บทที่ 791 แย่งอย่างซึ่งหน้า

บัญชามังกรเดือด

บัญชามังกรเดือด บทที่ 791 แย่งอย่างซึ่งหน้า

หลังจากได้ยินคำพูดของฉินเทียนแล้ว ถงชวน เถียปี้และคนอื่นๆ ต่างก็ตอบรับเสียงดังอย่างมั่นใจ

“จริง!”

“ขอบคุณพี่เทียนสำหรับอาหารอันโอชะนี้!”

“ไอ๊หย๊า เนื้อย่างพวกนี้มันยอดเยี่ยมไปเลย พวกเรากินกันอิ่มจนพุงกางซะแล้วสิ!”

“เหล่าพี่น้องฝั่งตรงข้าม ดูจากสภาพอันทุลักทุเลของพวกแกแล้ว คงไม่ได้กินไม่ได้นอนมาหลายวันแล้วสินะ?”

“ถ้างั้นก็ยอมมอบอิฐฉินมาดีดีเถอะ กระดูกที่เหลือพวกนี้ ฉันจะให้พวกแกเอาไปแทะเล่นกินกัน”

“แม้ว่าการเอากระดูกมาแลกกับอิฐฉินพวกเธออาจจะคิดว่ามันไม่คุ้มค่ากันเลยสักนิด แต่มีกระดูกไว้กิน ยังดีกว่าถูกทุบตีนะ พวกแกว่าจริงไหมหล่ะ?”

“ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า!”

……

ฉินเปียวโกรธจนหน้าเขียว!

สุดท้าย ตอนนี้เขาก็เข้าใจแผนการของฉินเทียนแล้ว เขารู้ว่า พี่ชายคนนี้ที่ครั้งหนึ่งเคยขี้ขลาด แต่หลังจากออกจากตระกูลไปแล้ว เขาก็เริ่มมีอำนาจและมีอาณาเขตเป็นของตัวเอง

แข็งแกร่งเปลี่ยนไปจากเดิมมาก

ยกตัวอย่างเช่น เขาขัดขวางและสังหารสมาชิกของมังกรซ่อนรูป วางเพลิงสำนักงานใหญ่ของมังกรซ่อนรูป สร้างอำนาจให้กับฉินเทียน

ฉินเทียนไม่รอท่า สังหารราชาซีเตี้ยนทันที ตัดเส้นเลือดใหญ่ของเขา พูดได้ว่า เป็นการดำเนินการได้อย่างเฉียบขาดและรวดเร็ว เกลียดความชั่วร้ายราวกับศัตรู

จากความประทับใจในครั้งนั้น ฉินเปียวคิดว่า การล่าในครั้งนี้ ท่ามกลางภูเขาต้าหวางเขาจะต้องได้ต่อสู้แบบตัวต่อตัวกับฉินเทียนอย่างดุเดือดสักยกแน่นอน

เขายังเคยตื่นเต้นไปกับมันด้วยเลย

นี่เป็นเหตุผลที่ว่า ทำไมเขาถึงไม่พบกับฉินเทียนในป่า แม้ว่าจะเอาอิฐฉินมาได้แล้วก็ตาม แต่เขายังรู้สึกว่ามีบางอย่างที่ยังน่าเสียใจอยู่

คิดไม่ถึงจริงๆว่า ฉินเทียนจะใช้วิธีสกปรกแบบนี้กับเขา!

ยิ่งไปกว่านั้น การส่งสมาชิกในทีมออกไปเพียงสองสามคน แต่สามารถเล่นงานพวกเขาจนต้องเจอกับสถานการณ์ที่ยากลำบากขนาดนี้ ส่วนตัวเขาเองกลับนำกำลังสำคัญของทีม ไปนั่งเฝ้าต้นไม้รอกระต่าย ไม่ลงแรงอะไรเลย

ไม่รู้จะสรรหาคำไหนมาอธิบายถึงความร้ายกาจนี้ได้จริงๆ

ง่ายๆ ก็คือ….

ทั้งคนทั้งเทพล้วนพากันชังน้ำหน้า

เรื่องที่ร้ายกาจและชั่วร้ายเช่นนี้ ฉินเทียนที่ภายนอกดูเป็นสุภาพบุรุษมากขนาดนี้ แต่กลับทำเรื่องแบบนี้สำเร็จได้

เมื่อเห็นสายตายั่วโมโหของฉินเทียนแล้ว ในที่สุดฉินเปียวก็รู้ว่า ก่อนหน้านี้เขาประเมินค่าพี่ชายคนนี้ต่ำเกินไปมากขนาดไหน

“ความหมายของแกก็คือจะแย่ง อิฐฉิน จากมือของฉันอย่างนั้นหรือ?”

