ตอนที่ 165-2 อีกด้านหนึ่งของสงคราม

ยอดหญิงสกุลเสิ่น

ในขณะเดียวกัน หลี่จื้อที่อายุเท่าฟังจงหลี่ก็กลับไปที่บ้านของตนเองทางฝั่งตะวันตกของเมืองชายแดนแล้วเช่นกัน บ้านฟางเตี้ยๆ สองห้อง เมื่อผลัดประตูออกก็เห็นน้องสาวคนเล็กที่ขดตัวอยู่บนเตียงเงยหน้าขึ้นด้วยความตื่นตระหนก เมื่อเห็นว่าเป็นตนเองจึงเผยรอยยิ้มดีใจออกมา “พี่ใหญ่กลับมาแล้ว” นางลุกขึ้นจากเตียงโผเข้ามาทันที

 

 

หลี่จื้อเดินสองสามก้าวก็รับนางไว้ได้แล้ว ทว่าในใจกลับเจ็บปวด น้องสาวคนเล็กอายุแปดปีแล้ว ยังหนักไม่เท่าเด็กอายุหกปีคนอื่นเลย ใบหน้าเล็กๆ ทำให้ดวงตาดูใหญ่มากขึ้น ผมก็ทั้งบางทั้งหยาบ

 

 

ตั้งแต่ที่บิดาตายในศึก มารดาป่วยตาย ชีวิตของพวกเขาสามพี่น้องก็ลำบากขึ้นเรื่อยๆ มีเพื่อนบ้านที่สนิทเห็นพวกเขาน่าสงสารจึงช่วยส่งเสียเล็กน้อย แต่ตอนนี้ไม่ว่าชีวิตของใครก็ลำบากทั้งนั้น ไหนเลยจะยังเลี้ยงเด็กสามคนได้อีก

 

 

“พี่รองเจ้าเล่า เหตุใดถึงทิ้งเจ้าอยู่บ้านคนเดียว” หลี่จื้อลูบมือที่เย็นเฉียบของน้องสาว จากนั้นก็มองเสื้อผ้าชั้นเดียวบนร่างนาง จึงดันนางกลับเข้าไปในผ้าห่มอีกครั้ง แม้ว่าผ้าห่มโทรมๆ จะบาง แต่อย่างไรเสียก็ยังกันไอหนาวได้เล็กน้อย

 

 

“พี่รองออกไปแล้ว ไปเก็บฟืน” หลี่เสี่ยวเม่ยกลับพูดจาชัดถ้อยชัดคำ นางมองพี่ชายของตน ในดวงตาเต็มไปด้วยความรัก

 

 

หลี่จื้อมองเตาที่เย็นเฉียบและห้องที่ว่างเปล่า ล้วงหมั่นโถวหนึ่งลูกออกมาจากอกด้วยความระมัดระวัง “เสี่ยวเม่ยยังไม่กินข้าวใช่หรือไม่ รีบกินหมั่นโถวลูกนี้เสีย” นี่คือหมั่นโถวที่เขาฉวยโอกาสแอบซ่อนไว้ในอกตอนที่พ่อครัวผู้ทำกับข้าวไม่ได้สนใจ

 

 

“โห หมั่นโถว” หลี่เสี่ยวเม่ยร้องอุทาน มองหมั่นโถวสีขาวๆ ลูกนั้นในมือของพี่ใหญ่อย่างเหลือเชื่อ แต่กลับไม่ยอมรับมา

 

 

นางส่ายหน้าถอยไปข้างหลัง “พี่ใหญ่ท่านกินเถอะ ท่านกินแล้วจะได้มีแรงไปฝึก”

 

 

เห็นน้องสาวคนเล็กที่รู้ประสาเช่นนี้ ในใจหลี่จื้อก็ยิ่งสงสาร “เสี่ยวเม่ยกินเถอะ พี่ใหญ่กินอิ่มมาจากจวนโหวแล้ว” เขาไม่อยู่ครึ่งเดือนนี้ ไม่รู้เหมือนกันว่าน้องรองใช้ชีวิตผ่านไปกับเสี่ยวเม่ยอย่างไรบ้าง

 

 

