่มาถึงรอบที่สี่แล้ว
รองผู้จัดการใหญ่กับนักบวชโซตะโกนด้วยความตื่นเต้นมันน่าตกใจ น่าตกใจอย่างมาก แม้ว่าเฉียนจะตายไป คนที่ยอดเยี่ยมกว่าเขาก็ปรากฏตัวขึ้นมา
ตามกฎหากฝั่งดินแดนพรสวรรค์ถูกท้าทาย พวกเขาก็ย่อมมีโอกาสเลือกท้าทายตัวแทนทุกคนจากดินแดนมีดสวรรค์
ด้วยความสามารถของอาจารย์เกาเขาควรจะบดขยี้ตัวแทนคนอื่นได้ทุกคนและได้คะแนนกลับมาเป็นจำนวนมาก ดูเหมือนว่าความพ่ายแพ้ครั้งนี้จะไม่แย่อย่างที่พวกเขาคาดคิด
ราวกับว่าหัวใจอันเศร้าหมองของทุกคนกลับมาได้รับพิรุณใบไม้ผลิใบหน้าหมองของหลายๆคนเริ่มมีสีสัน พวกเขายิ้มด้วยความยินดี
แต่รอบที่ห้าคือขีดจำกัดของอาจารย์เกาเขาช้ากว่าฉินหลิน ในรอบถัดไป เขามิอาจแปลความได้ เขาทำได้แต่ยอมแพ้และลงจากแท่นบูชา
จิตใจของฉินหลินกดดันอย่างมากในครั้งนี้พวกเขาล้มเหลวในการแปลความที่แปด
“ฉินหลินได้สามสิบเอ็ดคะแนนอาจารย์เกา…ยี่สิบห้าคะแนน”
ผู้จัดพิธีพักไปครูหนึ่งเมื่อกล่าวคะแนนของอาจารย์เกาเขาเองก็แปลกใจกับผลลัพธ์ประหลาดในเวลานี้ อีกฝ่ายนั้นกดดันอย่างหนักขณะที่อีกฝ่ายพุ่งทะยานดั่งดาวตก คนดินแดนพรสวรรค์ที่จัดเรียงคนแข่งในครั้งนี้ป่วยไข้หรืออย่างไร? ทำไมต้องเหลือไพ่ตายไว้ในเวลาสุดท้ายด้วยเล่า?
เมื่ออาจารย์เกาลงจากแท่นบูชารองผู้จัดการใหญ่กับนักบวชโซก็ยืนขึ้นพร้อมกันเพื่อต้อนรับเขาด้วยรอยยิ้มและชื่นชม
“หึหึข้าไม่คิดเลยว่าปราชญ์ที่แท้เป็นท่าน ข้าช่างตัดสินได้เลวร้าย ขอได้แต่วิงวองให้ท่านอภัยให้ข้าจากเรื่องในอดีต”
นักบวชโซกล่าวด้วยรอยยิ้มเขารู้ว่าเขาทำให้อาจารย์เกาไม่พอใจเพียงเพราะต้องการจะเอาใจเฉียน
รองผู้จัดการใหญ่สีหน้ารู้สึกผิด
“ข้าก็หวังว่าท่านจะไม่ถือเรื่องเมื่อวานมากนัก”
อาจารย์เกายิ้มและพยักหน้า
“ทุกท่านพูดสิ่งใดกันอยู่หรือ? นี่ย่อมเป็นหน้าที่ของข้าที่จะรับใช้ดินแดนพรสวรรค์ สิ่งที่ข้าต้องเจ็บช้ำน้ำใจมิควรค่าแก่การพูดถึงเลย”
เมื่อได้ฟังรองผู้จัดการใหญ่เบาใจลง
“อาจารย์เกาข้าขอรบกวนให้ท่านท้าทายตัวแทนคนอื่นต่อ ท่านจะได้คะแนนมาอีกมากทีเดียว”
อาจารย์เกาชี้ไปที่ซือหยูที่นั่งในมุมหนึ่งตามลำพังไม่มีใครยุ่งกับเขาเลย
“เขายังมิได้ขึ้นแท่นบูชาเลยคงไม่ใช่ข้าที่จะขึ้นแท่นบูชาในรอบต่อไป”
เขารึ?เขาเป็นใครกันล่ะ?
เมื่อทั้งสองมองไปตามทิศของดัชนีอาจารย์เการองผู้จัดการใหญ่กับนักบวชโซก็ได้เห็นซือหยูที่พวกเขาเกือบจะลืมไปแล้ว
เขาถูกไล่ออกจากการร่ำเรียนในวันก่อนโดยเฉียนไม่มีใครพูดถึงเขา ส่วนรองผู้จัดการใหญ่กับนักบวชโซก็กดดันจนไม่ได้สนใจซือหยูเลย
ถ้าอาจารย์เกาไม่พูดออกมาทั้งสองก็คงจะลืมไปแล้วว่าพวกเขายังมีซือหยูอยู่
นักบวชโซพูดด้วยรอยยิ้ม
“อาจารย์เกาท่านพูดตลกงั้นหรือ? มีแค่ท่านที่จะรับมือเรื่องนี้ได้อย่างเหมาะส…”
อาจารย์เกาทำเป็นไม่ได้ยินและเดินไปยังซือหยูเขาโค้งคำนับด้วยความเศร้าและพูดอย่างละอายใจ
“ท่านอาจารย์ข้าโง่เขลายิ่งนัก ข้าแปลความได้เพียงยี่สิบรอบ ข้าละอายใจที่มิอาจเป็นผู้สมกับคำสอนจากท่าน”
ซือหยูมีใบหน้าสิ้นหวังเขาบอกอาจารย์เกาไปแล้วว่าอย่าบอกใครว่าเขาคืออาจารย์ แต่ดูเหมือนว่าเขาจะประมาทเกินไป
อาจารย์เกาจะต้องละอายใจอย่างมากจนลืมตัวเป็นแน่
“เจ้าไม่ต้องโทษตัวเองหรอกข้าคิดไว้อยู่แล้วว่าเจ้าควรจะมาถึงระดับนี้ในคืนเดียว ถ้าเจ้าตรึกตรองสิ่งที่ข้าสอนเมื่อวานอย่างเต็มที่ เจ้าจะรุดหน้ามากกว่านี้อีกมาก”
ซือหยูยอมรับในความสามารถของอาจารย์เกา
“ท่านอาจารย์ข้าจะทำตามที่ท่านชี้แนะแน่นอน”
อาจารย์เกายืนขึ้นและไปยืนด้านหลังซือหยูครึ่งก้าว
การแสดงท่าทางเช่นนี้แสดงความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองได้อย่างชัดเจนทั้งคู่คือศิษย์และอาจารย์
เมื่อได้เห็นเช่นนี้เหล่าผู้ชมที่ยังไม่ทันรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นเริ่มพูดคุยกันอย่างออกรสออกชาติ ขณะคนที่รู้ความจริงก็เริ่มสับสน
ไม่ว่าจะเป็นเหล่าผู้รู้ภาษาไม้จากดินแดนพรสวรรค์หรือรองผู้จัดการใหญ่กับนักบวชโซพวกเขามึนงงคิดสิ่งใดไม่ได้ พวกเขาได้แต่ยืนนิ่งเงียบ พวกเขาพูดไม่ออกแม้แต่คำเดียว