“แกอย่าลืมนะว่า เหลือเวลาอีกไม่ถึงสองชั่วโมงก่อนการแข่งขันจะสิ้นสุดลง ช่วงเวลาสั้นๆ แบบนี้ แกคิดว่าจะทำมันสำเร็จอย่างนั้นหรือ?”

ฉินเปียวหัวเราะเยาะ เขายังรู้สึกอีกว่า แผนของฉินเทียนแม้มันจะดูเหนือชั้นและร้ายกาจก็ตาม แต่ยังไงมันก็ยังดูเพ้อฝันไปอยู่บ้างเหมือนกัน

ฉินเทียนตอบอย่างเรียบเฉยว่า “แย่ง เป็นคำที่ไม่น่าฟังเอาเสียเลย ตามความคิดของฉัน พวกเราจัดการกันโดยสันติวิธีก็ได้ นั้นคือ มอบอิฐฉินให้กับฉัน และยอมรับความพ่ายแพ้ไปซะ”

“แน่หล่ะ_____”

“หากแกไม่ยอมรับข้อเสนอนี้ งั้นฉันก็คงต้องแย่งแล้วหล่ะ”

ฉินเปียวหัวเราะด้วยความโกรธ “แกคิดว่าแกจะทำสำเร็จอย่างนั้นหรือ?”

“ไอ้ขยะ แกประเมินความสามารถของตัวเองสูงเกินไปหรือเปล่า?”

ฉินเทียนพูดอย่างเย้ยหยันไปว่า “อย่างนั้นหรือ?งั้นมาลองดูกันสักตั้ง”

“ใช้เวลาไม่นานหรอก ฉันเชื่อว่า แค่สามสิบนาทีก็เพียงพอแล้ว ที่เหล่าบรรดาพี่น้องของฉันจะส่งลูกสมุนของแกทั้งหมดไปหาพญายม!”

คำพูดนี้ มันดูบ้าอยู่พอควร!

กำเริบเสิบสานอยู่พอควร!

แกไม่ให้ ฉันก็จะแย่งซึ่งๆ หน้าเนี่ยแหล่ะ!

ถ้าแกกล้าขัดขืน งั้นฉันก็จะฆ่าคนของแกให้เกลี้ยงไปซะเลย!

ฉินเปียวหัวเราะเสียงดัง “ฉินเทียน ฉันไม่เคยคิดไม่เคยฝันมาก่อนเลยว่า จะมีวันที่ขยะอย่างแก กล้าพูดจาด้วยความแข็งกร้าวแบบนี้”

“ถ้างั้นก็ดี ฉันเองก็อยากจะรู้เหมือนกันว่าคนของแกพวกนี้ จะเก่งกาจขนาดไหนกันเชียว!”

“เข้ามาเลย ฆ่ามัน!”

“ดูสิว่าใครจะฆ่าใครกันแน่!”

เมื่อได้ยินเสียงนั้น หัวหน้าทั้งสาม รวมถึงทาสสัตว์ทั้งหมด ต่างก็ชักมีดยาวที่เปื้อนเลือดออกมา

ส่วนทางฟากของห้าพญายมแห่งนรก ล้วนต่างพากันพุ่งเข้าทางด้านหลังของฉินเทียน

พวกเขาอัดอั้นมาสามวันแล้ว ทนรอต่อไปไม่ไหวแล้ว

หม่าหงเทาลังเลอยู่ชั่วครู่ก็พูดขึ้นว่า “พี่เทียน ฉันว่าตอนนี้คนของพวกเรามีจำนวนมาก ส่วนคนของพวกเขามีจำนวนน้อย พวกเรากินอิ่มดื่มพอ กำลังวังชาเต็มเปี่ยม ส่วนพวกเขาร่างกายอ่อนล้ากับการต่อสู้และการเดินทางอันยาวนาน”

“เพื่อเลี่ยงคำครหา ให้พวกเขาได้กินอิ่มกันก่อนดีกว่าไหม”

“จากนั้น พวกเราค่อยต่อสู้กับพวกเขาด้วยจำนวนคนที่เท่ากันทั้งสองฝ่าย!”