เขาอยากอยู่ดูแลน้องชายน้องสาวอยู่ที่บ้านจริงๆ แต่สติปัญญาที่มีอยู่บอกเขาว่าไม่ได้เด็ดขาด เขาต้องไปรับการฝึกที่จวนโหวเท่านั้นจึงจะมีโอกาสได้ลืมตาอ้าปาก น้องชายน้องสาวจึงจะมีชีวิตที่ดีได้ เขาอยู่บ้าน ไม่ช้าไม่เร็วก็ต้องหิวตายไปด้วยกัน

 

 

“จริงหรือ พี่ใหญ่ไม่ได้หลอกข้าแน่นะ” หลี่เสี่ยวเม่ยเอียงคอมองพี่ชาย ท่าทางคล้ายไม่เชื่อ หมั่นโถวที่ล้ำค่าเช่นนี้จวนโหวจะอนุญาตให้พี่ใหญ่เอากลับบ้านเองได้อย่างไร หมั่นโถวที่ขาวเช่นนี้ต่อให้พ่อแม่ยังมีชีวิตอยู่บ้านพวกเขาก็กินไม่ได้

 

 

หลี่จื้อฝืนยิ้มกล่าว “จริง พี่ใหญ่กินมาแล้วจริงๆ จวนโหวดีต่อพวกข้าอย่างยิ่ง หมั่นโถวมีกินเพียงพอ ยังมีเนื้อ มีแกง อีกทั้งยังให้เสื้อผ้าชุดใหม่กับพวกข้าทั้งหมด อุ่นยิ่งนัก” เขาบรรยายชีวิตที่ดีงามในจวนโหวให้น้องสาวฟัง แต่กลับไม่ได้บอกว่าทุกวันก็ต้องฝึกหลายสิ่งหลายอย่าง ทำการฝึกฝนระดับสูง ทุกคนเมื่อล้มตัวลงบนเตียงก็ไม่อยากจะขยับอีกเลย

 

 

“ดีจริงๆ พี่ใหญ่ หากข้าโตกว่านี้สักสองปีก็คงจะดี” ในดวงตาของหลี่เสี่ยวเม่ยเต็มไปด้วยความอิจฉา จวนโหวเองก็รับสมัครเด็กผู้หญิง หากนางโตกว่านี้สักสองปีก็สามารถไปสมัครได้แล้ว “พี่ใหญ่ พี่ต้า

 

 

ฮวาบอกว่าคุณชายสี่นิสัยดี นางช่วยทำเครื่องแบบทหารในกองทัพ ไม่เพียงแค่เลี้ยงข้าวเที่ยง ทุกห้าวันยังมีแป้งและเนื้อ น่าเสียดายที่ข้าทำงานเย็บปักถักร้อยไม่เป็น” ในน้ำเสียงนางเต็มไปด้วยความผิดหวัง นางทำเป็นเพียงแต่ปะชุนเสื้อผ้า มารดายังไม่ทันได้สอนนางเย็บเสื้อผ้าก็จากไปเสียแล้ว

 

 

หลี่จื้อลูบผมที่บางตาของเสี่ยวเม่ย กล่าวเสียงแหบ “เสี่ยวเม่ยกินเถอะ เดี๋ยวจะเย็นเอา”

 

 

หลี่เสี่ยวเม่ยพึ่งจะรับหมั่นโถวมาช้าๆ แบ่งเป็นครึ่งชิ้นเล็กอย่างระมัดระวัง อีกครึ่งชิ้นใหญ่วางกลับไปในฝ่ามือของพี่ใหญ่ “ครึ่งชิ้นนี้เก็บไว้ให้พี่รอง” ช่วงเวลาเหล่านี้ที่พี่ใหญ่ไม่อยู่ อาหารที่พี่รองสามารถหามาได้ก็น้อยลงทุกวันๆ แต่พี่รองกลับแบ่งให้นางกินเกินครึ่ง ตนเองกินน้ำเย็นแก้หิวแทน

 

 

“เสี่ยวเม่ยกินให้หมดเลย พี่ใหญ่ พี่ใหญ่ยังมีอีก” เดิมหลี่จื้อก็ซ่อนหมั่นโถวไว้สองลูกอยู่แล้ว คิดจะให้น้องชายน้องสาวได้กินกันคนละลูก

 

 

