ตอนที่ 81 ปรุงยาวิเศษ

ลำนำสตรียอดเซียน

เมื่อจัดการปัญหากับเจ้าสามคนโชคร้ายนั้นได้แล้ว โม่เทียนเกอจึงออกไปมองหาที่ที่จะใช้พักผ่อน

 

 

เป็นไปตามคาดสำหรับงานรวมพลเซียน ถนนหนทางเต็มไปด้วยผู้คน โรงเตี๊ยมหลายแห่งที่โม่เทียนเกอแวะไปล้วนเต็มจนหมด เมื่อไม่มีทางเลือกอื่น นางจึงต้องเช่ากระท่อมราคาแสนแพงจากสำนักเทียนเต้า

 

 

ในไม่ช้า นางมุ่งหน้าไปที่ร้านค้าซึ่งเป็นของสำนักเทียนเต้านามว่า โถงร้อยหญ้า

 

 

ด้วยงานรวมพลเซียนที่กำลังใกล้เข้ามา ร้านขายยาจึงแน่นเอี้ยดไปด้วยผู้คนที่กำลังซื้อยาวิเศษแทบจะทุกชนิด มีเพียงมุมเดียวที่ไร้ลูกค้า ชายชราในระดับสองของการหลอมรวมพลังวิญญาณที่อยู่ในชุดศิษย์นอกเวลาของสำนักเทียนเต้ากำลั่งนั่งสัปหงกอยู่ตรงนั้น

 

 

โม่เทียนเกอสังเกตรอบๆ ตัวอยู่ครู่หนึ่ง หลังจากพบว่ามุมสงบนั้นคือที่ที่เอาไว้ซื้อขายพืชวิญญาณ นางจึงตรงไปที่มุมนั้นทันทีและเคาะเรียกที่โต๊ะคิดเงิน

 

 

ชายชราที่คุมโต๊ะคิดเงินลืมตาขึ้นและจ้องมองนางก่อนจะถามอย่างเกียจคร้านว่า “ท่านมาซื้อหรือมาขาย”

 

 

ท่าทางของเขาเฉยเมย นางจำได้ว่าเมื่อตอนที่นางยังไม่ได้เข้าสำนักอวิ๋นอู้และมีระดับการฝึกตนต่ำ พนักงานในร้านค้าของสำนักอวิ๋นอู้ยังปฏิบัติต่อนางอย่างมีมารยาท ในขณะที่สำนักเทียนเต้าแห่งนี้อวดอ้างว่าเป็นกลุ่มการฝึกตนที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในคุนอู๋ แต่แค่ศิษย์นอกเวลาของพวกเขาก็ยังหยิ่งยโสถึงเพียงนี้…

 

 

ถึงอย่างนั้น นางไม่ได้รู้สึกว่าอยากจะมาทะเลาะกันด้วยเรื่องนี้จึงพูดไปแค่ว่า “ข้าอยากซื้อพืชวิญญาณนิดหน่อยเพื่อปรุงยาวิเศษ”

 

 

“อ้อ” ชายชราพูดขณะที่กวาดตามองทั่วตัวนาง เขาคงคิดว่านางเป็นอาจารย์ปรุงยาจึงถามว่า “พืชประเภทไหน จำนวนเท่าไร”

 

 

โม่เทียนเกอตอบ “ทุกประเภทที่จำเป็นสำหรับยาวิเศษชั้นหนึ่ง ของพวกนั้นราคาเท่าไร”

 

 

“อ้อ…” คำว่า ‘อ้อ’ ครั้งนี้ต่างไปจากครั้งแรกมันเป็น ‘อ้อ’ ที่ยาวมาก ประกายสดใสวาบผ่านดวงตาของชายชราขณะที่เขามองนาง จากนั้นเขาจึงถามว่า “ท่านสหายนักพรต นี่คงเป็นครั้งแรกที่ท่านหัดปรุงยาวิเศษใช่หรือไม่”

 

 

โม่เทียนเกอพยักหน้า มีคนจำนวนมากที่ไม่สามารถปรุงยาได้ และก็มีคนจำนวนมากที่สนใจในการเรียนรู้ศาสตร์นี้ ดังนั้นนางจึงรู้สึกว่าไม่จำเป็นที่จะต้องปิดบังความจริง

