บทที่ 495 ในใจท่าน เป็นห่วงข้าเหมือนกันนะเนี่ย

เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此]

ตอนที่ 495 ในใจท่าน เป็นห่วงข้าเหมือนกันนะเนี่ย

 

 

นี่คือความรู้สึกที่แปลกประหลาดมาก

 

 

มันเหมือนกับว่าหลินเป่ยเฉินรู้จักบุคคลผู้นี้ หรือเคยพบหน้ากันมาก่อน แต่เขากลับจำไม่ได้ว่าอีกฝ่ายเป็นใคร

 

 

อืม…

 

 

ช่างแม่งละ ขี้เกียจนึก

 

 

หลินเป่ยเฉินเงยหน้ามองไปยังหน้าจอถ่ายทอดสดบนท้องฟ้า

 

 

จอถ่ายทอดสดของเขตสนามรบจุดที่สี่กำลังเปิดเผยให้เห็นคู่ต่อสู้ของมือกระบี่เทพอัคคี

 

 

แต่ตลอดทั้งร่างกายของบุคคลผู้นั้นกลับปกคลุมด้วยแสงสีขาวสว่างแสบตา

 

 

ด้วยสาเหตุนี้ ทุกคนจึงไม่สามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจนว่าบุคคลปริศนาผู้นี้คือใครกันแน่ พวกเขาเห็นแต่เพียงโครงร่างภายนอก อย่าว่าแต่จะเห็นใบหน้าของคนผู้นี้เลย บัดนี้ ยังไม่มีใครรู้ด้วยซ้ำว่าคนคนนี้เป็นผู้ชายหรือว่าผู้หญิง

 

 

การต่อสู้เริ่มขึ้นในทันที

 

 

มือกระบี่เทพอัคคีจู่โจมกระบวนท่าแรก มือกระบี่ปริศนากระโดดหลบหลีก

 

 

แล้วการปะทะกันของคลื่นพลังก็เกิดขึ้น แต่ในจังหวะต่อมา ทั้งสองฝ่ายก็ต้องแยกออกจากกัน

 

 

ในสนามรบเต็มไปด้วยคลื่นพลังแห่งการทำลายล้าง มวลพลังงานทำให้พื้นดินสั่นสะเทือนเล็กน้อย และด้วยความน่ากลัวของคลื่นพลังงานเหล่านี้เอง ที่ทำให้กลุ่มคนดูรู้สึกอยากจะหลบหนีโดยสัญชาตญาณแห่งการเอาตัวรอด…

 

 

มือกระบี่หลายคนลืมตัวว่าตนเองเป็นเพียงคนดู บัดนี้ถึงกับตั้งท่าเตรียมรับมือการโจมตีแล้ว

 

 

ในทางกลับกัน ชาวเมืองหยุนเมิ่งถึงกับต้องคุกเข่าลงไปก้มศีรษะสวดภาวนา เพื่อให้ตัวแทนของวิหารเทพกระบี่รอดพ้นจากอันตราย

 

 

“คงต้องใช้เวลาไม่น้อยกว่าจะรู้ผลแพ้ชนะแฮะ” หลินเป่ยเฉินคิดอยู่ในใจ

 

 

หลังจากนั้น เด็กหนุ่มก็จ้องมองไปยังหน้าจอถ่ายทอดสดของเขตสนามรบจุดที่สาม

 

 

เขารู้สึกเหนื่อยแทนเยว่เว่ยหยางขึ้นมาทันที

 

 

เห็นได้ชัดว่าเยว่เว่ยหยางกำลังต่อสู้อยู่กับผู้มีพลังปราณธาตุดิน และอีกฝ่ายหนึ่งก็ได้แสดงความแข็งแกร่งออกมาตั้งแต่การจู่โจมกระบวนท่าแรก

 

 

เยว่เว่ยหยางกางปีกกระบี่ทั้งสี่ข้าง ปีกของนางมีความยาวมากกว่า 90 เซี๊ยะ พลังลมปราณพวยพุ่งออกจากร่างกาย มีความแข็งแกร่งเทียบเท่ากับมือกระบี่ระดับยอดปรมาจารย์

 

 

แม้ว่าพลังของนางจะไม่แข็งแกร่งเท่ากับคู่ต่อสู้ แต่อย่างน้อยก็แน่ใจได้อย่างหนึ่งว่าเยว่เว่ยหยางคงไม่พ่ายแพ้ในเวลาอันรวดเร็ว

 

 

หลังจากที่เยว่เว่ยหยางเดินทางไปศึกษาต่อในวิหารหลวง ระดับพลังของนางก็เลื่อนขึ้นมาสูงส่งถึงขั้นนี้แล้วหรือ?