ทว่าหลี่เสี่ยวเม่ยกลับยืนกรานส่ายหน้า “ข้ากินน้อย แค่นี้ก็พอแล้ว” นางจรดหมั่นโถวไว้ข้างปากกัดเบาๆ หนึ่งคำ เคี้ยวช้าๆ ตักตวงความสุขราวกับกินอาหารเลิศรส

 

 

หลี่จื้อรู้สึกเพียงดวงตาทั้งคู่ร้อนผ่าว น้ำตาแทบจะร่วงลงมา ก่อนท่านแม่จากไปก็จับมือของเขาไว้ขอให้เขาดูแลน้องชายน้องสาวให้ดี แต่เขา…หลี่จื้อเกลียดตัวเองที่ไร้ประโยชน์ยิ่งนัก

 

 

“เสี่ยวเม่ย เสี่ยวเม่ย” ข้างนอกมีเสียงร้องตะโกนที่ตื่นตระหนกและเสียงฝีเท้าที่เร่งรีบดังเข้ามา

 

 

หลี่เสี่ยวเม่ยที่กำลังกินหมั่นโถวอยู่ก็ตาลุกวาว “พี่รองกลับมาแล้ว”

 

 

“เจ้าอยู่นิ่งๆ เดี๋ยวข้าไปดูเอง” หลี่จื้อกดน้องสาวลงแล้วจึงเดินไปหน้าประตู เห็นหลี่ซวี่น้องรองของเขาวิ่งเข้ามาอย่างตาลีตาลาน

 

 

“เสี่ยวซวี่ เป็นอะไรไป” หลี่จื้อเดินเข้าไป

 

 

หลี่ซวี่เห็นว่าพี่ใหญ่ของตนกลับมาแล้ว หัวใจที่กลัดกลุ้มก็เบาลง เมื่อครู่เขาเห็นประตูบ้านตนเปิดอยู่ ยังคิดว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นกับน้องสาว

 

 

“พี่ใหญ่ ท่านกลับมาแล้ว” หลี่ซวี่เห็นพี่ใหญ่ของตนก็ดีใจอย่างยิ่ง ทันใดนั้นสีหน้าก็ดำมืด กล่าวอย่างตะกุกตะกัก “พี่ใหญ่ ข้า ข้าไร้ประโยชน์เกินไปแล้ว ในบ้านไม่มีฟืนใช้แล้ว ข้า…” ดวงตาเขาแดงก่ำก้มหน้าลง ท่าทางลำบากอย่างยิ่ง

 

 

ก่อนหน้านี้ตอนที่พี่ใหญ่อยู่ พี่ใหญ่แรงเยอะ กล้าหาญ พวกเขายังพอกินอิ่มท้องได้ ตอนนี้พี่ใหญ่ไม่อยู่บ้าน เขาไร้ความสามารถ หาอาหารที่เยอะพอไม่ได้ ลำบากจนเสี่ยวเม่ยต้องทนหิวไปด้วย

 

 

หลี่จื้อมองชุดบางๆ ที่น้องชายสวม ใบหน้าหนาวเย็นจนเป็นสีม่วง ในมือว่างเปล่าอย่างเช่นที่เขาคาดการณ์ไว้ เขาตบบ่าน้องชายพาเขาเข้าบ้าน ไม่พูดอะไรทั้งสิ้น

 

 

พวกเขาไม่สามารถแม้กระทั่งจะออกจากเมือง จะไปเอาฟืนมาจากที่ไหนได้ ต้นไม้เล็กน้อยในเมืองก็ถูกตัดเกลี้ยงไปนานแล้ว น้องรองเป็นเพียงแค่เด็กอายุสิบเอ็ดปี ไหนเลยจะแย่งผู้ใหญ่ได้

 

 

“พี่รองมานี่เร็ว พี่ใหญ่เอาหมั่นโถวกลับมาให้พวกเราด้วย อร่อยยิ่งนัก” หลี่เสี่ยวเม่ยที่ขดตัวอยู่บนเตียงชูหมั่นโถวในมือตะโกนกล่าว

 

 

หลี่ซวี่เห็นหมั่นโถวในมือเสี่ยวเม่ยก็ตกใจ หมั่นโถว เขายังไม่เคยกินมาก่อนเลย เขาหันหน้ามองพี่ชายของตน