อันที่จริง จากสถานการณ์ในตอนนี้ เกรงว่าถ้าฆ่าพวกทาสสัตว์จนเกลี้ยง ยังไงมันก็ยังดูไม่ขาวสะอาดอยู่ดี

ฟากของฉินเทียนนั้น ไม่ว่าจะเป็นของเรื่องจำนวนคนหรือพละกำลัง ต่างบดขยี้คู่ต่อสู้ได้อยู่แล้ว

ฉินเทียนพูดด้วยคำแนะนำที่เต็มไปด้วยความจริงใจ

“เหล่าหม่า สถานการณ์ที่นายพูดถึง นั่นคือการแข่งขันบนสังเวียน และเมื่อต้องเผชิญหน้ากับคู่ต่อสู้ที่ควรค่าแก่การเคารพเท่านั้น”

“หากคู่ต่อสู้เคารพพวกเรา พวกเราก็ย่อมต้องเคารพคู่ต่อสู้ด้วยเช่นกัน”

“หากคู่ต่อสู้ไม่ควรค่าแก่การเคารพ พวกเรายังจำเป็นต้องใจดียอมอ่อนข้อให้อีกหรือ?”

“อีกอย่าง การล่าในตอนนี้ มันก็ไม่ใช่การแข่งขันด้วย!”

“หากไม่ทำให้พวกเขากลายเป็นเหยื่อ พวกเขาก็จะทำให้พวกเรากลายเป็นเหยื่ออยู่ดี เธอเข้าใจใช่ไหม?”

หม่าหงเทาผู้นี้ อะไรก็ดีไปซะทุกอย่าง เสียอย่างเดียวไม่รู้จักยืดหยุ่นพลิกแพลง ดังนั้นฉินเทียนเลยต้องค่อยๆ อธิบายอย่างใจเย็นด้วยเหตุและผล

เหลิ่งหยุนหัวเราะและพูดว่า “เหล่าหม่า นี่มันเวลาอะไรกันแล้ว นายยังมัวแสร้งเป็นคนดีอะไรอยู่อีก?”

“จุดประสงค์ของพวกเรา นั่นคือ การเอาชนะพวกเขา และฆ่าพวกเขาซะ ขอแค่ให้บรรลุจุดประสงค์ พวกเราจะใช้วิธีการใดมันก็ได้ทั้งนั้นแหละ”

“นายลองคิดกลับกัน หากเป็นพวกเราที่ตกที่นั่งลำบากอยู่ พวกเขาจะยอมใจอ่อนปรานีให้พวกเราบ้างไหม?”

สีหน้าของ เหล่าหม่า แดงขึ้นและตอบอย่างเคร่งขรึมว่า “ขอบคุณพี่เทียนและราชินีงูที่สั่งสอน ฉันเข้าใจแล้วครับ!”

ฉิ๊งงงง เสียงมีดม้งออกจากฝัก

“พี่น้องทีมมีดม้ง ฆ่าพวกมันซะ!”

ตะโกนเสียงดังกึกก้อง และต่างวิ่งกรูกันออกไป

“ฆ่ามัน!”

“ทีมหลัวฮั่น ตามฉันมา!”

“ทีมพันธมิตรฉู่ ฆ่ามัน!”

“ฆ่าพวกมันให้สิ้นซาก!”

ห้าพญายมแห่งนรก และคนของพวกเขา รวมถึงผีหวูฉาง ชุยหมิงชิงเฉินคนเหล่านี้พูดง่ายๆ ว่าเป็นเสือดุร้ายที่ออกจากกรงเลยดีเดียว

จะว่าไปก็แปลก ปกติฉินเปียวมักจะใช้สัตว์ดุร้ายหลากหลายชนิดมาฝึกซ้อมกับทาสสัตว์และฉินเทียนเองก็ใช้วิธีนั้นเหมือนกัน

ห้าพญายมแห่งนรก ล้วนแต่ถือกำเนิดมาจากสวนสัตว์ร้ายด้วยกันทั้งนั้น

แม้ว่ารูปแบบการฝึกซ้อมจะคล้ายคลึงกัน แต่ในแง่ของความแข็งแกร่งนั้น ยังค่อนข้างเหลื่อมล้ำกันอยู่มาก

เหลิ่งหยุนไม่ได้ออกโรง เขายืนกอดอกอยู่ข้างๆ ฉินเทียน และเฝ้าดูการต่อสู้อย่างใจจดใจจ่อ

“พี่เทียน ครั้งนี้ให้พี่น้องทีมคำสาปสวรรค์ออกหน้าแล้วกัน ส่วนฉันจะเป็นตัวแทนของวิหารเทพ คอยคุมการสู้รบแทนพวกเขาเอง!”