 

 

หลินเป่ยเฉินจำได้ดีว่าครั้งสุดท้ายที่เยว่เว่ยหยางกางปีกกระบี่ทั้งสี่ข้างออกมา นางยังไม่ได้มีพลังแข็งแกร่งถึงระดับนี้เลยด้วยซ้ำ

 

 

ให้ตายสิ

 

 

ทำไมถึงมีพลังสูงขึ้นรวดเร็วแบบนี้นะ

 

 

คิดไปคิดมา หลินเป่ยเฉินก็รู้สึกอิจฉาขึ้นมาชอบกล

 

 

วิหารเมืองหยุนเมิ่งต้องเผชิญหน้ากับอันตรายที่ไม่สมควรพบเจอ

 

 

ทั้งหมดนี้เป็นเพราะฝีมือของเว่ยหมิงเฉินคนเดียวเท่านั้น!

 

 

ไอ้ลูกหมาสารเลวนั่น

 

 

หลินเป่ยเฉินไม่มีทางปล่อยให้มันลอยนวลเด็ดขาด

 

 

ถ้าเขาสามารถรอดพ้นจากเหตุการณ์ในครั้งนี้ได้สำเร็จ หลินเป่ยเฉินสาบานเลยว่าเขาจะอาศัยทักษะการล่องหนของอากวงบุกเข้าไปลอบสังหารเว่ยหมิงเฉินด้วยตนเอง

 

 

ในเวลาเดียวกันนี้ ได้มีลำแสงกระบี่พุ่งขึ้นมาจากใจกลางตัวเมืองหยุนเมิ่ง ลอยตัดผืนฟ้าและทิ้งตัวตกลงมาในเขตสนามรบศักดิ์สิทธิ์จุดที่ห้า

 

 

สังเกตจากพลังลมปราณที่แผ่ออกมา นี่น่าจะเป็นหนึ่งในห้าเทพมือกระบี่ประจำธาตุน้ำ

 

 

หลินเป่ยเฉินเลิกคิ้วสูงเล็กน้อย

 

 

นับว่าเว่ยหมิงเฉินมีขุมกำลังน่ากลัวเกินกว่าที่เขาคิดเอาไว้เยอะทีเดียว

 

 

ทุกคนที่เป็นตัวแทนออกมาต่อสู้ ล้วนแต่มีพลังอยู่ในระดับยอดปรมาจารย์ นับดูในจักรวรรดิเป่ยไห่ มือกระบี่ที่มีพลังสูงส่งระดับนี้ ถ้าไม่ได้เข้าร่วมกับกองทัพ ก็ต้องนับว่าเป็นสมบัติล้ำค่าในยุทธ์ภพ…

 

 

ครั้งนี้ใครจะเป็นคนออกไปต่อสู้กันนะ?

 

 

ทันใดนั้น นักพรตหญิงชินยื่นมือออกมาบีบไหล่ของหลินเป่ยเฉินเล็กน้อย

 

 

มือของนางช่างนุ่มนิ่ม ผิวของนางช่างนุ่มนวล

 

 

หลินเป่ยเฉินรู้สึกเหมือนหัวไหล่ของตนเองกำลังถูกไฟฟ้าช็อตอย่างไรอย่างนั้น

 

 

“คู่ต่อสู้คนสุดท้าย คงต้องฝากความหวังเอาไว้ที่เพื่อนของเจ้าแล้วนะ” นักพรตหญิงชินโคจรพลังลมปราณสีเงินยวงออกมาห่อหุ้มร่างกายของตนเอง สีหน้าของนางยังคงเรียบเฉยเย็นชา แต่แววตากลับปรากฏความห่วงใยที่ไม่เคยแสดงให้เห็นมาก่อน “เจ้าเองก็ระมัดระวังตัวด้วย หากว่า…”

 

 

