บทที่ 557 เปลี่ยนแปลง

บัลลังก์พญาหงส์

แต่เรื่องนี้เกี่ยวข้องไปถึงเรื่องเสื่อมเสียของราชวงศ์ ถาวจวินหลันย่อมไม่อาจพูดได้ตามใจชอบ จึงยิ้มน้อยๆ พูดแค่ว่า “จวงผินคิดมากไปแล้วเพคะ แค่เพราะอี๋เฟยเป็นพวกเดียวกับฮองเฮามานานแล้ว ดังนั้นถึงได้เรียกหาอี๋เฟยก่อนเท่านั้นเอง หม่อมฉันก็เพียงแค่อยากให้อี๋เฟยช่วยถ่ายทอดคำพูดก็เท่านั้นเองเพคะ” 

 

 

กู้ซีย่อมไม่เชื่อ แต่ก็เข้าใจว่าถาวจวินหลันไม่อยากพูดเรื่องที่ซ่อนอยู่ภายใน จึงไม่ได้ถามอะไรอย่างรู้ความ แล้วเปลี่ยนไปพูดถึงฮ่องเต้แทน “ช่วงนี้พระวรกายของฮ่องเต้เหมือนว่าดีขึ้นบ้างแล้ว ยาเม็ดนั้นใช้ได้ผลจริง พอทานเข้าไปแล้วท่าทีของและเรี่ยวแรงของฮ่องเต้ก็ดีขึ้นมาก” โดยเฉพาะเรื่องบนเตียงยิ่งรุนแรงเป็นพิเศษ แต่กลับพูดต่อหน้าถาวจวินหลันไม่ได้ 

 

 

พูดถึงเรื่องนี้ถาวจวินหลันก็เริ่มสนใจ จึงเอ่ยถามอีกว่า “พูดเช่นนี้ ท่านเห็นฮ่องเต้ทานยากับตาหรือไม่?” 

 

 

กู้ซีพยักหน้า “ใช่แล้ว ขนาดพอๆ กับลูกท้อ ดื่มน้ำตามลงไปเท่านั้น สีทองอร่ามสวยงาม ได้ยินฮ่องเต้ตรัสว่านี่เป็นยาที่อาจารย์ทำมาเพื่อฮ่องเต้โดยเฉพาะ เรียกว่าโอสถมังกร เป็นตำรับโบราณล้ำค่ามาก” 

 

 

ถาวจวินหลันได้ยินเช่นนั้นก็หัวเราะขมขื่น โอสถมังกรอย่างนั้นหรือ? ชื่อน่าฟังยิ่งนัก แต่ทำไมฟังดูไม่เหมือนยาธรรมดาเลยเล่า? สีทองอร่ามอย่างนั้นหรือ ผสมอย่างไรให้ยากลายเป็นสีทองกัน? 

 

 

“เช่นนั้นฮ่องเต้เคยตรัสหรือไม่ว่ามีส่วนผสมของอะไรบ้างเพคะ?” ถาวจวินหลันถามกู้ซีเสียงเบา นางอยากจะดูว่าแท้จริงแล้วยานั่นทำมาจากอะไร เชื่อถือได้หรือไม่ 

 

 

กู้ซีส่ายหน้า “ไฉนเลยฮ่องเต้จะพูดเรื่องนี้กับข้าเล่า?” เงียบไปครู่หนึ่งก็พูดอีกว่า “แต่ฮ่องเต้เคยรับปากข้า จะแต่งตั้งข้าเป็นเฟย” 

 

 

ถาวจวินหลันรู้สึกดีใจแทนกู้ซีทันที ยิ้มพลางพูดว่า “นี่ถือเป็นเรื่องดี พอได้เลื่อนขั้นเป็นเฟยแล้ว ชีวิตในวังหลวงของท่านก็จะไม่ไร้ที่พึ่งอีกต่อไป” 

 

 

กู้ซีพยักหน้า “ใช่แล้ว มารดาเองก็คงจะวางใจ ตอนนั้นที่ข้าเพิ่งเข้าวังหลวงมา มารดาของข้ากังวลทั้งคืนจนนอนไม่หลับ และเพราะเหตุนี้ นางถึงได้เริ่มคิดมาก แล้วไปหาเรื่องให้เจ้าไม่พอใจ” 