 

 

ชายชรากล่าวว่า “ข้ามีสูตรบางอย่างสำหรับยาวิเศษที่ใช้กันทั่วไป ท่านสหายนักพรตสนใจหรือไม่”

 

 

แผนดั้งเดิมของโม่เทียนเกอก็คือซื้อสูตรยาเล็กน้อยหลังจากนางซื้อพืชวิญญาณแล้ว แต่ในเมื่อชายคนนี้เป็นฝ่ายถามก่อน นางจึงรับโอกาสนั้นไว้ “ถ้าสหายนักพรตมี ข้าก็ยินดีที่จะซื้อ”

 

 

พอได้ยินคำตอบของนาง ท่าทางเฉยเมยของชายชราเปลี่ยนไปทันที เขายิ้มและพูดว่า “แน่นอนว่าข้ามี ข้ามีสูตรสำหรับยาบำรุงพลังวิญญาณ ยาบำรุงครอบจักรวาล ยาฟื้นคืนสติ และอีกมากมาย ถ้าท่านสหายนักพรตต้องการ ข้าสามารถให้ราคาถูกลงได้ เอาเป็นว่าสามศิลาวิญญาณต่อหนึ่งสูตรดีไหมขอรับ”

 

 

ยาวิเศษพวกนั้นเป็นยาวิเศษสามัญที่สุดในโลกแห่งการฝึกตน สูตรยาของมันไม่ได้หายาก มันมีอยู่ทั่วไปทุกที่และราคาถูก อย่างไรก็ตาม มันจะถือว่าราคาถูกก็เมื่อเปรียบเทียบกับสูตรยาอื่นๆ ที่มักจะมีราคาหลายร้อยศิลาวิญญาณ ราคาสามศิลาวิญญาณสำหรับศิษย์ของกลุ่มการฝึกตนไม่ได้จัดว่าถูกเลย ในเมื่อปกติพวกเขาได้รับศิลาวิญญาณเพียงแค่ประมาณห้าอันต่อเดือนเท่านั้น แม้แต่คนที่ขยันในการพยายามหาเงินก็ยังได้รับศิลาวิญญาณเพียงแค่สิบถึงยี่สิบอันเท่านั้น ไม่ต้องพูดถึงผู้ฝึกตนเดี่ยวเลยด้วยซ้ำ เพราะอย่างนั้น ชายชราจึงเฝ้ามองสีหน้าของโม่เทียนเกอทันทีหลังจากเขาพูดจบ

 

 

เมื่อชายชราสังเกตว่านางไม่ได้ตอบในทันที เขาจึงกระซิบว่า “ท่านสหายนักพรต นี่ไม่ใช่ราคาของที่ร้านนะ ถ้าท่านไปเลือกซื้อในร้านค้าอื่นๆ พวกเขาล้วนจะคิดท่านด้วยราคาห้าศิลาวิญญาณทั้งนั้นล่ะ ท่านไม่มีทางจะซื้อมันได้ในราคาถูกขนาดนี้หรอก”

 

 

การเงียบไปชั่วขณะของโม่เทียนเกอเป็นเพียงความเคยชิน นางไม่ได้ร่ำรวยมาก ดังนั้นเมื่อไหร่ก็ตามที่นางซื้อของ นางจึงพยายามจะประหยัดศิลาวิญญาณเท่าที่จะทำได้ เพราะอย่างนั้น แทนที่จะตอบไปโดยตรง นางต้องใคร่ครวญถึงการซื้อครั้งนี้ในใจเสียก่อน

 

 

ตอนนี้นางเข้าใจความหมายของชายชราแล้ว นางเข้าใจว่าชายชราคนนี้กำลังทำการซื้อขายส่วนตัว ดังนั้นศิลาวิญญาณก็จะเข้ากระเป๋าของเขาเอง นั่นเป็นสาเหตุเบื้องหลังของพฤติกรรมเขา

 

 

ขณะที่ถูกโม่เทียนเกอจ้องมอง ชายชราไม่ได้รู้สึกอับอายแม้แต่น้อยและเพียงแค่ยิ้มให้

 

 