 

 

หลี่จื้อล้วงหมั่นโถวครึ่งชิ้นออกมา ส่งให้น้องชายทั้งชิ้น “เสี่ยวซวี่รีบกินเถอะ”

 

 

หลี่ซวี่ยืนนิ่งไม่ขยับ หลี่จื้อเร่งรัดอีกครั้ง เขาจึงยื่นมือมาช้าๆ “ข้ากินครึ่งเดียวก็พอแล้ว พี่ใหญ่ท่านกินเถอะ”

 

 

หลี่จื้อเองก็ไม่โน้มน้าว แต่กลับไม่ได้กินหมั่นโถวชิ้นนั้น เก็บกลับไปอีกครั้ง เขานั่งลงข้างเตียงมองน้องชายน้องสาวกินหมั่นโถวคำเล็กๆ ราวกับได้กินอาหารรสเลิศบนโลกมนุษย์ เสี่ยวเม่ยกินหมั่นโถวเสร็จแล้วยังเลียนิ้วมือหนึ่งรอบ จากนั้นจึงมองบ้านที่ยากจนข้นแค้น หลี่จื้อกำหมัดแน่น ลุกขึ้นยืนอย่างรวดเร็ว “เสี่ยวซวี่ เสี่ยวเม่ย ไปกันเถอะ”

 

 

เขาจะต้องพาน้องชายน้องสาวไปให้ได้ มิเช่นนั้นเขากลับมาครั้งหน้าก็คงเห็นแค่เพียงศพที่เย็นเฉียบของพวกเขา เมื่อครู่เขามองดูแล้ว ในบ้านไม่มีของกินเลยแม้แต่นิดเดียว อากาศก็หนาวขึ้นเรื่อยๆ เสี่ยวซวี่กับเสี่ยวเม่ยไม่มีทางใช้ชีวิต่อไปได้แน่นอน เขาไม่อาจทอดทิ้งละเลยพวกเขาได้ นี่คือญาติเพียงสองคนบนโลกของเขา

 

 

“ไปไหน” หลี่ซวี่กับหลี่เสี่ยวเม่ยตกใจถามพร้อมกัน

 

 

“ไปจวนโหว” หลี่จื้อพูดไปพลางสวมรองเท้าให้เสี่ยวเม่ยไปพลาง “ข้าจะไปขอร้องคุณชายสี่ ขอให้เขาให้ข้าวพวกเจ้ากิน ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องผ่านฤดูหนาวไปให้ได้” ผ่านฤดูหนาวนี้ไป ไม่แน่ว่าซีเหลียงอาจจะถอยทัพแล้ว ถึงตอนนั้นผักป่าทั่วภูเขาก็เพียงพอให้พวกเขามีชีวิตอยู่ได้แล้ว

 

 

“จะได้หรือ จวนโหวจะรับเลี้ยงพวกเราได้หรือ” หลี่ซวี่กับหลี่เสี่ยวเม่ยตาลุกวาว แต่กลับยังมีความลังเลอยู่สิบสองส่วน

 

 

ในใจหลี่จื้อเองก็ไม่แน่ใจ แต่กลับพูดปลอบน้องชายน้องสาว “พวกเราเองก็ไม่ได้กินเฉยๆ อยู่เฉยๆ พวกเราช่วยจวนโหวทำงาน คุณชายสี่นิสัยดีอย่างยิ่ง”

 

 

หลี่จื้อนึกถึงคุณชายสี่ที่ราวกับเดินออกมาจากภาพวาดผู้นั้น หัวใจก็ร้อนแผดเผา คุณชายสี่ดีต่อพวกเขาอย่างยิ่งจริงๆ คุณชายที่มีความอดทนสูงส่งอย่างยิ่งเช่นนั้น กลับพูดคุยกับพวกเขาด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้มอ่อนโยน สอนวิทยายุทธ์พวกเขาด้วยความอดทน ให้พวกเขากินอิ่มมีเสื้อผ้าอุ่นๆ ใส่ทั้งยังสามารถเรียนรู้ฝึกฝน บิดามารดาแท้ๆ ยังให้ไม่ได้เท่านี้

 

 