พูดมาถึงตรงนี้ นักพรตหญิงชินก็ก้มศีรษะลงกัดริมฝีปาก โน้มตัวเข้ามากระซิบที่ข้างหูเด็กหนุ่มเพื่อให้ได้ยินกันแค่สองคน “หากว่าเจ้าไม่สามารถทำอะไรได้อีกแล้ว จงหนีเอาตัวรอด อย่าได้เป็นห่วงผู้อื่น”

 

 

หลังจากนั้น ร่างของหัวหน้านักบวชสาวก็หายวับไป

 

 

นักพรตหญิงชินหายวับไปกลางอากาศ

 

 

หลินเป่ยเฉินยื่นมือออกไปไขว่คว้าโดยไม่รู้ตัว

 

 

เบื้องหน้าของเขาหลงเหลือเพียงกลิ่นกายของนักพรตหญิงชินเท่านั้น

 

 

นักพรตหญิงชินทิ้งตัวลงไปสู่เขตสนามรบศักดิ์สิทธิ์จุดที่ห้า

 

 

บนท้องฟ้า

 

 

คุณชายเหลียนซานที่มือหนึ่งถือไม้เท้า อีกมือหนึ่งถือแผ่นยันต์พลันยิ้มมุมปากด้วยความโล่งใจ พลังลมปราณที่แผ่ออกมาจากร่างกายลดน้อยลง บ่งบอกให้รับทราบว่าเจ้าตัวมีความผ่อนคลายมากกว่าเดิมหลายเท่า

 

 

“นักพรตหญิงชินหนอ นักพรตหญิงชิน หุหุ ในที่สุดท่านก็ต้องออกมาต่อสู้แล้ว…”

 

 

“เห็นทีครั้งนี้วิหารเมืองหยุนเมิ่งคงถึงคราวอวสานเป็นแน่แท้…”

 

 

“ฮ่าๆๆๆ…”

 

 

“หากท่านยอมเป็นผู้หญิงของคุณชายเว่ยหมิงเฉินตั้งแต่แรก เหตุการณ์ก็คงไม่บานปลายมาถึงขั้นนี้ หากท่านยอมปฏิบัติตามคำสั่งของคุณชายเว่ยหมิงเฉินแต่โดยดี การตรวจสอบเช่นวันนี้ก็คงไม่เกิดขึ้น มิหนำซ้ำ ท่านอาจจะได้เป็นเทพีผู้ยิ่งใหญ่แห่งจักรวรรดิในอนาคตก็เป็นได้ ทว่า ท่านกลับเลือกที่จะปกป้องหลินเป่ยเฉินจนตัวตาย ไม่ว่าคิดทบทวนดูสักกี่รอบ ข้าก็ไม่เข้าใจเลยว่ามันเป็นเพราะเหตุใดกัน?”

 

 

“วันนี้ ข้าจะสั่งสอนบทเรียนให้ท่านได้รู้ว่า คุณชายเว่ยหมิงเฉินต้องได้ในสิ่งที่เขาต้องการเสมอ และผู้คนที่ขัดขวางความต้องการของเขา ก็จะพบจุดจบเป็นความตายสถานเดียว!”

 

 

“ไม่ว่าตัวแทนของฝ่ายท่านคนสุดท้ายจะเป็นหลินเป่ยเฉินหรือไม่ ในวันนี้ ท่านจะต้องได้เห็นความตายของเจ้าเด็กนรกนั่นด้วยตาของท่านเอง!”

 

 

“ท่านจะได้รู้รสชาติความเจ็บปวดของการแอบอ้างเป็นตัวแทนเทพีกระบี่ผู้ศักดิ์สิทธิ์”

 

 

คุณชายเหลียนซานยิ้มออกมาด้วยความพอใจเมื่อพูดจบ

 

 

หลังจากนั้น เขาก็โคจรพลังลมปราณเข้าสู่แผ่นยันต์ศักดิ์สิทธิ์ในมือเพิ่มมากขึ้น

 

 

บริเวณหน้าวิหารเทพกระบี่ในขณะนี้

 

 

หลินเป่ยเฉินเดินวนไปวนมาอยู่ไม่เป็นสุข

 

 

บัดนี้ เขาตัดสินใจไม่ถูกว่าตนเองควรทำเช่นไรดี ระหว่างหลบหนีเอาตัวรอด หรือว่าเสี่ยงตายเข้าไปแก้ไขสถานการณ์

 

 

เฮ้อ นักพรตหญิงชินขอรับ

 

 

ในใจท่าน เป็นห่วงข้าเหมือนกันนะเนี่ย

 