หลังจากคิดอยู่พักหนึ่ง โม่เทียนเกอจึงพูดว่า “ตกลง เอาสูตรยามาให้ข้า ข้าจะเลือกบางอย่าง ในขณะเดียวกันเจ้าควรจะไปเตรียมวัตถุดิบที่ข้าต้องการมาซะ”

 

 

ชายชรายิ้ม เขาคว้ากระดาษที่ทำจากหนังสัตว์และยื่นให้นาง

 

 

โม่เทียนเกอเลือกสูตรยาสามอย่างที่อยู่ในกระดาษ

 

 

ชายชราเหลือบมองนางและถามว่า “สหายนักพรต ท่านต้องการวัตถุดิบมากแค่ไหนหรือ”

 

 

หลังจากครุ่นคิด โม่เทียนเกอจึงตอบว่า “เอาวัตถุดิบมาอย่างละหนึ่งร้อยส่วน นอกจากนั้น เพิ่มวัตถุดิบที่จำเป็นสำหรับยาบำรุงพลังวิญญาณ ยาซ่อมไขกระดูก และก็ยาศักดิ์สิทธิ์ เอามาหนึ่งร้อยส่วนต่อแต่ละอย่าง”

 

 

หนึ่งร้อยส่วนต่อของแต่ละอย่างนั้นยิ่งกว่ามากพอ แม้ว่าชายชราจะค่อนข้างประหลาดใจ แต่เขาก็ไม่ได้พูดอะไรและแค่หันกลับไปหยิบกระดาษหนังสัตว์อีกแผ่นออกมาจากโต๊ะ เขาเลือกวัตถุดิบจากตู้ยาที่อยู่ข้างหลังและห่อมันแยกตามประเภท ของบางประเภทที่ต้องเก็บให้สดใหม่ถูกบรรจุไว้โดยใช้กล่องหยก

 

 

“นี่คือวัตถุดิบของยาวิเศษหนึ่งร้อยส่วนตามสูตรขอรับ ท่านควรจะเก็บไว้ให้ดี”

 

 

บนโต๊ะคิดเงินมีกองของต่างๆ วางอยู่ทั่ว แผ่นหยกบันทึกหลายแผ่นวางไว้อยู่บนกล่องหยก เมื่อนางตรวจดูหยกบันทึกและเห็นว่ามันเป็นสูตรยาวิเศษที่นางขอซื้อจริง โม่เทียนเกอจึงถามตรงๆ ว่า “ข้าควรจะต้องจ่ายด้วยศิลาวิญญาณจำนวนเท่าไหร่”

 

 

ชายชราสังเกตสภาพรอบข้างด้วยดวงตาเป็นประกาย หลังจากที่เขาแน่ใจแล้วว่าไม่มีใครสนใจเขาจึงพูดว่า “วัตถุดิบพวกนี้… ในเมื่อท่านซื้อมากมายหลายอย่าง ข้าจะคิดราคาถูกลงเพื่อท่านหนึ่งร้อยห้าสิบศิลาวิญญาณ สูตรยาสามสูตรมีราคาเก้าศิลาวิญญาณ ทั้งหมดก็หนึ่งร้อยห้าสิบเก้าศิลาวิญญาณขอรับ”

 

 

โม่เทียนเกอพยักหน้า นางหยิบศิลาวิญญาณออกจากกระเป๋าเอกภพและนับอยู่หลายครั้งก่อนจะส่งให้ การทำตัวรอบคอบมากขึ้นอีกหน่อยทำให้คนอื่นเห็นว่านางคิดว่าศิลาวิญญาณจำนวนเท่านี้ไม่ใช่น้อยๆ เลย การทำเช่นนี้เพื่อเลี่ยงการกระตุ้นความละโมบของคนอื่นๆ ในกรณีที่พวกเขาเห็นว่านางซื้อของในครั้งนี้

 

 

เขตนี้แตกต่างกับสำนักอวิ๋นอู้ซึ่งมีท่านอารองอยู่ใกล้ๆ เมื่อมีท่านอารองอยู่เคียงข้าง นางก็ไม่จำเป็นต้องกลัวว่าคนจะอิจฉาเมื่อพวกเขาเห็นนางใช้จ่ายศิลาวิญญาณไปมากมาย เพราะว่าการใช้ศิลาวิญญาณจำนวนมากขนาดนั้นถือว่าเป็นปกติของผู้ฝึกตนระดับการสร้างฐานแห่งพลัง