 

 

ความหมายที่กู้ซีพูดเรื่องนี้ขึ้นมานั้นคิดว่าเป็นเพราะไม่อยากให้นางคิดมากเรื่องนั้นอีกต่อไป ถาวจวินหลันยิ้มน้อยๆ เพียงแค่พูดว่า “ใช่แล้ว มีมารดาเป็นห่วงท่านมากเช่นนี้นับเป็นเรื่องดีเพคะ” แต่นี่ก็ไม่ใช่เหตุผลให้หลิ่วฮูหยินมาลบหลู่นาง อย่างไรพอเรื่องนี้เกิดขึ้นแล้วก็ไม่มีใครลืมแน่นอน ดังนั้นสุดท้ายแล้วจึงปล่อยไปเช่นนั้นไม่ได้ 

 

 

แม้แต่หลิ่วฮูหยินเองคงไม่มีทางลืมคำที่หลี่เย่เคยบอกไม่ให้นางมาเหยียบจวนอีกกระมัง? ในเมื่อมีรอยร้าวไปแล้ว ไม่ว่าจะแสร้งทำเป็นไม่เคยเกิดเรื่องขึ้น ก็ไม่มีทางผูกพันฉันมิตรได้สนิทใจอีก 

 

 

ในเมื่อทั้งสองฝ่ายตะขิดตะขวงใจกัน เช่นนั้นก็ไม่ต้องฝืนมิใช่หรืออย่างไร? 

 

 

กู้ซีเข้าใจคำที่ถาวจวิหลันไม่ได้พูดออกมาในทันใด จึงมองไปที่นางอย่างลุแก่โทษ จากนั้นก็พูดว่า “เจ้าไม่ยอมให้อภัยท่านแม่ของข้าก็ถือเป็นเรื่องสมควร นางทำเรื่องไม่ดีลงไปจริงๆ” 

 

 

แม้ว่าคำพูดฟังดูดี แต่น้ำเสียงกลับแฝงความผิดหวังเอาไว้ ได้ยินแล้วก็รู้สึกผิดในใจหลายส่วน 

 

 

ถาวจวินหลันยิ้มน้อยๆ พูดว่า “ไม่ใช่ว่าจะให้อภัยได้หรือไม่ แต่พอเจอหน้าแล้วก็แค่ประหม่าเท่านั้นเอง อีกอย่างท่านอ๋องก็เคยพูดแล้ว ไม่ว่าอย่างไรความสัมพันธ์ของพวกเราทั้งสองตระกูลก็ไม่มีทางได้รับผลกระทบ แต่ข้ากับท่านป้าสะใภ้คงจะไม่เจอกันแล้วเท่านั้นเอง” 

 

 

ความจริงแล้วนางเองไม่เพียงแค่ไม่ต้องพบหน้าหลิ่วฮูหยินอีก แม้แต่กับกู้ซีพบน้อยครั้งก็ถือว่าดี หญิงสาวคนนี้ไม่เหมือนเด็กสาวขี้อายและเงียบขรึมอีกแล้ว ท่าทางคุ้นเคยกับการพูดจากำกวม นางเองใกล้จะตามไม่ทันแล้ว 

 

 

พูดตามจริงแล้วนางไม่ชอบเหนื่อยเกินไปแบบนี้เลย อีกทั้งนางเองก็ไม่ชอบถูกคนเล่นงาน ถูกคนจูงจมูกไปไหน และยิ่งไม่ชอบให้ใครมาข่มขู่ 

 

 

กู้ซีพูดน้อยใจเช่นนี้ หากนางไม่ยอมรับก็ดูเหมือนจะไม่รู้จักหนักเบาเท่าไร มิใช่อย่างนั้นหรือ? หากเป็นคนอื่นคงจะพูดตามน้ำไป เพื่อแสดงออกว่าไม่ติดใจกับเรื่องเก่า 

 

 