ฉินเทียนหัวเราะและตอบว่า “แผนการชักศึกกลับรังของเธอ แม้แต่ฉันเองยังคิดไม่ถึงเลยด้วยซ้ำ ถ้าไม่ใช่เพราะแผนนี้ เกรงว่าบรรดาพี่น้องคำสาปสวรรค์คงจะไม่ได้รับชัยชนะมาอย่างง่ายๆ แน่เลย”

ทันทีที่พูดจบ เสียงโครมก็ดังขึ้น ผีหวูฉางเหวี่ยงโซ่เหล็กขนาดใหญ่หนักราวห้าสิบกิโลกรัม ไปโดนทาสสัตว์คนหนึ่งจนศีรษะแตกออกเป็นเสี่ยงๆ

“หนึ่งคน” ฉินเทียนนับจำนวนผู้เสียชีวิตออกมาด้วยน้ำเสียงอันเย็นชา

เสียงดังฉึก หม่าหงเทาไม่ยอมน้อยหน้า ใช้มีดแทงไปที่ร่างของชายคนหนึ่ง เขาดึงมีดออกมาอย่างแรง จนเลือดสดๆ สาดเข้าบนใบหน้า

“สองคน!”

“บรรดาพี่น้องทั้งหลาย สู้ๆ!” เหลิ่งหยุนยืนปรบมือตะโกนเชียร์

ฉินเทียนมองไปหาฉินเปียวอย่างใจเย็น

เขาอยากรู้ว่า ฉินเปียวจะยอมปล่อยให้คนฝีมือฉกาจของเขาจำนวนมากขนาดนี้ ตายลงที่นี่ในวันนี้ทั้งหมดได้ไหม

เขารอให้ฉินเปียวตะโกนให้หยุดการต่อสู้

หากจะหยุดการต่อสู้ จริงๆก็สามารถทำได้ แต่ฉินเปียวต้องยอมมอบอิฐฉินมา เมื่อกล้าพนันก็ต้องยอมรับความพ่ายแพ้ และจ่ายเงินค่าเดิมพันไป

คาดไม่ถึงเลยว่า ฉินเปียวราวกับจะไม่ได้รู้สึกสะเทือนใจอะไรแม้แต่น้อยกับการตายอย่างอนาถของคนพวกนั้น

ท่ามกลางเสียงร้องโหยหวน เหลือทาสสัตว์อยู่เพียงสิบกว่าคน รวมกับหัวหน้าทีมทั้งสามคนที่ถูกต้อนจนจนมุมแล้ว เห็นได้ชัดว่าไม่มีแรงแม้แต่จะโต้ตอบอีกต่อไป

ถ้าสถานการณ์ยังเป็นเช่นนี้ต่อไป การถูกทำลายจนทีมพินาศมันก็เป็นแค่เรื่องของเวลาเพียงเล็กน้อยเท่านั้น

ฉินเปียวอบรมสั่งสอนบรรดาทาสสัตว์พวกนี้มาตั้งนาน เขาจะไม่รู้สึกเจ็บปวดใจแม้แต่น้อยเลยเชียวหรือ?

แม้ว่าเรื่องของความรู้สึก เขาจะไม่รู้สึกเจ็บปวดใจ แต่ในเรื่องของเหตุผลหล่ะ?

ทาสสัตว์ฝีมือฉกาจพวกนี้ตายอย่างอนาถ เท่ากับว่าความแข็งแกร่งของฉินเปียว จะถูกลดทอนลงไปเกินครึ่ง!

หากพูดถึงเรื่องของเหตุผลแล้วหล่ะก็ เขาจะยอมรับการโจมตีแบบนี้ได้หรือ?

แต่ดูจากท่าทีของเขาแล้ว ดูเหมือนเขาจะยังคิดว่าชัยชนะอยู่ในกำมือของเขาเสียด้วยซ้ำ ราวกับว่าสถานการณ์อันยากลำบากที่อยู่ตรงหน้านี้เป็นแค่เพียงชั่วคราว เขายังกุมอาวุธลับที่จะทำให้ได้รับชัยชนะอยู่

เรื่องนี้ทำให้ฉินเทียนเอง อดไม่ได้ที่จะมีความรู้สึกที่ไม่ดีบางอย่าง