 

 

ชายชรารับศิลาวิญญาณไปด้วยความยินดีและพูดว่า “ขอบคุณที่ซื้อขอรับ” เขาหลอกลวงเอาศิลาวิญญาณเก้าอันมาได้อย่างง่ายดาย นี่ไม่ใช่ธุรกิจเล็กๆ อย่างแน่นอน

 

 

หลังจากเก็บของทุกอย่างลงกระเป๋าเอกภพ โม่เทียนเกอก็ถามต่อไปว่า “เจ้ามีเตาหลอมยาขายที่นี่หรือไม่”

 

 

พอได้ยินคำถามของนาง ชายชราก็ยิ้มอย่างเป็นมิตรอีกครั้ง “ท่านสหายนักพรตถามเรื่องนี้ได้พอดิบพอดีเลย ข้ากำลังจะเอาออกมาขายอยู่พอดีเชียว แม้ว่าคุณภาพอาจจะไม่ดีมาก แต่ก็เพียงพอสำหรับคนที่เพิ่งจะเรียนรู้การปรุงยา แต่แน่นอนว่าถ้าท่านต้องการซื้อเตาหลอมยาคุณภาพสูง ท่านน่าจะไปที่ร้านค้าพิเศษของสำนักเทียนเต้าของเรา ‘โถงพันเครื่องมือ’ อยู่ร้านข้างๆ นี่เอง”

 

 

โม่เทียนเกอตอบว่า “ข้าเพิ่งจะเริ่มเรียน ไม่จำเป็นต้องใช้เตาหลอมยาคุณภาพดีหรอก ตอนนี้ให้ข้าดูหน่อยว่าเจ้ามีเตาหลอมยาแบบไหนบ้าง”

 

 

ชายชราพยักหน้าและเอาเตาหลอมยาหลายเตาออกมาจากใต้โต๊ะคิดเงิน ขณะที่เขาจัดเรียงบนโต๊ะ เขาก็พูดว่า “เชิญดูได้ขอรับ”

 

 

ในหมู่เตาหลอมเหล่านั้น อันที่เล็กที่สุดขนาดเพียงแค่ประมาณหนึ่งตารางฟุต ส่วนอันที่ใหญ่สุดสูงอย่างน้อยสามฟุต โม่เทียนเกอนึกถึงเตาหลอมยาของฉินซีที่นางเคยเห็นมาก่อน มันดูเหมือนจะสูงแค่ประมาณหนึ่งฟุตแต่เปี่ยมล้นไปด้วยพลังวิญญาณ คาดว่าขนาดของเตาหลอมยาคงไม่มีความเกี่ยวข้องกับความสำเร็จในการปรุงยา ดังนั้นนางจึงสุ่มเลือกเตาเล็กมาและถามว่า “เตานี้กี่ศิลาวิญญาณ”

 

 

“ทั้งหมดราคาเดียวกันขอรับ นั่นคือสิบห้าศิลาวิญญาณ”

 

 

โม่เทียนเกอพยักหน้า นางนับศิลาวิญญาณสิบห้าอันออกมา จากนั้นเก็บเตาหลอมยาลงกระเป๋าเอกภพของตัวเอง

 

 

บัดนี้ที่สินค้าถูกขายออกไปและตกลงกันเรื่องเงินเรียบร้อย ทั้งสองฝ่ายจึงรู้สึกพอใจมาก โม่เทียนเกอออกจากโถงร้อยหญ้าไปโดยมีคำพูดลา ‘เราจะรอท่านกลับมาอีกนะขอรับ!’ ของชายชราตามมา ความรู้สึกขนลุกเกิดขึ้นในร่างของนาง นางไม่รู้ว่าทำไม ทว่าเมื่อนางได้ยินเสียงชายชรา ก็รู้สึกว่ามันคล้ายกับเสียงที่พวกพ่อเล้าในซ่องบนโลกมนุษย์ใช้กันเวลาส่งแขก

 

 

โม่เทียนเกอวางม่านพลังเป็นอย่างแรกทันทีหลังจากที่นางกลับมาถึงกระท่อมชั่วคราว จากนั้นนางเอาเตาหลอมยาที่นางซื้อออกมาทำความสะอาดก่อนจะวางไว้ข้างหน้านาง หลังจากนั้นจึงหยิบหนังสือออกมาหลายเล่มและเริ่มเปิดดู