แต่นางกลับไม่ยินยอม ถาวจวินหลันคิดว่ากู้ซีไม่เห็นต้องอ้อมค้อมเช่นนี้ ไม่สู้พูดออกมาตรงๆ เลยจะดีกว่า แบบนั้นนางคงสบายใจมากขึ้น 

 

 

วันนี้ตั้งแต่การหลอกถามของกู้ซีตั้งแต่แรก จนถึงคำพูดกำกวมในตอนนี้ทำให้ถาวจวินหลันไม่ชอบเป็นอย่างมาก และยิ่งทำให้รู้สึกห่างเหินกัน หญิงสาวในความทรงจำและจวงผินที่อยู่ต่อหน้าคนนี้ช่างแตกต่างกันราวกับสองคน 

 

 

ถาวจวินหลันถอนหายใจ มองไปยังต้นเหมยแก่ต้นหนึ่งที่อยู่อย่างโดดเดี่ยว ก่อนเปิดปากพูดว่า “เริ่มเหนื่อยแล้ว พวกเรากลับกันเถิด? อย่าให้ไทเฮาบรรทมนานเกินไป เดี๋ยวตกดึกจะบรรทมไม่หลับ” 

 

 

กู้ซีหยุดฝีเท้าแล้วหันตัวอย่างรวดเร็ว ก่อนพยักหน้า “ดี เช่นนั้นก็กลับไปพร้อมกันเถิด ข้าเองก็ใกล้ถึงเวลาไปถวายของหวานให้ฮ่องเต้แล้ว” 

 

 

ดังนั้นทั้งสองคนจึงแยกกันเดินทาง ไปตามทางใครทางมัน 

 

 

หลังจากถาวจวินหลันมองส่งกู้ซีเดินออกไปไกลแล้วนั้น ถึงได้เรียกบ่าวสองคนเอาไว้ “พวกเราเดินอีกหน่อยเถิด” 

 

 

เวลาที่ไทเฮาบรรทมมีกำหนดเอาไว้แน่นอนทุกวัน ตอนนี้ยังไม่ถึงเวลาที่ไทเฮาต้องตื่นบรรทม ดังนั้นนางไปก็ถือว่าไม่เหมาะสมอยู่ดี 

 

 

ถาวจวินหลันถอนหายใจ ก่อนเบนหน้ามองไปยังปี้เจียว “เจ้าคิดว่าจวงผินเปลี่ยนไปหรือไม่?” 

 

 

ท่าทีของปี้เจียวเปลี่ยนแปลงเล็กน้อย จากนั้นก็พูดว่า “ที่จริงแล้วคนต่างเปลี่ยนทั้งนั้นเโดยเฉพาะคนในวังหลวง พอเข้ามาในวังหลวงแล้วไฉนเลยจะเหมือนกับแต่ก่อนเล่าเจ้าคะ?” 

 

 

ถาวจวินหลันได้ยินเช่นนี้ก็นั่งครุ่นคิดครู่ใหญ่ ผ่านไปนานถึงพูดขึ้นว่า “คงเป็นเช่นนั้น ข้าเลอะเลือนไปเอง อีกทั้งยังเลอะเลือนมากเสียด้วย” 

 

 

ที่จริงแล้วคงไม่มีใครเข้าวังหลวงมาแล้วไม่เปลี่ยนไปหรอกกระมัง? แม้แต่ไม่ได้เข้ามาในวังหลวง คนก็เปลี่ยนอยู่ตลอดเวลาอยู่แล้ว 

 

 

“เจ้าว่าครั้งนี้ฮองเฮาจะยอมหรือไม่?” ถาวจวินหลันถามอีก นางพยายามข่มเรื่องนี้เอาไว้ในใจ แต่ที่จริงแล้วนางก็แอบอึดอัดลังเลเช่นเดียวกัน 

 

 

นางกลัวว่าหากฮองเฮาไม่ยอมถอยให้ ถึงตอนนั้นเรื่องคงไม่จบโดยง่าย แม้จะบอกว่านางกำลังข่มขู่ฮองเฮา แต่หากจะให้พูดตามจริงแล้วนางก็ไม่ยินยอมให้เรื่องของอี๋เฟยกับพระชายาองค์รัชทายาทหลุดออกมาตอนนี้ 