หลี่จื้อแบกเสี่ยวเม่ยจูงน้องชายเดินไปยังจวนโหว ตลอดทางในใจเขาพะว้าพะวงทั้งยังเต็มไปด้วยความหวัง เขากระทั่งคิดว่า ขอเพียงแค่คุณชายสี่รับเลี้ยงน้องชายน้องสาวของเขาได้ ต่อให้เขาต้องเอาชีวิตมาแลกก็ยอม

 

 

เสิ่นเวยกำลังก้มหน้าก้มตาปรับแก้แผนที่อยู่บนโต๊ะหนังสือตัวใหญ่ ช่วงนี้นางแทบจะเดินรอบพื้นที่บริเวณสองสามร้อยลี้นอกเมืองชายแดนหมดแล้ว ความจำนางดีเลิศ จำได้อย่างชัดเจนว่าตรงไหนมีเขา ตรงไหนมีแม่น้ำ ตรงไหนมีป่า เปรียบเทียบกับแผนที่เดิม เพิ่มตำแหน่งที่ไม่เคยบันทึกพิกัดมาก่อน แก้ไขข้อผิดพลาด พยายามทำให้แผนที่ถูกต้องสมบูรณ์มากขึ้น

 

 

“นี่ๆๆ ออกไป เข้ามาใกล้ข้าขนาดนี้ทำไม” สำหรับหนุ่มรูปงามที่เขยิบเข้ามาอย่างหน้าไม่อาย เสิ่นเวยผลักเขาออกไปอย่างไม่เกรงใจเลยแม้แต่นิดเดียว

 

 

“ไม่ใช่ว่าช่วยเจ้าอยู่หรือ” สวีโย่วเองก็ไม่โกรธ ช่วงนี้สวีโย่วนับได้ว่าสังเกตเห็นชัดแล้ว กับเด็กน้อยคนนี้ต้องหน้าหนาหน่อย รุกให้มากหน่อย อยู่กับนางให้มากขึ้นสร้างตัวตนให้มาก จะรอให้นางคิดถึงเจ้างั้นหรือ เช่นนั้นเจ้าก็รอไปเถอะ ต้นหญ้าต้นไม้เมืองชายแดนยังสำคัญกว่าเขาเสียอีก

 

 

เพื่อที่จะชนะใจหญิงงามในเร็ววัน สวีโย่วเองก็พยายามสุดขีด กับภรรยาของตนยังมีอะไรให้ต้องเกรงใจอีกเล่า

 

 

เสิ่นเวยกลอกตาใส่เขา เจ้าคนโรคจิตหน้าไม่อายผู้นี้ เขาจะยังมีหน้าอยู่ได้หรือไม่ เขาช่วยนางชี้ข้อผิดพลาดไม่น้อยบนแผนที่เดิม แต่เขาจ้องมองนางเช่นนี้อยู่บ่อยๆ ก็ส่งผลกระทบต่อประสิทธิภาพของงานนางเหมือนกัน

 

 

ใบหน้าหล่อเหลาที่สามารถล่มสรรพสิ่งดวงหนึ่งเช่นนี้ ลมหายใจที่เต็มไปด้วยกลิ่นอายของบุรุษเช่นนี้ ซ้ำนางก็ไม่ใช่คนตาย จะไม่สะทกสะท้านเลยได้อย่างไร เฮ้อ ก็นางชื่นชอบหน้าดวงนั้นของเขาไม่ใช่หรือ

 

 

“คุณชายสี่ นอกจวนมีเด็กหนุ่มชื่อหลี่จื้อมาขอพบขอรับ” เสิ่นเวยกำลังขบคิดว่าจะไล่สวีโย่วที่เกะกะออกไปอย่างไรดี จู่ๆ ก็ได้ยินรายงานจากคนใช้จวนโหว

 

 

หลี่จื้อหรือ หลี่จื้อผู้นั้นในกองทหารเด็กหรือ วันนี้เป็นวันปิดภาคเรียนของพวกเขาไม่ใช่หรือ ขอพบข้าทำไมกัน คิ้วของเสิ่นเวยขมวดมุ่น ยัดพู่กันไว้ในมือของสวีโย่ว “ท่านทำต่อ ข้าออกไปดูก่อน”

 

 