 

 

ท่านอารองครั้งหนึ่งเคยบอกว่าแทบจะไม่มีใครในกลุ่มเยี่ยเลยที่เคยเรียนด้านการปรุงยา มีเพียงแค่อาจารย์ปรุงยาไม่กี่คนเท่านั้น แต่นั่นก็เป็นเวลานานแล้ว ผลก็คือพวกเขาไม่มีวัตถุดิบที่ใช้ในการปรุงยามากนัก บางอย่างที่ยังเหลืออยู่ก็หายไปเมื่อกลุ่มเยี่ยย้ายออกจากเขาชิงเหม็ง

 

 

โชคดีที่นางได้รับหนังสือหลายเล่มมาเมื่อสองสามปีก่อนในหุบเขาหมีอู้ ในหมู่หนังสือพวกนั้นมีหนึ่งเล่มที่เกี่ยวกับศาสตร์แห่งการปรุงยาวิเศษ เนื่องจากหนังสือเล่มอื่นๆ ค่อนข้างดี เทียบกันแล้วหนังสือเล่มนี้จึงน่าจะพอใช้ได้ โม่เทียนเกอหยิบหนังสือออกมาและเริ่มศึกษา

 

 

ยาวิเศษที่ธรรมดาที่สุดสำหรับผู้ฝึกตนระดับการหลอมรวมพลังวิญญาณคือยาบำรุงพลังวิญญาณ เพราะฉะนั้นนางจึงต้องเริ่มจากการปรุงยานี้

 

 

นางเอาวัตถุดิบหลากหลายชนิดออกมาก่อนจะทบทวนดูทุกสิ่งที่นางจำเป็นต้องใช้ อย่างเช่น ไฟของจริงสำหรับการปรุงยาและการใช้ท่าทางมุทราหลายท่า หลังจากยืนยันแน่แล้วว่านางเข้าใจทุกอย่างถ่องแท้นางจึงวางหนังสือลง

 

 

จากนั้นนางนั่งลงบนเสื่อสวดมนต์และรวบรวมพลังวิญญาณในตานเถียน ชั่วขณะต่อมา เส้นใยพลังวิญญาณถูกส่งออกมาจากฝ่ามือนาง ในขณะนั้นเอง พลังวิญญาณนั้นได้เปลี่ยนเป็นเปลวไฟที่ลุกโชน

 

 

โม่เทียนเกอยิ้มขณะที่มองดูเปลวไฟในฝ่ามือ นี่คือไฟจากตานเถียนของนาง ผู้คนสามารถปล่อยพลังไฟแบบนี้ได้ต่อให้พวกเขาไม่มีรากวิญญาณ อย่างไรก็ตาม คุณภาพของพลังวิญญาณที่มีคุณสมบัติธาตุไฟจะมีอิทธิพลอย่างมากในไฟตานเถียน

 

 

รากวิญญาณของนางไม่ได้จัดว่าเป็นรากวิญญาณที่ดี แต่มันมาจากจำนวนรวมทั้งหมดของรากวิญญาณที่นางมี ถ้ามาจากคุณภาพของรากวิญญาณแต่ละธาตุ ท่านอารองซึ่งครั้งหนึ่งเคยตรวจสอบดูได้กล่าวว่ารากวิญญาณแต่ละธาตุของนางค่อนข้างดีเลยทีเดียว ซึ่งเป็นเหตุว่าทำไมนางถึงสามารถปล่อยไฟตานเถียนได้อย่างง่ายดายนัก

 

 

ขณะที่นางเพิ่มพลังวิญญาณในฝ่ามือ ไฟตานเถียนของนางก็ใหญ่ขึ้นเป็นลำแสงไฟบางๆ เมื่อมันไปถึงตรงก้นของเตาหลอมยา ก็ปกคลุมทั่วทั้งก้นเตาอย่างรวดเร็ว ทำให้เตาหลอมยาร้อนขึ้นในทันที

 

 