 

 

เพราะเมื่อเป็นเช่นนี้สถานการณ์จะสั่นคลอน ไม่ส่งผลดีต่อใครทั้งนั้น และพระวรกายของฮ่องเต้ก็ไม่ค่อยแข็งแรง หากกริ้วโกรธจัด นางคงได้กลายเป็นคนบาปไปตลอดกาล 

 

 

และยิ่งไปกว่านั้นนางไม่ยินยอมให้อาอู่บาดเจ็บแม้แต่น้อย ไม่ว่าจะเป็นเพราะเจียงอวี้เหลียน หรือว่าฮ่องเต้หลังจากรู้ความจริงแล้ว 

 

 

ปี้เจียวเห็นท่าทีลำบากใจของถาวจวินหลัน ก็ต้องถอนหายใจออกมา “ที่จริงแล้วชายารองไม่ควรเล่นกับอาอู่ตั้งแต่แรกนะเจ้าคะ มิเช่นนั้นคงไม่ใจอ่อนเช่นนี้” 

 

 

ปี้เจียวพูดความจริงออกมา แล้วก็เป็นเช่นนั้นจริง หากถาวจวินหลันไม่ได้พบอาอู่ตั้งแต่แรก บางทีอาจจะทำตัวใจร้ายได้บ้าง แต่พอได้พบอาอู่แล้ว นางก็ไม่อาจทำตัวใจร้ายได้อีก 

 

 

ถาวจวินหลันถอนใจเล็กน้อย แต่เรื่องมาถึงขั้นนี้ก็ไม่มีอะไรต้องพูดอีก ถึงคิดมากไปก็เท่านั้น 

 

 

พอเห็นถาวจวินหลันมีท่าทีเช่นนี้ ปี้เจียวก็ยิ้มพูดว่า “วางใจเถิดเจ้าค่ะ ฮองเฮาก็เพียงแค่พูดเท่านั้น หากต้องการทอดทิ้งจริง คงไม่ปล่อยให้อี๋เฟยคลอดเด็กคนนั้นแต่แรกหรอกเจ้าคะ” 

 

 

ถาวจวินหลันครุ่นคิดก็เห็นด้วย จึงอดมองปี้เจียวพร้อมหัวเราะไม่ได้ “เจ้านี่นับวันยิ่งฉลาดเสียจริง” 

 

 

เวลาช่วงเช้าผ่านไป ถาวจวินหลันรู้สึกว่าวันนี้ดูเวลาผ่านไปช้านัก ไม่ว่าจะเป็นตอนไหน การรอก็ถือเป็นเรื่องเจ็บปวดมากที่สุด แต่โชคดีที่สุดท้ายแล้วฮองเฮายอมถอยให้ ด้วยการส่งเซิ่นเอ๋อร์กลับมา 

 

 

พอได้ยินเช่นนี้ถาวจวินหลันก็รู้สึกสบายใจไปทันที จึงอดยิ้มกว้างไม่ได้ 

 

 

ปี้เจียวเห็นถาวจวินหลันดีใจขนาดนี้ ก็ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนกลืนคำพูดที่อยู่ตรงริมฝีปากนั้นลงไป ไม่ยอมให้เจ้านายของตนเป็นทุกข์อีก อีกทั้งนางยังคิดว่าที่จริงแล้วในใจของเจ้านายตนก็ต้องรู้ดี ในเมื่อเจ้านายของตนไม่กังวล นางเองก็ไม่จำเป็นต้องพูดออกมาเพื่อทำลายอารมณ์ของเจ้านายตน 

 

 

ในเมื่อเซิ่นเอ๋อร์ถูกส่งกลับมาแล้ว ถาวจวินหลันย่อมไม่ต้องอยู่ในวังหลวงอีกต่อไป จึงขอตัวทูลลาไทเฮาคิดจะกลับจวน แต่กลางทางกลับได้รับพระราชเสาวนีย์ว่าฮองเฮาต้องการให้เข้าเฝ้า 

 

 

อี๋เฟยยังอยู่กับฮองเฮา เห็นถาวจวินหลันมาก็รีบถามอย่างร้อนใจว่า “ตอนนี้เจ้าพอใจแล้วหรือยัง? รีบคืนเด็กมาสิ!” 