สวีโย่วได้ยินว่าเป็นเด็กหนุ่มก็ตื่นตัวตามสัญชาตญาณสามส่วน เดิมเขาคิดจะตามไปดูด้วย แต่กลับถูกเด็กสาวมอบหมายงานให้ จะทำอย่างไรเล่า สวีโย่วเหลือบตาขึ้นมองเจียงเฮยกับเจียงไป๋ เจียงเฮยก็ถอยออกไปเงียบๆ สวีโย่วกระตุกมุมปาก ก้มหน้าปรับแก้แผนที่ต่อด้วยความพอใจ

 

 

“คุณชายสี่” เมื่อเสิ่นเวยเข้ามาในห้องหลี่จื้อก็คุกเข่าข้างเดียวอยู่บนพื้น

 

 

“มีอะไร เกิดเรื่องหรือ” เสิ่นเวยประหลาดใจเล็กน้อย ในความทรงจำของนาง หลี่จื้อเด็กหนุ่มคนนี้เป็นคนเคารพตัวเอง ขยันฝึกฝน แม้ว่าจะไม่ค่อยชอบพูด แต่กลับเป็นคนเก่งที่สามารถปลุกปั้นอย่างหาได้ยากคนหนึ่ง

 

 

ตอนนี้เด็กหนุ่มทะนงตนผู้นี้คุกเข่าอยู่แทบเท้า จะไม่ทำให้นางรู้สึกประหลาดใจได้อย่างไร “ลุกขึ้นพูดจาดีๆ เถอะ เคยสอนพวกเจ้าแล้วไม่ใช่หรือว่า เข่าของลูกผู้ชายนั้นล้ำค่า ไหนเลยจะคุกเข่าตามอำเภอใจได้”

 

 

คำพูดนี้ก็ยิ่งยืนยันการตัดสินใจที่จะคุกเข่าต่อของหลี่จื้อ เขาเม้มปากแน่น ในดวงตาเต็มไปด้วยความดื้อรั้น “ผู้น้อยอยากขอความเมตตาจากคุณชายสี่ หากคุณชายสี่ตอบรับ ชีวิตนี้ของผู้น้อยก็จะเป็นของคุณชาย”

 

 

“ความเมตตาอะไรกัน” เสิ่นเวยกล่าวถาม หลังจากนั้นก็หลุดหัวเราะ “ข้าจะเอาชีวิตของเจ้าไปทำไม จำไว้ ชีวิตของเจ้าเป็นของตัวเจ้าเองตลอดกาล ไม่ว่าเมื่อไรก็ตามอย่าพูดว่าจะทิ้งชีวิตง่ายๆ มีชีวิตอยู่เท่านั้นจึงจะมีความหวัง”

 

 

“ขอรับ ผู้น้อยจะจำไว้” กระบอกตาของหลี่จื้อร้อนผ่าว แผ่นหลังยืดตรงสามส่วนอย่างไม่รู้ตัว “คุณชายสี่ บิดาของผู้น้อยเป็นทหารชายแดนนายหนึ่ง ตายในศึกเมื่อสองเดือนก่อน ท่านแม่เองก็ตายตามไปติดๆ ทิ้งผู้น้อยและน้องอีกสองคนไว้ ผู้น้อยเป็นพี่คนโต ผู้น้อยได้รับความกรุณาจากจวนโหวจึงได้เข้ามาฝึกฝนในจวน หลังผู้น้อยไปแล้วน้องชายน้องสาวก็หาข้าวปลาอาหารไม่ได้ ผู้น้อยหมดหนทางจริงๆ จึงมาขอร้องคุณชายสี่ที่นี่ ขอคุณชายสี่โปรดรับเลี้ยงน้องชายน้องสาวของผู้น้อยด้วย ขอเพียงมีที่ให้ซุกหัวนอน มีข้าวให้กินก็พอแล้ว เมื่อถึงฤดูใบไม้ผลิปีหน้า ผู้น้อยจะพาน้องชายน้องสาวกลับไป”

 

 

“บ้านเจ้าไม่มีญาติคนอื่นแล้วหรือ” เสิ่นเวยถาม

 

 