นางปล่อยพลังวิญญาณบางส่วนผ่านมือข้างที่ว่างเพื่อเปิดฝาเตา ด้วยการเคลื่อนไหวรวดเร็วเป็นชุด นางใส่วัตถุดิบหลากหลายชนิดลงไปในเตาแทนที่ฝาเตา

 

 

นางยังใส่เส้นใยจิตสัมผัสของนางลงไปในเตาด้วยเพื่อที่นางจะได้รู้สึกถึงการหลอมละลายของวัตถุดิบต่างๆ

 

 

พลังของไฟตานเถียนนางมีพลังเกินกว่าไฟธรรมดามากนัก มันหลอมละลายวัตถุดิบทุกอย่างในเตาอย่างรวดเร็ว ขณะนั้นเอง เสียง ‘แป๊ะ!’ ก็ดังขึ้นจากภายในเตาหลอมยา

 

 

โม่เทียนเกอหยุดปล่อยไฟตานเถียนของนางและไปเปิดฝาเตาดู นางจ้องมองวัตถุดิบข้างในอย่างเศร้าสร้อย

 

 

วัตถุดิบส่วนใหญ่ละลายเรียบร้อยแล้ว แต่แทนที่จะผสมเข้ากันได้ดี มันกลับแปรสภาพไปเป็นของเหลวสีดำเดือดปุดๆ

 

 

โม่เทียนเกอถอนใจและโยนกากของเสียทั้งหมดจากการปรุงยาที่ล้มเหลวนี้ทิ้งไป นางใช้น้ำสะอาดล้างเตาหลอมก่อนที่จะเก็บมันกลับไป

 

 

แน่นอนว่าการปรุงยาวิเศษไม่ใช่เรื่องง่ายๆ เมื่อเป็นเรื่องเกี่ยวกับปริมาณของวัตถุดิบแต่ละอย่าง ในหนังสือเขียนไว้ว่าถึงแม้จะรู้จำนวนคร่าวๆ แต่จำนวนที่เฉพาะเจาะจงต้องเรียนรู้ไปอย่างช้าๆ โดยตัวของอาจารย์ปรุงยาเอง ด้วยวิธีนั้น พวกเขาก็จะค่อยๆ เกิดความเข้าใจในรายละเอียดปลีกย่อยต่างๆ

 

 

เหตุผลที่การปรุงยาในเตาหลอมนี้ล้มเหลวระหว่างขั้นตอนการหลอมก็เพราะโม่เทียนเกอยังสัมผัสไม่ได้ถึงส่วนประกอบของยาวิเศษ และยังไม่มั่นใจว่าจำนวนที่จำเป็นต้องใช้มีเท่าไหร่

 

 

หลังจากใช้ส่วนเกินของวัตถุดิบแต่ละอย่าง นางก็ทำไม่สำเร็จอีกครั้ง อย่างไรก็ตาม ครั้งนี้ยังพอมีรอยยิ้มปรากฏบนใบหน้านาง เมื่อนางใส่จิตสัมผัสเข้าไปในเตาหลอมยา ก็สัมผัสได้ถึงความแตกต่างเล็กน้อยระหว่างวัตถุดิบแต่ละอย่างแล้ว ดังนั้น หลังจากล้างเตาหลอมยาอีกครั้ง นางจึงพยายามที่จะปรุงยาวิเศษต่อไป

 

 

หลังจากใส่วัตถุดิบเพิ่มลงไปอย่างเร็วและใส่จิตสัมผัสของนางลงไปในเตาหลอม นางสัมผัสได้ว่าวัตถุดิบต่างๆ กำลังละลาย ในไม่ช้า วัตถุดิบทั้งหมดภายในก็เริ่มจะผสมเข้าด้วยกัน… หลังจากผ่านไปสิบห้านาที นางก็เริ่มได้กลิ่นหอมบริสุทธิ์ของยาวิเศษเข้าแล้ว

 

 

โม่เทียนเกอกลืนยาครอบจักรวาลไปหลายเม็ดและดึงพลังวิญญาณของนางเข้าสู่ตานเถียน นางปล่อยพลังไฟตานเถียนที่ยิ่งรุนแรงมากขึ้นปกคลุมไปทั่วทั้งเตาหลอมยา

 

 

ภายใต้อุณหภูมิสูง ของเหลวภายในเตาหลอมยาเริ่มที่จะเดือดและเริ่มจะข้นขึ้นทีละน้อย

 