 

 

ถาวจวินหลันส่งยิ้มให้อี๋เฟย ”แน่นอนอยู่แล้วเพคะ” 

 

 

อี๋เฟยเห็นถาวจวินหลันตอบอย่างง่ายดาย ก็ผ่อนลมหายใจออกมา คิ้วที่ขมวดหากันแน่นก็เริ่มคลายออก 

 

 

ฮองเฮาส่งเสียงฮึดฮัด ก่อนพูดเสียงเย็น “เอาเถิด อี๋เฟยเจ้าพอใจแล้วหรือยัง?” 

 

 

อี๋เฟยเม้มปากไม่พูดอะไรออกมาอีก 

 

 

จากนั้นฮองเฮาก็สะบัดแขนเสื้อจากไป ปล่อยให้นางกำนัลส่งแขก ดูท่าทางเช่นนั้นเห็นได้ชัดว่าไม่พอใจ แต่ไม่รู้ว่าสุดท้ายแล้วอี๋เฟยพูดกล่อมฮองเฮาอย่างไร 

 

 

อี๋เฟยกับถาวจวินหลันถูกนางกำนัล ‘ไล่’ ออกมาพร้อมกัน แต่พวกนางทั้งสองคนกลับไม่สนใจเรื่องเล็กน้อยเช่นนี้ 

 

 

“เด็กคนนั้นสบายดีหรือไม่? ร้องไห้เสียงดังหรือไม่ชินอะไรบ้างหรือไม่?” อี๋เฟยลังเลอยู่ครู่หนึ่ง สุดท้ายแล้วก็อดเอ่ยปากถามไม่ได้ 

 

 

ถาวจวินหลันมองอี๋เฟยที่มีสีหน้าเป็นเป็นห่วงใส่ใจ ก็ไม่อาจพูดอะไรได้อีก เพียงแค่พูดว่า “ได้ยินว่าเป็นเด็กเรียบร้อยมากเพคะ ไม่ทำให้แม่นมเหนื่อยใจนัก และไม่ได้มีความไม่เคยชินอะไร ท่านวางใจเถิด แม้ว่าวิธีของข้าจะไม่ได้เปิดเผยตรงไปตรงมานัก แต่ข้าก็ไม่ถึงขั้นเอาความกับเด็กไม่รู้เรื่องรู้ราวคนหนึ่ง” 

 

 

เงียบไปครู่หนึ่งถาวจวินหลันก็เห็นอี๋เฟยเหมือนไม่วางใจ จึงพูดอีกว่า “อย่างไรเด็กคนนั้นก็เป็นญาติผู้น้องของซวนเอ๋อร์ พระองค์วางใจเถิด” 

 

 

อี๋เฟยตะลึงไป มองดูถาวจวินหลันอยู่ครู่หนึ่งแล้วพยักหน้า “เจ้าจะส่งเขากลับมาเมื่อไร?” 

 

 

“ครั้งนี้จะส่งเด็กกลับไปคงต้องผ่านวิธีที่เปิดเผยแล้ว?” ถาวจวินหลันเบนหน้าไปมองอี๋เฟย 

 

 

อี๋เฟยพยักหน้า มีแววเลื่อนลอยเล็กน้อย แต่ก็รู้สึกยินดียิ่งนัก คิดว่าต่อไปนี้จะได้พบในวังหลวงบ่อยครั้ง จึงได้มีท่าทางเป็นสุขไม่ทุกข์ร้อน 

 

 

ถาวจวินหลันเม้มปาก พูดว่า “ถ้าเช่นนั้นพระองค์คิดแล้วหรือยังว่าจะเอาเด็กคนนี้ไว้ที่ชื่อใคร?” นางยังไม่ลืมเรื่องที่รับปากหยวนฉงหวาเอาไว้ ดังนั้นจึงต้องหลอกล่อเล็กน้อย