หลี่จื้อส่ายหน้า “ไม่มีแล้ว บิดาของผู้น้อยเป็นลูกกำพร้า บ้านฝั่งมารดาก็ลาโลกหมดแล้ว” เขาหยุดครู่หนึ่งจึงกล่าวต่อ “แม้ว่าจะมีเพื่อนบ้านช่วยเหลือเป็นบางครั้ง แต่ตอนนี้ไม่ว่าใครต่างก็ใช้ชีวิตอย่างยากลำบาก น้องชายน้องสาวของผู้น้อยยังเล็กเกินไป”

 

 

หากอายุมากกว่านี้ก็ยังง่ายหน่อย โตพอจะเข้ากองทัพไปเป็นทหาร อย่างน้องก็ไม่ถึงกับหิวตายมิใช่หรือ แต่น้องรองเพิ่งจะอายุสิบเอ็ดปี น้องสาวก็ยิ่งเด็ก เพิ่งจะแปดปีเท่านั้น

 

 

“เอาเถอะ น้องชายน้องสาวเจ้าเล่า ให้พวกเขาเข้ามาเถอะ ครัวยังขาดเด็กสาวก่อไฟกับเด็กทำงานจิปาถะ อย่างน้อยก็มีข้าวให้พวกเขากิน” เด็กสามคนนี้น่าสงสารอย่างยิ่งจริงๆ จวนโหวจะขาดอาหารเหล่านั้นได้อย่างไร ล้วนแต่เป็นเพราะสงครามแท้ๆ เลย เสิ่นเวยถอนหายใจหนึ่งครา

 

 

หลี่จื้อดีใจใหญ่ “พวกเขาอยู่นอกจวน ผู้น้อยจะไปเรียกพวกเขาเข้ามาขอรับ”

 

 

หลี่จื้อไปเรียกน้องชายน้องสาว เสิ่นเวยคิดครู่หนึ่งก็เดินตามหลังเขาไป เหลือบมองไปทางตะวันตกของประตูข้างจวนโหวปราดหนึ่ง หัวใจเสิ่นเวยก็เป็นทุกข์เล็กน้อย ท่ามกลางลมหนาวเด็กที่สวมเสื้อผ้าชั้นเดียวทั้งยังขาดรุ่งริ่งสองคนอิงแอบกันอยู่ที่มุมกำแพง เสิ่นเวยรีบหันหลังกลับมา

 

 

“คุณชายสี่ นี่คือน้องชายกับน้องสาวผู้น้อยขอรับ” หลี่จื้อจูงมือของน้องชายน้องสาวแล้วกล่าว

 

 

เสิ่นเวยหันไปมองอย่างอดไม่ได้ พยักหน้ากล่าว “อืม ท่านอาจาง ท่านพาพวกเขาไปที่ครัวให้ท่านอาสะใภ้ลู่มอบหน้าที่ให้ หลี่จื้อ เจ้าเองก็ตามไปด้วย” มองเด็กผู้หญิงที่ตัวผอมเล็กผู้นั้น ก็ออกคำสั่งอย่างอดไม่ได้ “ท่านอาจางท่านให้ท่านอาสะใภ้ลู่หาเสื้อผ้ากันหนาวให้พวกเขาก่อน” อากาศที่หนาวเพียงนี้ยังใส่เสื้อชั้นเดียว เกิดหนาวตายขึ้นมาจะทำอย่างไร

 

 

เสิ่นเวยจากไปอย่างรวดเร็วแล้ว ข้างหลังนาง หลี่จื้อนำน้องชายน้องสาวของเขาคุกเข่าลงบนพื้นโขกศีรษะสามครั้ง

 

 

คุณชายสี่ ขอบคุณท่านที่ให้โอกาสในการมีชีวิตแก่น้องชายน้องสาวข้า ชีวิตนี้ ผู้น้อยจะเชื่อฟังเพียงแต่ท่าน ฟ้าดินไม่สลาย คำสาบานนี้จะไม่มีวันดับสูญ

 

 

นับแต่นี้ไป เด็กหนุ่มที่เคยอับจนทะนงตัวผู้นี้จะได้แสดงความสามารถโดดเด่น ค่อยๆ กลายเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาที่มีความสามารถที่สุดของเสิ่นเวย คมดาบเสิ่นเวยชี้ไปทางใด เขาก็จะพุ่งไปข้างหน้าอย่างไม่ลังเล