 

โม่เทียนเกอต้องกินยาครอบจักรวาลอย่างต่อเนื่องเพื่อรักษาไฟตานเถียนของนางเอาไว้ นี่เป็นเวลาที่นางต้องทำให้ยาแข็งตัว ดังนั้นนางจึงต้องรักษาอุณหภูมิของไฟเอาไว้ให้คงที่ อย่างไรก็ตาม พลังวิญญาณของผู้ฝึกตนระดับการหลอมรวมพลังวิญญาณนั้นอ่อนแรงเกินไป นางทำได้เพียงแค่พึ่งยาครอบจักรวาลเพื่อรักษาไฟตานเถียนของนางให้เสถียรเท่านั้น

 

 

นางไม่รู้ว่าใช้เวลาไปนานแค่ไหนหรือกินยาครอบจักรวาลไปมากเท่าไร ทว่าท้ายที่สุดแล้ว ของเหลวภายในเตาหลอมยาก็ค่อยๆ ข้นขึ้นอย่างช้าๆ และกลายเป็นก้อนซึ่งเริ่มจะแข็งตัวเป็นเม็ดยา…

 

 

เมื่อของเหลวแข็งตัวเสร็จเรียบร้อยและก่อตัวเป็นเม็ดยา โม่เทียนเกอก็หยุดปล่อยไฟตานเถียนและเปิดเตาหลอมยาด้วยความดีใจ

 

 

กระนั้นก็ตาม ในวินาทีต่อมา สีหน้านางกลับไปหดหู่อีกครั้ง ยาวิเศษเริ่มจะเป็นรูปเป็นร่างแล้ว แต่ในชั่ววินาทีหลังจากที่นางเปิดเตาหลอมยา ยาพวกนั้นก็ระเบิดแตก นางรู้ว่าที่เกิดเหตุแบบนี้ก็เพราะนางเปิดเตาหลอมยาผิดเวลาไปนั่นเอง

 

 

การปรุงยาวิเศษไม่ใช่เรื่องง่ายเลยจริงๆ ไม่น่าแปลกใจว่าทำไมหนังสือถึงเน้นย้ำว่าคนจะเข้าใจกระบวนการปรุงยาทั้งหมดมากขึ้นทีละนิดๆ ก็ต่อเมื่อหลังจากที่ได้พยายามไปหลายสิบครั้งแล้ว

 

 

มิเช่นนั้นแล้ว ถ้านางประสบความสำเร็จในการปรุงยาวิเศษอยู่เสมอ และยาแต่ละเม็ดมีราคาหนึ่งหรือสองศิลาวิญญาณ ในขณะที่นางจ่ายไปเพียงหนึ่งร้อยห้าสิบศิลาวิญญาณสำหรับวัตถุดิบประมาณเจ็ดร้อยถึงแปดร้อยส่วน นั่นคือหนึ่งร้อยส่วนสำหรับยาวิเศษแต่ละชนิด นั่นก็หมายความว่านางจะได้กำไรอย่างมหาศาล

 

 

แต่โอกาสของความสำเร็จนั้นต่ำมาก จากวัตถุดิบยาวิเศษเจ็ดร้อยถึงแปดร้อยส่วน คงจะถือว่าวิเศษมากแล้วถ้านางสามารถปรุงยาสำเร็จและได้ยาสองร้อยถึงสามร้อยเม็ด เมื่อรวมกับค่าใช้จ่ายอื่นๆ อีก กำไรจึงไม่ได้มากมายอะไรนัก

 

 

โม่เทียนเกอส่ายหัวและโยนยาที่ไม่สำเร็จทิ้งไป หลังจากล้างเตาหลอมยา นางก็พยายามจะปรุงยาต่ออีกรอบ

 

 

ต่อให้นางไม่มีความสามารถ นางก็จะต้องประสบความสำเร็จได้แน่นอนตราบใดที่นางพยายามอย่างหนักต่อไป นอกจากนั้น ขณะนี้นางมีศิลาวิญญาณอยู่มากมาย นางจะคิดถึงการยอมแพ้ก็ต่อเมื่อนางไม่มีศิลาวิญญาณเหลือมากพออีกต่อไปแล้ว