 

ถ้าเกิดตายกันหมดขึ้นมา เขาขอสั่งเสียให้นำศพของตนเองฝังลงหลุมเดียวกับนักพรตหญิงชินได้หรือไม่…

 

 

เฮอะ เราต้องไม่คิดแบบนี้สิ

 

 

หลินเป่ยเฉินสะบัดศีรษะไล่ความคิดฟุ้งซ่าน

 

 

เขาตัดสินใจแล้วว่าตนเองยินดีสละชีวิตเพื่อนักพรตหญิงชิน

 

 

หลินเป่ยเฉินจะไม่เปลี่ยนใจอีกต่อไป

 

 

เหลือคู่ต่อสู้คนสุดท้าย

 

 

นักพรตหญิงชินฝากความหวังทั้งหมดเอาไว้ที่วีรบุรุษหน้ากากแดงร่างเปลือย

 

 

นี่คือความเชื่อใจทั้งหมดที่นางมีต่อหลินเป่ยเฉิน

 

 

นางเชื่อว่าเขาได้ไปติดต่อเจรจากับวีรบุรุษหน้ากากแดงเอาไว้เรียบร้อยแล้ว

 

 

หลินเป่ยเฉินชำเลืองมองไปที่เฒ่าทะเลผู้ยืนอยู่ข้างกาย

 

 

เขาถามด้วยสีหน้าจริงจังว่า “ผู้อาวุโสขอรับ บัดนี้พวกเราอับจนหนทางแล้ว ข้าน้อยมีบางอย่างอยากจะสอบถามท่าน ไม่ทราบว่าสมควรพูดออกมาหรือไม่”

 

 

“หืม?”

 

 

เฒ่าทะเลมองหน้าหลินเป่ยเฉินด้วยแววตาเอ็นดูอย่างที่หายากในระยะหลัง จากนั้นชายชราก็อดใจอ่อนไม่ได้โดยการพูดว่า “ว่ามาเถิด”

 

 

หลินเป่ยเฉินพูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่น “แมวน้ำนี่นับเป็นแมวสายพันธุ์หนึ่งหรือเปล่าขอรับ?”

 

 

เฒ่าทะเลถึงกับชะงักกึก

 

 

“พรืด”

 

 

องค์หญิงแห่งท้องทะเลที่ยืนอยู่ด้านข้างหลุดหัวเราะออกมาอย่างทนไม่ไหว

 

 

ก็ใครจะคิดเลยว่าในช่วงเวลาวิกฤติเช่นนี้ หลินเป่ยเฉินจะถามคำถามพรรคนี้ออกมาได้ลงคอ?

 

 

แต่เฒ่าทะเลยังไม่ทันได้ให้คำตอบ หลินเป่ยเฉินก็ระเบิดเสียงหัวเราะออกมาด้วยความร่าเริง

 

 

ก่อนที่จะหมุนตัวเดินตรงไปยังทิศทางของตัววิหารด้านหลัง

 

 

“ข้าขอตัวไปหาอะไรรับประทานหน่อย รบกวนผู้อาวุโสอยู่ที่นี่ อย่าได้เที่ยวเดินเพ่นพ่านไปไหน…”

 

 

นั่นคือประโยคทิ้งท้ายของหลินเป่ยเฉิน ก่อนที่เขาจะเดินหายเข้าไปในส่วนลึกของตัววิหาร

 

 

เฒ่าทะเลขมวดคิ้วอย่างไม่เข้าใจ

 

 

ไม่รู้ทำไม สัญชาตญาณถึงบอกเขาว่าตนเองกำลังถูกเด็กหนุ่มหลอกด่าอยู่ชอบกล

 

 

แต่ในช่วงเวลาเดียวกันนั้นเอง…

 

 

วูบ!

 

 

ปรากฏลำแสงสายฟ้าพุ่งขึ้นมาจากใจกลางตัวเมืองหยุนเมิ่ง เจ้าของลำแสงสายนี้ต้องมีพลังอยู่ในขั้นยอดปรมาจารย์ตอนปลายอย่างไม่ต้องสงสัย และบุคคลผู้นั้นก็ทิ้งตัวลงมายืนอยู่ในเขตสนามรบศักดิ์สิทธิ์จุดที่หก พร้อมสำหรับการต่อสู้ด้วยจิตสังหารที่เปี่ยมล้นความอำมหิต